ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 356 ซือคงจิงสองคน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สวีเฟยที่มีนิสัยจริงจังมาแต่ไหนแต่ไร ถึงแม้ในเวลานี้ เขาก็ยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้ว่าในใจเขาเกิดความกระวนกระวาย

“ศิษย์พี่สวี” หลังจากเยี่ยนเจ้าเกอกล่าวครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขากล่าวต่อว่า “ตอนที่เจอกับคราวเคราะห์ในอดีต เสี่ยวสือจวินน่าจะมีอายุแค่สามปีเท่านั้น ข้าไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ในตอนนั้นดีแค่ไหน”

“หากเสี่ยยวสือจวินตื่นขึ้นมาถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับศิษย์พี่สือ และอาจารย์…”

เสียงพูดของเยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ ทุ้มต่ำลง

สวีเฟยได้ยินดังนั้นก็กระซิบว่า “หลายปีมานี้ จวินเอ๋อร์หลับลึกมาโดยตลอด ไม่น่าจะรับรู้ถึงเรื่องราวของโลกภายนอก”

“แม้จะดูเป็นเด็กอายุสิบกว่าปีแล้ว แต่ความทรงจำควรจะหยุดอยู่ตอนอายุสามขวบ จำเป็นต้องให้เวลาเขาทำความคุ้ยเคยก่อน”

“จวินเอ๋อร์เฉลียวฉลาดและใจเย็น ข้าเชื่อว่าหลังจากเวลาผ่านไป เมื่ออายุมากขึ้น ต่อไปเขาก็จะเหมือนกับเด็กคนอื่นเอง”

“หลังจากเตรียมสภาพจิตใจของเขาพร้อมแล้ว ข้าจะบอกเรื่องราวทั้งหมดกับเขาโดยไม่ปิดบัง”

สวีเฟยเงยหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีก “ทั้งเรื่องที่ศิษย์พี่สือกลายเป็นมาร รวมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ข้าจะเล่าเรื่องที่ข้ารู้ทั้งหมดให้จวินเอ๋อร์ฟัง”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าเงียบๆ “เช่นนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นถ้าหากภายหลังมีคนบอกความจริงกับเขา เขาจะคิดว่าพวกเราปิดบัง กลับทำให้เขาเกิดความรู้สึกแค้นเคือง อาจถูกคนประสงค์ร้ายหลอกใช้ได้ง่าย หวังเพียงว่าเขาจะไม่เหมือนกับศิษย์พี่สือ”

ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “แต่ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

สวีเฟยมองโลงน้ำแข็ง “และเขาอาจจะเห็นด้วยกับอาจารย์ของเขาเช่นกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ขึ้นกับว่าศิษย์พี่สวีจะชี้แนะเขาอย่างไรแล้ว ความคิดของคนไม่เหมือนกัน ย่อมมองเรื่องราวแต่ละเรื่องแตกต่างกัน เหมือนเช่นผู้ใหญ่อย่างพวกเรา ต่างยากหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการตัดสินใจถูกผิด มิต้องพูดถึงเด็ก”

หากไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ต่อจากนี้สือจวินจะเข้าร่ำเรียนในสำนักกว่างเฉิง ขอแค่ประสบความสำเร็จ ผ่านการประเมินกลายเป็นศิษย์สืบทอดสายตรง เช่นนั้นอาจารย์ที่จะเป็นผู้สอนเขาก็คือสวีเฟย

นี่คือความต้องการของสวีเฟยเอง ขณะเดียวกันก็เป็นความต้องการของสำนักด้วย

สวีเฟยกล่าวอย่างนิ่งสงบ “ข้าจะทำหน้าที่อาจารย์อย่างเต็มที่ แต่จวินเอ๋อร์จะเลือกเส้นทางของชีวิตของตนเช่นไร สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง มีเรื่องบางเรื่องที่ต่อให้ต้องการแทบตายก็มิอาจได้มา”

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นด้วย “เป็นจริงดังท่านว่า”

หลังจากเวลาผ่านไป เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกว่าพลังชีวิตจากร่างของสือจวินที่อยู่ในโลงน้ำแข็งยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

เขามองสือจวิน แม้ว่าดวงตาทั้งสองจะปิดอยู่ แต่เปลือกตากลับสั่นไหวเบาๆ คล้ายกับลูกตาข้างใต้นั้นกำลังเคลื่อนไหว

“มาแล้ว” เยี่ยนเจ้าเกอกับสวีเฟยต่างมีจิตใจจดจ่อ

ชายหนุ่มโน้มตัวฟาดฝ่ามือลงบนพื้นด้านหน้าตนเอง ค่ายกลขนาดเล็กด้านในห้องพักพลันทำงาน คลื่นแสงหลายสายสว่างขึ้น

เมฆหลากสีหลายก้อนกระจายอยู่ในห้องพักผ่อน แม้จะไร้รูปร่าง แต่สามารถรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวา

เขาจิ้มนิ้วบนโลงน้ำแข็งเบาๆ หมู่เมฆพลันรวมตัวกันบนนั้น ก่อนจะสลายเข้าสู่ด้านในโลงน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง

ร่างกายของเด็กชายในโลงศพน้ำแข็งขยับครั้งแล้วครั้งเล่า และลืมตาในที่สุด

บุรุษสองคนนอกโลงน้ำแข็งเห็นภาพนี้แล้ว พวกเขาก็ระบายลมหายใจพร้อมกับมองหน้ากัน ในใจรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

เด็กชายขยี้เปลือกตา คิดพลิกกายนั่งเหมือนเพิ่งตื่นนอน

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือครั้งหนึ่ง ฝาโลงศพพลันเปิดออก จากนั้นก็เห็นเด็กชายมองมาด้วยความฉงน

คนทั้งสามเบิกตากว้างอยู่นาน เด็กชายถึงได้สติ พูดกับสวีเฟยด้วยรอยยิ้มก่อน “ท่านอาสวี!”

