ตอนที่ 90 ยอดฝีมือในการขัด (ขวาง)

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตื่นตระหนก แต่ละคนจดจ้องไปยังเจ้าไก่ขนดำตัวฟูตัวนั้น เมื่อมองดูแววตาของมัน ก็รู้สึกว่ามีความหยิ่งผยองอยู่หลายส่วน 

 

 

เจ้าไก่ขนดำตัวฟูไม่ได้พบผู้คนมากว่าสิบปีแล้ว พอออกมาก็ได้เห็นผู้คนมากมายรายล้อมต้อนรับ ย่อมภาคภูมิใจอย่างที่สุด 

 

 

สายตาของมันเป็นประกาย มันขยับปีกครั้งหนึ่ง ท่วงท่าราวเจ้าแผ่นดินรับการคำนับจากขุนนางทั้งหลายว่าไม่ต้องมากมารยาท 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นรัดเกล้าของฝ่าบาทบนลำคอก็โดดเด่นสะดุดตาอย่างที่สุด 

 

 

หลี่กงกงเปล่งเสียงไม่ออกแล้ว เขาย่อตัวลงแทบจะกลายเป็นคุกเข่าลงไปที่ตรงหน้าไก่ขนดำตัวฟู พลางยื่นมือออกไปคิดจะลูบไล้ไก่ตัวนั้นแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่น้ำตารินไหลสะอื้นเบาๆ “เวรกำเอ๋ย ฝ่าบาท พระองค์ทรงถูกสิ่งลึกลับในสุสานสาปเข้าหรือ ฝ่าบาทที่น่าสงสารของกระหม่อม……….” 

 

 

ไก่ตัวนั้นเหลือบตาค้อนเขาทีหนึ่ง ค่อยเชิดคอเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ไยดี 

 

 

มันเกลียดชายผู้ที่เตะมันนัก รวมไปถึงเหล่าพวกที่ทำดีต่อชายผู้นั้นด้วย 

 

 

มันเริ่มกรีดกรงเล็บกางออกตะกุยพื้นอีกครั้ง 

 

 

“ท่านราชครู นี่สมควรจะทำเช่นไรดี? ” หลี่กงกงเงยหน้าขึ้นมองท่านราชครูที่ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งอยู่ 

 

 

พูดไปแล้ว เขาก็หันไปมองทางนักพรตอู๋เจินรอบหนึ่ง เรื่องแบบนี้สมควรจะถามเหล่านักพรตอารามเทียนเก๋อกวนดีกว่าละมั้ง 

 

 

นักพรตอู๋เจินลูบคลำประคำในมือ สิบนิ้วประนมเข้าหากัน กล่าวออกมาคำหนึ่ง “โอ้ เง็กเซียนบนสวรรค์…..” 

 

 

ไก่ขนดำตัวฟูตัวนี้ออกมาจากสุสานที่ยิ่งใหญ่ จะพิจารณาอย่างไรก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดนัก บนตัวมันยังมีกลิ่นอายธาตุหยินอยู่เต็มเปี่ยม แต่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พวกปีศาจ 

 

 

นี่ช่างเป็นเรื่องประหลาด 

 

 

ผู้คนทั้งหลายเห็นแล้วก็ทำสิ่งใดไม่ถูก จะให้พวกเขาเชื่อว่าฮ่องเต้ของต้าโจวกลายเป็นไก่ตัวหนึ่งหรือ นี่มันเหลื่อเชื่อเกินไปหรือเปล่า? 

 

 

ยังไม่ทันให้พวกเขาได้พูดอะไร ไก่ตัวนั้นกลับทำแววตาคล้ายคลึงกับฮ่องเต้อยู่หลายส่วน 

 

 

ดังนั้นจึงมีพวกไม่ได้เรื่องที่สมองมึนงงหลายคนที่ถูกหลี่กงกงพาหลงจนคุกเข่าตามกันไปด้วย พากันกล่าวตามออกมาว่า “ฝ่าบาท ท่านนักพรตอู๋เจินและท่านราชครูจะต้องหาหนทางคืนร่างให้กับพระองค์ได้แน่” 

 

 

พวกเขาต่างเคยได้ยินมาว่าท่านราชครูยามเยาว์วัยเคยไปฝึกวิชาบำเพ็ญตนบนเขาฮัวชิงซาน ทั้งยังเป็นผู้มีวิชาพยากรณ์ด้วย เรื่องของฝ่าบาท…..ท่านราชครูย่อมต้องมีหนทางเป็นแน่ใช่หรือไม่? 

 

 

ไก่ตัวนั้นต้องใจฟังอย่างจริงจัง มันขยับปีกที่เอวข้างหนึ่ง ทั้งยังไม่ลืมกวาดตามองพวกเขาครั้งหนึ่ง ค่อยส่งเสียงตอบคำหนึ่ง “กุ๊กๆ กรู้~” 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “……..” 

