แม้แต่ลวดลายซับซ้อนบนเนื้อหยกเองก็จางลงไปมาก หากว่าไม่ได้มองดูอย่างละเอียดก็แทบจะสังเกตไม่ออก
นี่คือ หยกสรรพชีวิตอย่างแน่นอน
แต่ว่าไม่ใช่ชิ้นที่สมบูรณ์ เพียงสามารถบอกได้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของหยกสรรพชีวิต และเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ เท่านั้น
หยกสรรพชีวิตที่สมบูรณ์นั้น น่าจะมีขนาดใหญ่ว่านี้สักสิบเท่า และร้ายกาจน่ากลัวกว่านี้ร้อยเท่า
ถึงตอนนี้ โครงกระดูกขาวนั้นค่อยขยับปากเล็กน้อย เปล่งเสียงที่อ่อนโยนของสตรีผู้หนึ่งออกมา “….ส่งต่อให้เจ้าแล้ว…”
สิ้นเสียง โครงกระดูกก็เอนกลับลงไปในโลงใบนั้น มือที่บีบวิญญาณทมิฬไว้แน่นค่อยๆ คลายออก ตู๋กูซิงหลันเข้าไปรับตัวเจ้าวิญญาณทมิฬไว้ พามันกลับมาไว้บนบ่าของตนเอง
อาการของวิญญาณทมิฬ ถือว่าสาหัส!
” ท่านย่าของเจ้าคนนี้……….ร้ายกาจยิ่ง! วิญญาณทมิฬครางออกมาไม่กี่คำก็ตาเหลือก สลบหมดสติไป
ตู๋กูซิงหลันมองดูโครงกระดูกขาวที่นอนอยู่ในโลง ดูท่าเย่วฮูหยินก่อนตายคงมีความในใจหนักหนาที่ไม่อาจสมประสงค์ ถึงได้ผนึกความคาดหวังสุดท้ายเอาไว้บนร่าง อาศัยความสามารถขอหยกสรรพชีวิตหล่อเลี้ยงไว้ ถึงผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังไม่สลายไป
ถึงตอนนี้ความประสงค์สำเร็จลงแล้ว จึงปลดปล่อยทุกสิ่งเหลือเพียงกระดูกกองหนึ่ง
แท้ที่จริงแล้วนางคือผู้ใดกันแน่? ทำไมจึงสามารถครอบครองหยกสรรพชีวิต และรอคอยที่จะส่งมอบต่อให้กับเจ้าของร่างเดิมในเวลานี้?
ถึงแม้ว่าในหัวของนางจะมีแต่คำถามมากมาย แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยับหยิบเอาเส้นผมปอยนั้นของจีเฉวียนออกมาจากในอกเสื้อ ผูกเป็นเงื่อนแล้วจึงวางลงในโลงของนาง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ล้วงเอายันต์สีเหลืองที่ว่างเปล่าออกมาใบหนึ่ง สะกิดปลายนิ้วออก ใช้โลหิตของตนเองวาดยันต์เสริมวาสนาภพหน้าออกมาชุดหนึ่ง ค่อยเผามันต่อหน้าโครงกระดูกด้วยตนเอง
“ท่านย่า ขอให้ภพหน้ามีแต่ความสงบสุขเจ้าค่ะ”
ยามที่นางกล่าวประโยคนี้ออกไป แม้แต่เจ้าไก่ขนดำตัวฟูที่อยู่ด้านข้างยังน้ำตาร่วงไปด้วย มันใช้ปีกของตนเองมาโอบกอดขาของนางไว้ น้ำมูกน้ำตาอาบป้ายอยู่บนมุมกระโปรงของนาง
ตู๋กูซิงหลันมองดูโฉมงามกระดูกขาว กล่าวลาคำหนึ่ง ค่อยเลื่อนปิดฝาโลงด้วยตนเอง
