บทที่ 474 จวนท่านอ๋องห้าถูกตัดสินประหารชีวิต

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปที่เรือนหลังเพื่อไปดูสวีกงกง วันนี้อาการของสวีกงกงดีขึ้นมาก เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ซักถามเกี่ยวกับการเรื่องตำราบทสวดของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าการควบคุมของจวนแม่ทัพนั้นมีความเข้มงวดมาก ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องในวังหลวงออกไปแม้แต่น้อย

อันที่จริงถึงแม้ว่าจะเป็นประชาชนคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีใครรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังหลวง

ประชาชนรู้เพียงแค่ท่านอ๋องเย่ได้สังหารจงชินแล้ว แต่กลับไม่มีใครรู้ความปั่นป่วนในวังหลวง

“เรื่องของตำราบทสวดนั้นข้ายังต้องไปรับมาจากพระพันปี แต่ข้ากังวลว่าพระพันปีจะถามซักไซ้ข้า ข้ายังลังเลว่าจะรอไปอีก รอให้ข้าและท่านอ๋องไปวัดแล้วถามพระอาจารย์ว่ามีอะไรจะมอบให้กับข้าได้บ้าง หลังจากนั้นก็จะนำมามอบให้กับกงกง”

“พระชายาพูดมาก็มีเหตุผล ข้าน้อยก็ไม่ได้รีบร้อน เพียงแต่เมื่อคืนฝันเห็นอาซี เห็นนางนั่งอยู่ในห้องมืดที่มีเพียงแสงสลัวอยู่ข้างใน และบริเวณโดยรอบก็ว่างเปล่าและโดดเดี่ยว หลังจากตื่นนอนแล้วก็รู้สึกไม่สบายเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม “เช่นนั้นก็นับว่าดีแล้ว ต้องเป็นเพราะตอนมีชีวิตอยู่ป้าซีได้ทำเรื่องดีๆ ไว้เยอะและไม่เคยทำร้ายใคร เมื่อตายไปแล้วก็มาคุ้มครองดูแลเป็นเงา มอบห้องเล็กๆ ไว้ให้นางได้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น

อันที่จริงก่อนหน้านี้ข้ากังวลว่าป้าซีจะถูกส่งไปยังนรกชั้นที่สิบแปดด้วยซ้ำ!”

“หา!” เมื่อได้ยินว่านรกชั้นที่สิบแปด สวีกงกงก็ตกใจกลัว!

สวีกงกงรู้จักนรกชั้นที่สิบแปดดี เมื่อได้ยินถึงกับเหงื่อท่วมตัว ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งพูดซ้ำอีกว่า “พูดตามตรง ถึงแม้ว่าตอนมีชีวิตอยู่ป้าซีจะทำเรื่องดีๆ ไว้มากมาย แต่ตอนตายไปแล้วก็ได้ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนหลายคน ข้ากังวลมาเสมอว่าป้าซีจะไม่สามารถหักล้างบุญคุณในโลกใต้พิภพได้ และในที่สุดนางก็จะต้องตกนรก

นรกนั้นมีหลายชั้น เมื่อตกลงไปนั้นก็เท่ากับความทุกข์ทรมานวันแล้ววันเล่า จะตายก็ไม่สามารถตายได้

เกรงว่าท่านจะเสียใจ จึงไม่กล้าพูดออกมา

จึงคิดว่าหากได้ท่องบทสวดบ้าง ไม่แน่อาจสามารถหลุดพ้นจากนรกได้

แต่เมื่อฟังจากที่กงกงกล่าวมานั้น ข้าคิดว่าป้าซีคงต้องการบอกว่าตอนนี้นางสบายดี เพียงแค่ไม่รู้จะจัดการกับยมโลกอย่างไร จึงได้มาเข้าฝันกงกง

อย่างไรเสียบทสวดนี้จะสวดหรือไม่สวดก็ไม่มีผลอะไร เพราะป้าซีสุขสบายดี”

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ จะต้องท่องบทสวด จะไม่ท่องได้อย่างไร? เดิมทีจะต้องถูกลงโทษในนรก ต้องเป็นเพราะช่วงนี้ข้าน้อยท่องบทสวดอามิตตาพุทธ จึงทำให้ป้าซีออกมาจากนรกได้