จากนั้นสายตาของเขาก็มองเยี่ยนจ้าวเกอ ลังเลเล็กน้อย “…ท่านอาเสี่ยวเยี่ยน”

“เป็นข้าเอง” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม

สือจวินเฉลียวฉลาด เขาเริ่มจดจำคนได้ตั้งแต่ตอนที่ยังเด็กมาก

เพียงแต่ตอนที่เจอกันเป็นครั้งสุดท้าย เยี่ยนจ้าวเกอเพิ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ทว่าปัจจุบันเขากลายเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ใบหน้าจะมากจะน้อยก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้สือจวินไม่แน่ใจชั่วขณะ

แต่พอได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอขานรับ สือจวินก็ยิ้มขึ้นอย่างดีใจ

เขามองรอบๆ ถามอย่างสงสัย “ท่านพ่อกับท่านแม่เล่า ท่านตาล่ะอยู่ที่ไหน”

เยี่ยนจ้าวเกอหันไปหาสวีเฟย ถอนใจครั้งหนึ่ง “ฝากศิษย์พี่สวีด้วย”

โลงน้ำแข็งที่บรรจุร่างของอิ๋งอวี่เจินไว้ เยี่ยนจ้าวเกอได้มอบให้สวีเฟยเก็บรักษาแล้ว

สวีเฟยพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปอุ้มสือจวินออกมาจากโลงน้ำแข็ง บัดนี้สือจวินถึงเริ่มรู้สึกตัว เด็กชายก้มมองแขนขาของตัวเอง และประหลาดใจที่พบว่าตนเหมือนโตขึ้นมาก ความรู้สึกนั้นเหมือนว่ามิใช่ร่างกายของตัวเอง

หลังจากอยู่กับสือจวินครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็หมุนตัวผละจากห้องพักผ่อน ให้สวีเฟยเป็นคนจัดการต่อ

เขาเดินถึงมุมหนึ่ง ตอนนี้เป็นยามรุ่งอรุณ พระอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นงดงามกว่ายามปกติ

ครั้นเห็นพระอาทิตย์ขึ้น เยี่ยนจ้าวเกอก็พึมพำกับตนเอง “ดวงอาทิตย์งามนัก พระอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้น…”

ครั้งนี้อาหู่เดินเข้ามาในตัวบ้าน เห็นเยี่ยนจ้าวเกอก็เข้าใจในทันที “คุณชาย เสี่ยวสือจวินฟื้นแล้วหรือขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ฟื้นแล้ว ศิษย์พี่สวีดูแลเขาอยู่ในห้อง”

อาหู่ยิ้มซื่อ “เช่นนั้น ผู้อาวุโสสือน่าจะคลายกังวลขึ้น”

“เจ้ามาที่นี่มีเรื่องอะไร” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยถาม

“ขอรับคุณชาย” สายตาของอาหู่แปลกไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “ข้าเพิ่งจะเดินเล่นในเมืองมา ได้ยินเบาะแสหนึ่ง ค่อนข้างพิสดารอยู่บ้าง”

หลังจากพักอยู่ในเมืองศิลาชั่วระยะเวลาหนึ่ง อาหู่ก็ค่อยๆ หลอมปราณวิญญาณจากเลือดมังกรที่อยู่ในร่างของตนสำเร็จ ในที่สุดก็ไม่ได้มีสภาพเหมือนยักษ์น้ำเงินหน้าโศกอีกต่อไป

หลายวันมานี้ เจ้ายักษ์กล้าออกไปพบผู้คนแล้ว แต่เมื่อคิดถึงสภาพก่อนหน้า เขาก็รู้สึกอนาถใจจนน้ำตาไหล

“มีคนต่างแดนในเมืองศิลาพูดว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางอยู่นอกน่านน้ำทะเลเหนือ ได้เจอกับแม่นางซือคงเข้า” อาหู่กล่าว

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ศิษย์น้องซือคงหรือ ก่อนหน้านี้นางตัดสินใจเดินทางเพื่อฝึกฝน หลังจากมาวารีพิภพพร้อมศิษย์พี่ซ่งและศิษย์น้องหลี่จากเมืองทะเลมรกต ต่อมาพวกนางออกจากน่านน้ำวารีพิภพไป ไม่น่าประหลาดใจเท่าใดนัก”

“แม้จะอันตรายมาก แต่นี่เป็นเส้นทางที่นางเลือกเอง พวกเราพูดมากไปคงไม่ดี”

“คุณชาย แม่นางซือคงคิดเดินทางเพื่อฝึกฝน หากเจอคนพบเข้าโดยบังเอิญคงไม่น่าประหลาดใจอันใด” อาหู่เกาศีรษะพลางกล่าว

“แต่คนต่างแดนผู้นั้นกล่าวว่าเห็นแม่นางซือคงสองคน”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “อ้อ หรือนางอาจจะมีฝาแฝด นี่เกินความคาดหมายไปบ้างก็จริง ศิษย์น้องซือคงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว เข้าสำนักตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เคยได้ยินว่านางมีญาติ ได้เจอกันที่นอกน่านน้ำอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องดี”

อาหู่ฉีกยิ้ม “เพียงแต่คุณชาย ข้าได้ยินคนต่างแดนผู้นั้นกล่าวว่า แม่นางซือคงกับอีกฝ่ายประมือกันอยู่”

หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยความจริงจังกว่าเดิม “มิใช่การแลกเปลี่ยนวรยุทธ์ แต่เป็นการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนะขอรับ!”

………………..