บทที่ 299 เรื่องน้ำเน่าของตระกูลเศรษฐ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

หลังจากถามลองเชิงเป็นเวลาสั้นๆ เกาเหลียงก็นำหน้าตู้เฉี่ยวเฉี่ยวบอกลาอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่า ก่อนหน้าที่จะเดินนำไปเขายังเหลือกล้วยไม้เจียผีไว้สองกิโลครึ่งด้วย

สำหรับห่อสิ่วโอวสองอันนั้น เขาไม่มีความกล้าแลกเอาไปจริงๆ กล้วยไม้เจียผีสองกิโลครึ่งนั้นถือว่าเป็นของขออภัย

แม้กระทั่ง ถ้าไม่ใช่ว่าการเข้าไปที่เหมืองหินหยกต้องใช้กล้วยไม้เจียผี เขาอยากจะเหลือทั้งห้ากิโลกรัมเอาไว้หมด

โดยเฉพาะ เขาจงใจใช้อานุภาพชี่ทิพย์ลองเชิงไปรอบหนึ่ง

ต้องรู้ว่า อยู่ในวงการต่อสู้นี่คือข้อห้ามที่เข้าใจกันเอง ไม่แน่ว่าอาจก่อให้เกิดศึกความเป็นความตายได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีใครจะเต็มใจถูกคนอื่นเขาลองเชิงทุกวันไม่ใช่เหรอ?

ถึงบอกว่าซูเหมยประหลาดใจต่อสิ่งนี้อยู่บ้าง แต่สุดท้ายได้กล้วยไม้เจียผีมาครองย่อมเป็นเรื่องดี

ส่วนเรื่องนี้สำหรับเย่เทียนรู้ดีอยู่แก่ใจ มองเกาเหลียงและคนกลุ่มหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็ว มุมปากอดไม่ได้เผยรอยยิ้มที่ความหมายลึกซึ้งออกมา

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ทั้งสองคนที่ได้รับกล้วยไม้เจียผีมาแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ด้านในคฤหาสน์หวงถิงต่ออีก ขับรถกลับไปที่ตระกูลซูแล้ว

รอกลับมาถึงตระกูลซู ตัวยาสมุนไพรที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนสั่งจากที่ป่ายเช่าถางถูกส่งเข้ามาตั้งนานแล้ว

หยางหย่งซินกลับไม่ได้ใช้ลูกไม้อะไรในด้านนี้ ไม่ว่าอย่างไรตระกูลซูยังเป็นตระกูลชั้นนำของจ๊กกลาง ไม่มีความจำเป็นต้องเสียศักดิ์ศรีเพื่อเงินน้อยนิดขนาดนี้

ภายใต้สถานการณ์ที่ได้ตัวยาสมุนไพรครบถ้วน เรื่องต่อไปนี้ก็จัดการง่ายดายแล้ว

หลังจากให้แม่บ้านน้าฟางเตรียมน้ำร้อนเอาไว้ เย่เทียนนำตัวยาสมุนไพรกองหนึ่งต้มจนกลายเป็นยาน้ำเทลงไปด้วยตนเอง ผสมอัตราส่วนสองอย่างลงแล้ว ถึงแจ้งให้ท่านปู่ซูเข้าไปแช่ตัว

รอตอนที่ท่านปู่ซูเข้ามาในห้องน้ำ เย่เทียนกับซูเหมยและแม่ของเธอ นั่งลงรอผลลัพธ์สุดท้ายอยู่ที่ห้องรับแขก

สำหรับซ่งชูหลาน ตอนที่เย่เทียนและซูเหมยกลับมาก็ไม่อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว จึงประหยัดเวลาไว้ได้ส่วนหนึ่ง

ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ดูจากท่าทีของซ่งชูหลาน ที่แสดงออกมาตอนแรกสุด เลี่ยงที่จะขัดขวางการกระทำของเย่เทียนได้ยาก

“เสี่ยวเย่ แบบนี้ก็ได้แล้วเหรอ? ไม่ต้องทำอย่างอื่นอีกเหรอ?”

ถึงบอกว่าเย่เทียนมีความเข้าใจแน่เท้ แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัวพันถึงปัญหาเฉพาะด้าน จ้าวเสว่เฟินจึงเป็นห่วงอยู่บ้างแบบเลี่ยงไม่ได้

ไม่ได้ประสิทธิผลเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเกิดทำให้อาการของซูหงจวินยิ่งแย่ลง นั่นคงอันตรายถึงชีวิตคน!

“แม่คะ แม่วางใจเถอะค่ะ!”