ทันทีที่ฝาโลงเลื่อนปิดลง ทั่วทั้งสุสานก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมา แท่นที่ประกอบขึ้นจากหินคริสตัลเลื่อนออกไปทั้งสองด้าน ที่ใต้เท้านางปรากฎทางเดินเล็กๆ สายหนึ่ง มีสายลมเย็นสบายพัดโชยออกมา
“กุ๊กๆ กู๊ก~” ไก่ขนดำตัวฟูค่อยยอมปล่อยขาของนาง ใช้ปีกของมันชี้ไปทางทางน้อย สื่อความหมายว่าต้องการให้ตู๋กูซิงหลันเข้าไป
ตู๋กูซิงหลันพาเจ้าวิญญาณทมิฬที่สลบเหมือบไปแล้ว ก้าวเท้าลงไปก้าวหนึ่ง ค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าลูกชายสุนัขและคนรักเก่ายังอยู่ในสุสาน
พอหันกลับไปมองดู ไม่รู้ว่าเจ้าตัววุ่นวายทั้งสองนี้สลบไปตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่ก็ใช่อยู่นะ ………หยกสรรพชีวิตไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนทานรับได้
ความเย็นที่กำจายออกมาเมื่อครู่ มากเกินพอที่จะทำให้พวกเขาสลบไสลไป
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทั้งสองได้รับบาดเจ็บตั้งแรกแรก ตลอดทางมานี้ต้องเผชิญทั้งไอเย็นและผีปีศาจต่างๆ นาๆ …….
ตู๋กูซิงหลันคิดๆ ดูแล้ว ต่อให้ตบหน้าลงไปสักรอบสองรอบก็คงไม่ใช่ให้ทั้งสองฟื้นขึ้นมาได้ มีแต่ต้องแบบพวกเขาไปด้วยเท่านั้น
เจ้าไก่ขนดำตัวฟูติดตามนางมาดู สายตาของมันจดจ้องอยู่บนพระพักตร์ของจีเฉวียน จากนั้นก็จิกลงไปสองทีอย่างเคียดแค้น สุดท้ายยังไม่ลืมที่จะจิดเอารัดเกล้าประดับอัญมณีของเขาออกมา กรงเล็บของมันตะครุบลงแล้วสะบัดขึ้นไปทีหนึ่ง รัดเกล้านั้นก็คล้องอยู่บนลำคอของมันอย่างพอดิบพอดี
จากนั้นก็หันไปเร่งตู๋กูซิงหลันให้รีบออกไปจากที่นี่
ตู๋กูซิงหลันก็ใช้ไหวพริบออกมา ตัดเอากิ่งไฮ่ถางที่ทั้งอ่อนและเหนียวออกมาหลายเส้น ใช้กิ่งของมันมัดจีเฉวียนเอาไว้บนหลังของตนเอง แล้วก็อุ้มจีเย่ว์ขึ้นมา บนศีรษะของนางก็มีวิญญาณทมิฬที่ยังสลบเหมือกอยู่ จากนั้นก็เริ่มออกเดินไป
แต่เดินออกไปได้แค่สองก้าว ใจของนางก็รู้สึกไม่ยินยอม ต้องหันกลับไปแงะแผ่นทองออกมาสองแผ่นและงัดหยกดำบนกำแพงออกมาอีกชิ้นหนึ่งถึงจะจากไปได้
ท่านย่ามั่งมีถึงขนาดนั้น นางเอามาแค่นิดๆ หน่อยๆ ท่านผู้เฒ่าคงไม่ถือโทษโกรธเคืองหรอกมั้ง?
หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าสองตัวนนี้สลบไปแล้วละก็ นางยังคิดจะเอามามากกว่านี้อีกสักหน่อย
นางเหลือบมองดูกองมหาสมบัติพวกนั้น……..โอ้ สวยงามแวววาวเหลือเกิน อยากด๊ายอยากได้ง่ะ
เอาวะ! นางจะต้องขูดรีดออกมาจากเจ้าสองตัวนี้แทนทั้งหมด!
…………………………….