 

 

หลี่กงกง “ฝ่าบาท? “ 

 

 

ไก่ขนดำตัวฟู “กุ๊กกรู้~” 

 

 

ในที่สุดตู๋กุจุนดูแล้วก็ทนไม่ไหว ควงดาบใหญ่ในมือชี้ไปทางเจ้าไก่ขนดำตัวฟูนั้น “น้องสาวข้าละ? เจ้าเอานางไปไว้ที่ไหน” 

 

 

หากว่าไอ้ไก่นี่คือฮ่องเต้ละก็ดีเลย จะได้เชือดเสียในดาบเดียวโยนลงหม้อตุ๋นไปเลย ไม่ต้องหาเหตุอะไรมาก่อกบฎมันแล้ว 

 

 

ฮ่องเต้ที่กลายเป็นไก่ไปแล้ว จะยังเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อย่างไร? 

 

 

ไก่ขนดำตัวฟูค่อยหันมามองเขา ทำหัวกระดุ๊กกระดิ๊กอยู่ครู่ใหญ่ หากว่ามันจำได้ไม่ผิดละก็ เมื่อสิบปีก่อนไอ้หนุ่มนี้ยังเป็นแค่หนุ่มน้อยคนหนึ่ง แค่พริบตาเดียวก็เติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว 

 

 

มันขยับปีกน้อยๆ เป็นการทักทายเขา 

 

 

แต่ในสายตาของตู๋กูจุนนี่เท่ากับเป็นการท้าทาย ดาบใหญ่ของเขาปาดลงมาบนตัวมัน 

 

 

หลี่กงกงตกใจจนตาตั้ง นั่นคือฝ่าบาทนะ……ต่อให้กลายเป็นเพียงไก่จะอย่างไรก็คือฝ่าบาท …….ทำไมท่านแม่ทัพถึงได้หุนหันพลันแล่นเช่นนี้? 

 

 

ท่านราชครูเพียงแต่ยืนอย่างสงบนิ่ง ไม่ส่งเสียงใด ภายใต้ชุดคลุมสีม่วง ดวงตาของเขาราวกับละลอกคลื่น เพียงหันไปมองลึกลงไปในอุโมงค์นั้น 

 

 

ครู่ต่อมา ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังสะท้อนมาจากในอุโมงค์ 

 

 

ตู๋กูจุนสบัดดาบอีกครั้งไล้ผ่านปีกของไก่ขนดำตัวฟูตัวนั้น จนขนบางส่วนปลิวออกมา 

 

 

เจ้าไก่ขนดำตัวฟูผวาจนตัวสั่น รีบแอบไปหลบที่ด้านข้าง เกือบไปแล้วๆ ……..อีกนิดเดียวมันก็จะกลายเป็นไก่ปีกด้วนแล้ว 

 

 

ขณะเดียวกัน ตู๋กูซิงหลันก็อุ้มจีเย่ว์ แบกจีเฉวียนเดินออกออกมาจากอุโมงค์ในภูเขา 

 

 

ถึงนางมีพละกำลังมาก แต่เจ้าสุนัขไม่ได้เรื่องสองตัวนี้รวมกันก็หนักสามร้อยกว่าจิน (เกิน 150 กิโล) การจะพาพวกเขาออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย 

 

 

ด้วยรูปร่างที่เล็กบอบบางของเจ้าของร่างนี้ทำเอาเอวแทบจะหักแล้ว นางต้องเหงื่อท่วมหายใจหอบมาตลอดทางเลย 

 

 

เส้นผมของนางเปียกเหงื่อจนชุ่ม ลีบติดใบหน้า 

 

 

แต่ยามที่เดินออกมาถึงปากอุโมงค์กลับได้เห็นภาพที่ไม่คาดคิดมาก่อน…….หลี่กงกงกับขุนนางทั้งหลายกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเจ้าไก่ขนดำตัวฟู พี่ใหญ่ ท่านราชครู ไท่เสียนเฟย นักพรตอู๋เจินและเหล่าศิษย์ทั้งหลาย ยังมีกองทหารตระกูลตู๋กูและเหล่าองครักษ์ของฮ่องเต้ กระทั่งเจียงเหม่ยหยู่และคนของนางทั้งหมดต่างรอคอยอยู่ด้านนอก 

 

 

ภายใต้แสงจันทร์สว่างและสายลมหวีดหวิว ตู๋กูซิงหลันที่เหงื่อท่วมตัวถูกลมพัดโชยจนรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาไม่น้อย 

 

 

“น้องเล็ก! ” ตู๋กูจุนมองดูนางอย่าไม่อาจเชื่อสายตาตนเอง หากไม่ได้เห็นว่าใบหน้าเล็กๆ นั่นคือน้องเล็กแล้วละก็ เขาจะต้องคิดว่าเป็นสัตว์ประหลาดอะไรสักอย่างลากเจ้าคนแซ่จีทั้งสองออกมาแน่ 

 

 

เพราะว่าแม้แต่ตัวเขาเอง หากต้องทั้งอุ้มทั้งแบกบุรุษตัวใหญ่ทั้งสองออกมาก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มมุมปาก ภายใต้สายตาตื่นตระหนกของผู้คนทั้งหลายย นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผม “โอ้ ความรักของมารดาช่างเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน! เราช่างเป็นมารดาผู้ประเสริฐ ทุ่มเทชีวิตชรานี้ช่วยเหลือราชโอรสทั้งสองออกมา” 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “……….” 