ไม่รอให้เย่เทียนตอบสนองกลับ ซูเหมยก็เอ่ยปากพูดก่อนว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่หนูปวดท้องประจำเดือนหนักมากแค่ไหนแม่ก็น่าจะรู้ดีเหมือนกัน แต่หลังจากที่เย่เทียนรักษาให้หนู ตอนนี้มาแต่ละครั้งไม่ปวดเลยค่ะ”

“จริงเหรอ?” จ้าวเสว่เฟินตะลึง สำหรับเรื่องนี้ยังยากที่จะรักษาท่าทีกึ่งเชื่อกึ่งสงสัยไว้

ปัญหาปวดประจำเดือนของซูเหมยหล่อนในฐานะแม่คนนี้ยังรู้ชัดเจนดี แทบจะเริ่มมาตั้งแต่เด็กแต่ละครั้งจะหนักหนาแบบปวดขั้นเป็นลมไปเลย วิ่งไปโรงพยาบาลไม่รู้กี่เที่ยวล้วนไม่มีประโยชน์

สมัยโบราณมีคำกล่าวว่าไว้ดีมาก: คนหนุ่มสาวทำอะไรไม่มีประสบการณ์และความมั่นใจ

อายุของเย่เทียนที่จริงนั้นอ่อนเยาว์เกินไปมาก ถึงเข้าใจการแพทย์แต่เกรงว่าคงฉลาดไปไม่ถึงไหนหรอกกระมัง?

ปัญหานี้ของซูเหมยไม่รู้ว่าทรมานมานานเท่าไรกลับเป็นเย่เทียนรักษาจนหาย นี่ทำให้ปฏิกิริยาแรกของจ้าวเสว่เฟินจะเชื่อถือได้อย่างไร?

“แม่คะ นี่หนูมีอะไรให้หลอกแม่กัน?”

ซูเหมยกุมมือของจ้าวเสว่เฟินไว้แน่น อมยิ้มบอกว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เดี๋ยวคุณปู่ก็จะออกมาแล้ว ได้ผลหรือไม่ไว้ดูก็รู้เองค่ะ”

“นี่ก็จริง”

จ้าวเสว่เฟินพยักหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ มองซูเหมยที่อยู่ใกล้มากๆ และมองไปทางเย่เทียนแล้ว พูดอย่างขมขื่น “เสี่ยวเหมย ความจริงที่เรียกลูกกลับมาครั้งนี้ นอกจากคุณปู่ไม่สบายแล้ว ยังมีเรื่องอยากพูดกับลูกด้วย”

“แม่คะ เรื่องอะไรกันคะ?”

สังเกตถึงท่าทีของจ้าวเสว่เฟินที่ไม่ปกติเอาเสียเลย ซูเหมยจึงรีบสอบถาม

“ก่อนหน้าตอนอยู่เจียงหนัน ยังจำหลี่เฟิงที่แม่พาเข้าไปหาลูกด้วยกันได้มั้ย?”

จ้าวเสว่เฟินหัวเราะขมขื่นและส่ายหน้า “ความจริงตอนนั้นแม่หลอกลูกแล้ว เขาไม่ใช่ลูกชายเพื่อนของคุณตาลูกหรอก แต่เป็นคนของตระกูลหลี่ตระกูลที่เจริญขึ้นมาของจ๊กกลางเมื่อสองปีนี้……”

พอเปิดประเด็นมา ในเวลานั้นจ้าวเสว่เฟินพูดได้ว่ารู้แต่กลับไม่พูด พูดก็พูดไม่หมด จึงเล่าสาเหตุที่ให้ซูเหมยกลับมาอย่างละเอียดแล้ว

ว่ากันตามความจริงแล้ว ก็เป็นเพียงแค่เรื่องน่ารำคาญของตระกูลเศรษฐีที่แต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์นั่นเอง

หลายปีมานี้ ถึงตระกูลซูจะไม่ได้ตกต่ำ แต่ด้านการเติบโตกลับหยุดชะงักมาโดยตลอด ทำให้ลุงของซูเหมยผู้นำตระกูลคนนี้กังวลอย่างมาก

ตระกูลหลี่ถึงจะเป็นตระกูลเศรษฐีหน้าใหม่ แต่ไม่ว่าด้านทรัพย์สิน หรือว่าด้านเครือข่ายล้วนไม่ด้อยไปกว่าตระกูลซูสักแค่ไหน แม้กระทั่งยังแอบแซงหน้าตระกูลซูระดับหนึ่ง

บวกกับไม่เพียงแค่ลุงของซูเหมยและผู้นำของตระกูลหลี่เจอกันครั้งแรกก็ถูกชะตากัน ส่วนซูเย่าหมิงและหลี่เฟิงทั้งสองคนก็เสียใจที่ไม่ได้เจอกันเร็วกว่านี้เช่นกัน

ภายใต้สถานการณ์ที่ฐานะเท่าเทียมกัน ลุงของซูเหมยจึงครุ่นคิดว่าสองตระกูลน่าจะมาเกี่ยวดองกันหรือไม่ ให้ซูเหมยแต่งงานกับหลี่เฟิง

เรื่องที่ลูกหลานตระกูลเศรษฐีแต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์มีมากมายไป อีกอย่างพ่อซูแม่ซูก็เคยเจอหลี่เฟิง แต่ก็ไม่ได้มีปัญหามากมายเช่นกัน

ดังนั้นถึงมีเรื่องที่ก่อนหน้านี้แม่ซูพาหลี่เฟิงไปหาซูเหมยที่เจียงหนัน

แต่ หลังจากเคยพบเจอความสามารถของเย่เทียนมา แม่ซูกลับเปลี่ยนท่าทีไม่พอใจต่อเรื่องนี้แล้ว