ที่เชิงเขาใต้สุสาน หลี่กงกงสลบแล้วฟี้นอยู่หลายรอบแล้ว
นับตั้งแต่ฟ้ายังสว่างจนกระทั้งฟ้ามืดค่ำ เขาเอาแต่เหม่อมองออกไป มองออกไปจนตัวเองแทบจะแข็งกลายเป็นหินไปแล้วด้วยซ้ำ
ฝ่าบาททรงถูกฝังลงไปทั้งเป็น ท่านแม่ทัพผู้พิชิตไม่ยินยอมให้ขุดพลิกสุสาน แต่กลับเชื่อคำของนักพรตอู๋เจิน ที่ให้ย้ายลงมาขุดอุโมงค์อยู่ที่ตีนเขา เพราะบอกว่าสุสานเช่นนี้ เมื่อตกลงไปจากด้านบนย่อมต้องออกมาจากด้านล่าง
ของเพียงแค่ขุดอุโมงค์ลงไปจากตำแหน่งที่เขาเลือกไว้ให้ลึกได้สามจั้งก็พอแล้ว
แต่ว่าอุโมงค์นี้ขุดกันมาตั้งนานแล้ว กลับยังไม่มีทีท่าจะเจอะเจออะไรบ้างเลย
แถมเรื่องที่ฝ่าบาททรงถูกฝังทั้งเป็นนี้ พวกเขาเองก็ไม่กล้ากระพือข่าวออกไป ได้แต่รีบแจ้งไปยังท่านราชครูและกองราชองครักษ์ให้นำจอบและเสียมมาขุดอุโมงค์ช่วยเหลือฝ่าบาท
พอมองออกไปเช่นนี้ท้องฟ้ายิ่งทียิ่งมืดลงแล้ว แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะเจออะไรเลย
สุดท้ายแล้วจะสามารถทำให้สุสานแห่งนี้ทลายราบลงได้หรือไม่ ได้แต่ต้องพึ่งพาพวกท่านแล้ว!
ยามนี้แม้แต่ตู๋กูจุนเองก็รุ่มร้อนขึ้นมาแล้ว น้องเล็กยังติดอยู่ข้างในนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะถูกเจ้าสุนัขสองตัวนั่นรังแก?
นางเกิดมาก็มีรูปร่างหน้าตางดงาม ถ้าเกิดว่าเจ้าสุนัขแซ่จีสองตัวนั้นก็เกิดคึกคักอยากจะจ้ำจี้ขึ้นมา กระทำเรื่องอย่างว่ากับน้องเล็กเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?
ยิ่งคิดๆ ไปตู๋กูจุนก็ยิ่งหวาดกลัว!
เจ้าจีเย่ว์นั้นคงไม่มีความกล้าจะทำสักเท่าไหร่
กลัวก็แต่เจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนนั่น …..พอคิดย้อนไปถึงสายตาของจีเฉวียนยามมองมาที่น้องเล็ก เห็นอยู่ชัดๆ เลยว่าเป็นหมาป่าที่จ้องจะจัดการลูกแกะน้อย แทบอยากจะจับนางกลืนลงไปทั้งเป็น!
แล้วหากมีโอกาสดีงามถึงขนาดนี้ เขามีหรือจะยอมพลาดไปได้?
ตู๋กูจุนคิดไปไกลจนถึงขนาดเห็นภาพน้องเล็กตั้งครรภ์ จากนั้นทนทรมานคลอดลูกของเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นออกมาอย่างยากลำบาก!
โอ้ น้องน้อยที่น่าสงสารของพี่! พี่ใหญ่ผิดต่อเจ้าแล้ว! พี่ใหญ่จะไปตัดหัวเจ้าสุนัขนั่นเดี๋ยวนี้!
ตู๋กูจุนกำดาบใหญ่ของเขาเอาไว้แน่นตลอดเวลา จนข้อนิ้วทั้วหมดซีดขาว!
