ตู๋กูซิงหลันเห็นแล้ว ก็ดึงตัวฮ่องเต้มาไว้ที่ด้านหลังของตนเอง มืออีกข้างยื่นออกไปลูบไล้หงอนไก่ตัวนั้นไว้
เจ้าไก่ขนดำตัวฟูก็เปลี่ยนมาเป็นรีบพุ่งเข้ามาหยุดอยู่ข้างหน้านาง ซุกไซร้อยู่ตรงหน้าขา ราวกับจะออดอ้อนแม่ไก่ ดวงตาที่แปลกประหลาดนั้นสะท้อนแววตาน่าสงสารและได้รับความอยุติธรรม
ยามที่มันหันไปมองจีเฉวียน สายตาก็เปี่ยมไปด้วยความแค้น มันยกกรงเล็บขึ้นมาตะกุย เล็บยาวๆ นั่นกรีดขูดลงไปบนแผ่นทองบนพื้นอยู่หลายครั้ง จนพื้นถูกมันขูดกลายเป็นร่องขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันมองดูอย่างปวดใจ อย่าขูดอีกเลย ขูดลงไปแต่ละทีมันแพงมากเลยนะ!
แต่เจ้าไก่ขนดำตัวฟูตัวนั้นยังส่งเสียงกุ๊กๆ กิ๊กๆ ไม่ยอมหยุด เสียงนั่นกลับไม่คล้ายไก่ร้อง แต่กลับเหมือนสาปแช่งมากกว่า
ตู๋กูซิงหลันเคยได้เห็นอะไรมาก็มากมาย แต่ว่าเจ้าไก่นี่คือตัวอะไรกันแน่ ตอนนี้นางเองก็อธิบายไม่ถูก
สามารถพิทักษ์เฝ้าสุสาน ทั้งยังมีชีวิตอยู่ได้เช่นนี้ จะต้องไม่ใช่สิ่งธรรมดา
นายท่านผู้ยิ่งใหญ่อย่างจีเฉวียนถูกสาวน้อยคนหนึ่งเอาตัวเข้าปกป้องไว้ ตอนแรกเขาก็ชะงักไป เหม่อมองดูกระหม่อมด้านหลังของตู๋กูซิงหลัน ในพระทัยก็เกิดความอิ่มเอมขึ้นอย่างไร้ที่มา
สตรีผู้นี้ยังนับว่ามีน้ำใจอันดีอยู่บ้าง รู้จักปกป้องเขา ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วเขาจะไม่ต้องการให้นางมาปกป้องก็ตาม
เขาหันไปมองไอ้ไก่ขนดำตัวฟูนั่นด้วนแววตาสะใจ อีกเดี๋ยวเถอะจะจับมันกลับไปตุ๋นน้ำแกง!
เจ้าไก่ขนดำตัวฟู “…….”
ครู่ต่อมา เขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปกล่าวกับจีเย่ว์ที่ยืนงงอยู่อีกด้าน “ไทเฮารักถนอมเราจริงๆ ไม่อยากให้เราได้รับบาดเจ็ยใดๆ แม้แต่น้อยเชียว”
น้ำเสียงของเขาดังไม่น้อย ราวกับเกรงว่าจีเย่ว์จะไม่ได้ยิน
จีเย่ว์ไม่โต้ตอบ เขาเดินเข้าไปหยุดที่ด้านข้างของตู๋กูซิงหลัน หันไปมองที่ด้านหน้าของนางกล่าวว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ บนต้นไม้นี้มีสายลมโชยออกมา คิดว่าด้านบนคงจะต้องมีทางออกเป็นแน่ ขอเพียงพวกเราปีนต้นไม้นี้ขึ้นไป ไม่แน่ว่าจะสามารถหาทางออกไปได้”
เขานะไม่ใช่คนไร้ประโยชน์เหมือนฮ่องเต้บางองค์หรอกนะ ที่จะต้องการให้สตรีตัวเล็กๆ มาปกป้อง
“นั่นไม่จำเป็นหรอก สุสานนี้เตรียมการจัดสร้างอย่างละเอียดละออ ไม่แน่ว่าทางออกจะอยู่ที่อื่น” จีเฉวียนยื่นมือไปเกาะกุมฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ “ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังมีสมบัติล้ำค่ามากมาย ไทเฮาจะอดใจรีบร้อนจากไปได้หรือ? “
หากว่าตามนิสัยเสียของนางแล้ว คิดว่าแม้แต่แผ่นปูพื้นยังต้องงัดเอาไปด้วยสักหลายๆ ชิ้น
คนก็ตายไปแล้ว จะทิ้งสิ่งของนอกกายเหล่านี้เอาไว้ทำไมกัน? ไม่สู้เอาไปทำนุบ้านบำรุงเมืองต้าโจวดีกว่า
ฮ่องเต้ทรงหรี่พระเนตรมอง ลอบคิดคำนวนดูสักหน่อย เฉพาะแค่ทองคำที่ปูอยู่บนพื้นก็มีอยู่หลายหมื่นชิ้นแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงกำแพงหยกดำที่มีมูลค่ามหาศาลเหล่านั้น รวมถึงสมบัติที่วางอยู่อย่างมากมายพวกนี้อีก จิ๊ส์……รับรองว่ามูลค่าไม่มีทางน้อยไปกว่าสมบัติในบ้านของโยวหยู่ไปได้หรอก
เขายิ่งรู้สึกว่า การที่ฮ่องเต้แห่งต้าโจวเช่นเขาตกลงมาครั้งนี้นับว่าพอจะคุ้มค่าแล้ว
ตู๋กูซิงหลันกรอกตาขาว เห็นชัดอยู่ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่คิดจะขนสมบัติเหล่านี้กลับไปเป็นของตนเอง แต่กลับนับรวมนางเข้าไปด้วย
สิ่งของในสุสานแห่งนี้ เขาอย่างได้คิดแตะต้องสักขุมขนหนึ่ง! มองมาไปยังถือว่าเป็นบาปด้วยซ้ำ!