ถึงแม้จ้าวเสว่เฟินจะไม่รู้ชัดถึงความสามารถโดยรวมของเย่เทียน ในเมื่อครอบครองการ์ดมังกรดำของตระกูลฉินแห่งเจียงหนัน นี่พอจะทำให้หล่อนปฏิบัติต่อเย่เทียนด้วยตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน

ในเมื่อตำแหน่งสถานะของเย่เทียนและหลี่เฟิงไม่ต่างกันไปถึงไหน แน่นอนว่าแม่ซูหวังว่าซูเหมยจะแต่งงานกับคนที่ตนเองชอบ

เพราะด้วยเหตุนี้ ภายใต้ความยืนหยัดของแม่ซู เรื่องนี้จึงถูกหยุดลงมาไว้แล้ว

แต่ใครจะไปรู้ได้ว่า ช่วงก่อนหน้าระเบิดข่าวของเหมืองหินหยกออกมากะทันหัน ดึงดูดความสนใจของผู้มีอิทธิพลมากมาย

เหมืองหินหยกสำหรับตระกูลซูที่ทำกิจการอัญมณียังมีความหมายลึกซึ้งมากเหมือนกัน ถ้าเกิดตกมาอยู่ในมือมีแนวโน้มว่าจะทำให้ทั้งตระกูลซูพลิกตัวขึ้นอีกเท่าหนึ่ง

แต่เผชิญหน้ากับอิทธิพลหลายทาง ลุงของซูเหมยจึงไม่มีความมั่นใจมากพอ พูดรบเร้าต่อหน้าท่านปู่ซูให้ร่วมงานกับตระกูลหลี่ครั้งแล้วครั้งเล่า

กระทั่งพูดไปเป็นจำนวนมาก ซูหงจวินจึงยอมรับโดยปริยายลงมาตามนั้น ถือโอกาสใช้เรื่องที่ป่วยให้จ้าวเสว่เฟินโทรศัพท์เรียกซูเหมยกลับมา

หากพูดให้เข้าใจง่ายหน่อย สถานการณ์ของตระกูลซูในปัจจุบันนี้ซับซ้อนพอสมควร ลุงของซูเหมยที่คบค้าสมาคมกับตระกูลหลี่และทั้งครอบครัวหวังว่าซูเหมยจะสามารถแต่งงานเข้าไปได้

นี่คือเหตุผลว่าทำไมไม่ว่าจะเป็นซูเย่าหมิง หรือว่าซ่งชูหลาน หลังจากที่รู้ว่าเย่เทียนคือเพื่อนที่ซูเหมยพากลับมาจากเจียงหนันจึงมีปฏิกิริยามากขนาดนี้

แต่พ่อซูที่เดิมทีเห็นด้วย ภายใต้ความพยายามของจ้าวเสว่เฟินกลับเปลี่ยนจุดยืนแล้ว ถึงไม่ได้บอกออกมาว่ายืนอยู่ฝ่ายเย่เทียน แต่อย่างน้อยก็แสดงออกมาว่าให้ซูเหมยเลือกเอาเอง

เพราะเรื่องนี้ ทำให้สองพี่น้องของตระกูลซูที่เดิมทีสนิทสนมกันมีความบาดหมางขึ้นแล้ว ช่วงนี้ทะเลาะกันจนมองหน้ากันไม่ติด

“แม่คะ หนูไม่อยากแต่งงานกับหลี่เฟิง!”

หลังจากฟังคำอธิบายของจ้าวเสว่เฟินจบ ซูเหมยไม่มีลังเลสักนิดเดียว ส่ายศีรษะอย่างกับรัวกลอง ระหว่างพูดจายังไม่ลืมแอบชำเลืองมองเย่เทียนแล้ว ความหมายในนั้นไม่พูดก็เข้าใจได้

จ้าวเสว่เฟินเห็นการกระทำเล็กน้อยของซูเหมยทั้งหมดในสายตา หล่อนในฐานะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนจะไม่รู้ความคิดของลูกสาวได้อย่างไร

ทว่าหล่อนแต่งงานเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลซู แม้แต่ปัญหาการแต่งงานของลูกสาวแท้ๆ สิทธิ์ตัดสินท้ายสุดยังตกอยู่ที่ตัวของซูหงจวินอยู่ดี

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจ้าวเสว่เฟินถึงสนใจว่าวิธีการของเย่เทียนว่าจะได้ผลหรือไม่ ถ้าได้ผล ไม่แน่ว่าซูหงจวินดีใจขึ้นมา ระหว่างซูเหมยและหลี่เฟิงอาจจะยังไม่เกิดขึ้นจริงแล้ว

พูดแบบทั่วไปคือ ปัจจุบันนี้ไม่ใช่แค่แก้ไขปัญหาสีผิวแปลกประหลาดนั้นของซูหงจวินได้ นอกจากนี้ยังตัดสินใจปัญหาการแต่งงานของซูเหมยว่าจะเป็นอิสระได้หรือไม่ด้วย