เสียนไท่เฟยหุบร่มลงแล้ว บนพระพักตร์ของนางมีแต่ความกังวลใจ
ท่านราชครูยืนอยู่ที่ปากอุโมงค์ กำชับเหล่าทหาราชองค์รักษ์ให้ขุดลึกลงไปอีกเรื่อยๆ
เจียงเหม่ยหยู่และผู้คนทั้งหลายที่่มากราบไหว้ที่สุสานทั้งหมดต่างถูกกักตัวไว้ ต่างก็รอคอยอยู่ที่ด้านข้างมาทั้งวัน จนตัวสั่นสะท้านไปหมดแล้ว
ตอนแรกนางยังกล้าจีบปากจีบคอพูดอยู่ปาก แต่ว่าตอนนี้แม้แต่ลมก็ยังไม่กล้าผาย ขุนนางใหญ่มากมายต่างมารวมกันอยู่ที่นี่ นางนับเป็นอะไรได้?
หากว่าวันนี้ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป เพื่อปิดบังข่าวนี้เอาไว้กององครักษ์ประจำพระองค์อาจจะส่งพวกนางขึ้นสวรรค์่พื่อปิดปากตลอดไป
สีหน้าของท่านนักพรตอู๋เจินสงบนิ่ง เขากำลังสวดประคำในมืออยู่ ริมฝีปากสวดมนต์ขมุบขมิบ ด้วยความสามารถของไทเฮาน้อยผู้นั้น ตอนให้ในสุสานมีผีมากมายแค่ไหน ยังจะทำอะไรนางได้?
ที่จริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องกังวลเลยด้วยซ้ำ
แต่ว่าเขาไม่อาจแพร่งพรายความสามารถอันล้ำเลิศของไทเฮาน้อยออกไปได้
บรรดาเหล่านักพรตรูปงามทั้งหลายต่างก็รวมสวดพระไตรปิฎกไปกับเขาด้วย
อาจบางทีเพราะมนต์ศักดิ์สิทธ์ในพระไตรปิฎกสำแดงเดช เมื่อพระจันทร์ขึ้นถึงกลางฟ้า ภายในอุโมงค์ก็เกิดความเคลื่อนไหว
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างพากัดกลั้นลมหายใจไว้ ยืดคอยาวมองเข้าไปในอุโมงค์
อุโมงค์ที่ขุดเอาไว้ค่อนข้างกว้าง สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าสะท้อนออกมาจากภายใน
“ฝ่าบาท! จะต้องเป็นพวกฝ่าบาทเสด็จออกมาแล้วแน่ๆ! หลี่กงกงตื่นเต้นจนน้ำตาแห่งความยินดีรินไหล ส่งเสียงราวเป็ดตัวผู้ด้วยความยินดี
แววตาของท่านราชครูก็ส่องประกาย
“น้องเล็ก! “
“เย่เอ๋อร์! “
ทุกคนต่างพลอยถูกเขากระตุ้นไปด้วย แต่ละคนมุ่งไปทางปากอุโมงค์
เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ หัวใจของทุกคนต่างก็ลิงโลดขึ้นมา หลังจากลำบากมาทั้งวัน ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึงแล้ว!
“ฝ่าบาทททท ฝ่าบาท~” หลี่กงกงรีบสั่งให้ขันทีน้อยยกเกี้ยวมาเตรียมไว้นำเสด็จกลับวังหลวง
พอเขาเรียกออกไปเช่นนี้ เสียงฝีเท้าด้านในกลับหยุดลง
หัวใจของผู้คนทั้งหมดต่างรอคอยด้วยความระทึก ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาจากด้านใน “กุ๊กๆ กรู้~”
ผู้คนทั้งหลาย “!!! “
ไม่ทันรอให้พวกเขาได้มีปฎิกิริยาใดๆ พวกเขาก็เห็นไก่ขนดำตัวฟูตัวหนึ่งขนาดใหญ่เท่าครึ่งตัวคนตัวหนึ่งขนกระโดดตุ๊บตับออกมา บนลำคอของมันมีรัดเกล้าของฮ่องเต้สวมอยู่ มันยืนเด่นเป็นสง่าท่วงท่าประหนึ่งผู้นำของใต้หล้ามองดูผู้คนทั่งหลาย
หลี่กงกงเกือบจะเป็นลมล้มลงไปอีกครั้ง “ฝ่า…..ฝ่าบาท….ฝ่าบาทกลายเป็นไก่ไปแล้วววว! “