 

 

ทำไมพวกเราถึงได้รู้สึกว่าเจ้าเป็นตัวประหลาดไปแล้ว? กลายเป็นพวกมีกำลังมหาศาลอะไรแบบนั้น 

 

 

“เรามึนศีรษะมาก เราไม่มีแรงแล้ว” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพูดแล้วก็โซเซอย่างหมดเรี่ยวแรงขึ้นทันใด เอวอ่อนจนแทบล้มลงไปกับพื้น 

 

 

ตู๋กูจุนมือเท้าว่องไวรีบเข้ามาพยุงนางไว้ มือก็รีบกระชากกิ่งไม้ที่รัดรึงจีเฉวียนบนหลังนางขาดออกไป 

 

 

เมื่อเห็นว่าจีเฉวียนกำลังจะหล่นลงไปบนพื้น ท่านราชครูก็รีบเคลื่อนร่างหมูสามชั้นของเขาเข้ามารองรับตัวจีเฉวียนไว้ โอบอุ้มพระองค์เข้าไปในอ้อมอก เส้นผมยาวสลวยของเขาสัมผัสพระพักตร์ของฝ่าบาท สายตาเปี่ยมไปด้วยความกังวลใจ 

 

 

น้ำเสียงของเขาอบอุ่นอย่างอยากหาที่ใดเปรียบได้ “ฝ่าบาท~” 

 

 

ภายใต้แสงจันทร์สาดส่องสว่าง ภาพของท่านราชครูที่รูปร่างอวบอ้วน และฝ่าบาทที่พระพักตร์มีแต่โคลนเลอะเทอะช่างบาดสายตาของทุกผู้คนอย่างชัดเจน 

 

 

ทุกคนต่างทราบดีว่า ฮ่องเต้และท่านราชครูต่างมีความผูกพันทางจิตใจอย่างลึกซึ้ง………. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูพวกเขาคราหนึ่ง ก็อดจะรู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัวไม่ได้ ฉากรักที่ดื่มด่ำหวานซึ่งตรงหน้าเช่นนี้ ………ใช่คิดถึงใจนางที่เป็นแม่ม่ายตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกาบ้างหรือไม่เล่า? 

 

 

เสียแต่ว่าหลี่กงกงยอดฝีมือในการขัดขวางผู้ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรหรือสนใจอะไรผู้นั้น ก็รีบร้อนเข้ามาขั้นกลางช่วงเวลาดีๆ ระหว่างคนทั้งสองเอาไว้ “อ้ายย่าห์ ฝ่าบาท ที่แท้พระองค์ไม่ได้กลายเป็นไก่ ทำเอาบ่าวเฒ่าตกใจแทบตายแล้ว! “ 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “………” คนที่โง่เง่าเช่นนี้ทำไม่ถึงยังสามารถรั้งอยู่รับใช้ข้างกายฝ่าบาทโดยไม่ตายได้นานขนาดนี้? 

 

 

เหล่าขุนนางที่พากันคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเจ้าไก่ขนดำตัวฟูก็พากันยืนขึ้นอย่างอับอาย แต่ละคนต่างก็หน้าแดงไปตามๆ กัน 

 

 

พวกเขาโง่งมถึงขนาดไหนกัน ไยจึงไปเชื่อว่าฝ่าบาทจะกลายร่างกายเป็นไก่ไปได้? 

 

 

ถึงตอนนี้ตู๋กูจุนคุกเข่าลงข้างหนึ่งประคองน้องสาวของตนเองเอาไว้ จีเย่ว์ที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขนของนางถูกเขาสั่งให้ลูกน้องเอาไปโยนไว้ใกล้ๆ เสียนไท่เฟยแล้ว 

 

 

เสียนไท่เฟยสั่งให้นางกำนัลประจำตัวชิงผิงประคองจีเย่ว์เอาไว้ ส่วนตัวนางเองกลับเดินเข้ามา ย่อตัวลงอยู่ข้างๆ ตู๋กูซิงหลัน กุมมือของนางเอาไว้ด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจอย่างที่สุด “หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของไทเฮา ที่ยังคิดถึงความผูกพันเก่าก่อน ถึงได้ทรงช่วยชีวิตเย่เอ๋อร์ไว้”