นางคร้านจะสนใจเขาอีกต่อไป จึงเดินขึ้นไปบนแท่นที่อยู่ตรงกลางนั้น เจ้าไก่ขนดำตัวฟูนั่นก็รีบติดตามไปด้วย มันเดินไปก็กางปีกเต้นไปด้วย ตัวกลมๆ ขนฟูๆ ของมันเดินก้าว กระโดดก้าว ก็ค่อยหันกลับมามองดูจีเฉวียนกับจีเย่ว์สักรอบหนึ่ง
หากว่าเจ้าสองคนนี้ไม่ได้มากับพี่สาวตัวน้อยละก็ ป่านนี้ก็ตายเรียบไปนานแล้ว!
แต่ละก้าวเดินที่ตู๋กูซิงหลันเหยียบย่างขึ้นไปบนแท่นนั้น นางรู้สึกได้ว่าความเย็นใต้ฝ่าเท้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อนางขึ้นไปยืนที่ด้านบนสุด ทั่วทั้งร่างก็หนาวสั่นเข้าไปจนถึงกระดูก
เมื่อขึ้นไปจนถึงบนแท่น จึงพบว่าบนนี้มีโลงทองแดงหลังหนึ่งวางอยู่ บนโลงสลักไว้ด้วยลวยลายที่สลับซับซ้อน มุมทั้งสีตอกตรึงด้วยเหล็กดำ
ผู้ที่นอนอยู่ด้านใน ก็คือท่านย่าของนาง เย่วฮูหยินหรือ?
ตู๋กูซิงหลันยืนดูอยู่ที่ด้านข้างครู่หนึ่ง ก็เห็นเจ้าไก่ขนดำตัวฟูเอาหัวมาซุกไซร้ก้นของนางอีก คล้ายจะให้นางขยับไปทางโลงใบนั้น
จากนั้นยังใช้ปีกมากระพือใส่กุญแจทองแดงในมือของนาง
กุญแจทองแดงดอกนั้นราวกับได้รับสัญญาณเรียกอันใดสักอย่าง มันขยับเคลื่อนไหวอย่างเร่งร้อน เพียงแค่ตู๋กูซิงหลันยื่นกุญแจมาใกล้ๆ กับฝาโลง ตะปูเหล็กดำทั้งสี่มุมก็หลุดลอยออกมา
ฝาโลงค่อยๆ เลื่อนออกมาเอง ชั่วขณะนั้นกระแสความเย็นไหลบ่าพวงพุ่งออกมา ทั้งที่ไม่มีสายลมพัด แต่กลับสร้างความรุนแรงจนเปลวไฟบนตะเกียงทั้งสี่ทิศแทบจะหรี่ดับลง
อาศัยแสงตะเกียงที่ส่องสว่างอย่างไม่ยอมดับ ตู๋กูซิงหลันถึงได้พอจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในโลง โครงกระดูกขาวร่างหนึ่งนอนทอดตัวอยู่ในชุดกระโปรงปักลายดอกไฮ่ถาง
เพียงมองดูจากใบหน้าของโครงกระดูกก็สามารถบอกได้ว่า ยามที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องเป็นสตรีที่งดงามเลื่องลือทั่วบ้านทั่วเมืองเป็นแน่
แต่ว่าเมื่อตายแล้วจะอย่างไรก็เป็นเพียงแค่กระดูกขาวโพลนกองหนึ่ง ฝังอยู่ใต้พิภพตลอดไปเท่านั้น
ที่มือขวาของโครงกระดูก กำกล่องทองแดงขนาดเท่าฝ่ามือเอาไว้อย่างแนบแน่น
ทันทีที่ได้เห็นกล่องทองแดงใบนั้น สายตาของตู๋กูซิงหลัยก็เปลี่ยนไป แม้แต่วิญญาณทมิฬเองก็พลอยตื่นเต้นอย่างระงับไม่อยู่
มันไม่รอช้ากระโจนลงไปในโลงทันที กระโดดตุ๊บตับอยู่บนโครงกระดูก มืออวบสั้นของมันยื่นไปดึงกล่องทองแดงใบนั้น
ต่อให้ตายไปเป็นพันเป็นหมื่นรอบ มันก็ยังสามารถจดจำสิ่งที่ทำให้ทุกผู้คนต่างแย่งชิงกันอยู่ทุกลมหายได้เป็นอย่างดี!
หยกสรรพชีวิต!
กลิ่นอายมืดมิดที่กำจายออกมาราวกับแดนอนธการที่เหน็บหนาว กลับเป็นที่ยั่วยวนประหนึ่งน้ำผึ้งหวาน ราวกับดอกฝิ่นที่สามารถคร่าชีวิต ทำให้มันลุ่มหลงอย่างบ้าคลั่ง
แต่พอมันพึ่งจะกระโดดลงไป ก็พบว่าโครงกระดูกนั้นขยับขึ้นมาทันที!
ทันใดนั้นวิญญาณทมิฬก็ถูกแทงจนร่างพรุนประหนึ่งกระชอน เลือดสีดำมากมายไหลรินออกจากร่างของมัน ย้อมกระดูกนั้นจนเปลี่ยนสีไป
วิญญาณทมิฬกรีดร้อนออกมาอย่างโหยหวน นับตั้งแต่มันมายังโลกนี้บาดเจ็บหนักอย่างมากที่สุดก็คือ ตอนที่ไปกัดเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นจนฟันแทบหมดปาก
คิดไม่ถึงว่า เมื่อวานถึงที่นี่ จะถูกกระดูกขาวกองหนึ่งแทงละลุร่าง!
ตู๋กูซิงหลันรีบผลุนผลันเข้ามา ลวงเอายันต์เหลืองผนึกลงไปบนโครงกระดูกจนทั่วทั้งร่าง
โครงกระดูกนั่นเพียงชะงักไปชั่วครู่ แต่กลับไม่ยอมคลายปล่อยวิญญาณทมิฬ ทั้งยังลุกขึ้นมานั่ง หันศีรษะมาช้าๆ ประหนึ่งหุ่นยนต์กลไก ใช้ดวงตาสีดำที่ลึกกลวงโบ๋จ้องมองมาที่นาง
ความมืดมิดในดวงตาคู่นั้นราวกับหุบเหวลึกที่ดูดกลืนนางลงไป
ขณะเดียวกันความเย็นยะเยือกอย่างสุดขั้วที่กำจายออกมาก็แทรกซึมเข้าไปในร่างของนาง ตู๋กูซิงหลันชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ทันทีนางจะได้ขยับตัว โครงกระดูกขาวนั่นก็ยกมือซ้ายขึ้นมา ส่งกล่องทองแดงใบนั้นมาตรงหน้าของนาง บนกล่องมีแม่กุญแจอยู่ดอกหนึ่ง แม่กุญแจอยู่ต่อหน้านางแล้ว
โครงกระดูกขาวนั้นก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอีก รางกับว่ากำลังรอให้นางเปิดกล่องอยู่เช่นกัน
นางหรี่ตามอง ครู่ต่อมาค่อยใช้ลูกกุญแจทองแดงเปิดกล่องออกมา
ลูกกุญแจสอดเข้าไปในรู ล๊อคที่ปิดไว้ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย
ที่แท้แล้ว……ลูกกุญแจดอกนี้ไม่ใช่สำหรับเปิดประตูทองแดงบานนั้น แต่เอาไว้สำหรับเปิดกล่อง
เมื่อครู่ที่ช่วยเปิดประตูให้นางนั้น คงจะเป็นเจ้าไก่ขนดำตัวฟูที่อยู่ข้างตัวนี่เอง
เมื่อเปิดออกไอดำภายในก็ฟุ่งกระจายออกมา พร้อมกับเสียงทูตผีนับพันนับหมื่นร่ำร้องอย่างโหยหวน ท่ามกลายไอสีดำนั้น ตรงกลางมีเศษหยกสีดำที่ดำยิ่งกว่าน้ำหมึกชิ้นหนึ่งวางอยู่ เศษหยกชิ้นนั้นมีขนาดเพียงแค่เหรียญเล็กๆ เหรียญหนึ่ง บนเนื้อหยกมีลวดลายสลับซับซ้อนที่ไม่สมบูรณ์อยู่
เพียงแค่ตู๋กูซิงหลันยื่นมืออกไป เศษหยกดำชิ้นนั้นก็ลอยลงมายังใจกลางฝ่ามือของนาง
ราวกับว่ามันมีความผูกพันกับนางอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ทันทีที่สัมผัสกับฝ่ามือของนาง ไอสีดำทมึนนั้นก็สลายตัวเป็นหมอกควันหายไปในทันที แม้แต่ควานเย็นสุดขั้วและเสียงกรีดร้องเหล่านั้นก็พลอยเงียบหายไปด้วย เหลือบเพียงเศษหยกสีดำที่ดูธรรมดาๆ วางอยู่บนฝ่ามือเท่านั้น