เมื่อวานข้าน้อยเพิ่งจะขอพร หากป้าซีใช้ชีวิตอยู่ในยมโลกอย่างสุขสบาย ข้าน้อยจะท่องบทสวดพระคัมภีร์ทั้งหมดอย่างไม่ละเลยพ่ะย่ะค่ะ

หากวันนี้ข้าน้อยไม่ท่อง วันข้างหน้าป้าซีก็จะไปเกิดใหม่ไม่ได้ และจะต้องโทษข้าน้อยอย่างแน่นอน!

ไม่ได้ ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”

สวีกงกงส่ายหน้า ฉีเฟยอวิ๋นต้องการทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก แต่เมื่อมองออกไปแล้วจึงรู้ว่าเป็นไปไม่ได้

“เช่นนั้นข้าจะกลับไปคุยกับท่านอ๋อง ดูว่าสามารถไปที่วัดได้หรือไม่และเชิญกลับมาให้ท่าน”

“พ่ะย่ะค่ะ เรื่องทั้งหมดนี้ต้องรบกวนพระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก กงกงดูแลรักษาแผลให้ดี ข้าไปก่อนล่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเดินจากไป เมื่อออกมาจากประตูก็กลับไปในเรือน

ขณะนี้แม่ทัพฉีกำลังกลับมาจากข้างนอก เมื่อเห็นลูกสาวก็เดินเข้าไปหา

“ท่านพ่อ ทำไมสีหน้าของท่านไม่ดีนักเจ้าคะ?”

“เห้อ……พระพันปีมีรับสั่ง ลงโทษคนในจวนท่านอ๋องห้าทั้งหมด นอกจากท่านอ๋องห้าจะถูกกักขังไปอยู่ในคุกแล้ว คนที่เหลือถูกประหารทั้งหมดไม่ว่าจะเด็กเล็กหรือแก่ชรา” แต่ชีวิตคนจำนวนมากเช่นนี้ ขนาดเด็กในท้องก็ไม่ปล่อยไว้ สำหรับคุณตาอย่างเขาแล้วนั้น เขาไม่สามารถลงมือกระทำได้

“ท่านพ่อ แต่เรื่องนี้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้” ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ใครให้พวกเขาคัดค้านต่อการก่อการกบฏวังหลวงล่ะ หากหนานกงเซวียนเหอก่อการกบฏสำเร็จ คนที่จะต้องถูกสังหารในวันนี้ก็ต้องเป็นพวกเขา

“พ่อเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” แม่ทัพฉีเดินออกไปพักผ่อน ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองไปที่หน้าประตูของจวนแม่ทัพ บอกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอก แต่ภายนอกเกิดอะไรขึ้นมาฉีเฟยอวิ๋นก็ยังคงถามไถ่ความเป็นมา

เมื่ออวิ๋นจิ่นมีความคืบหน้าอะไรก็มักจะมารายงานให้ฉีเฟยอวิ๋นทราบ

คนที่จวนท่านอ๋องห้าถูกสังหารทั้งหมด ท่านอ๋องห้าก็ได้ดื่มเหล้าเพื่อฆ่าตัวตายลงในคุก

จวนท่านอ๋องห้าสมคบคิดกบฏอย่างลับๆ และส่งคนไปลอบสังหารจักรพรรดิ หลักฐานเป็นที่แน่ชัด ฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูได้รับความดีความชอบในการปกป้องคุ้มครองจักรพรรดิ จักรพรรดิยกเว้นการสังหารกับองค์หญิงหลิงซิ่ว แต่ได้มอบเหล้าพิษให้หนึ่งแก้ว

ไม่มีใครในจวนเสนาบดีได้รับโทษ แต่กลับได้รัจวนหนึ่งหลังมอบให้เป็นรางวัล

เพื่อให้เป็นจวนสำหรับเฉินอวิ๋นเจี๋ยในการกระทำคุณงามความดีสำเร็จ

ฉีเฟยอวิ๋นฟังเรื่องนี้จากนั้นก็เดินออกมาจากจวนแม่ทัพ เมืองหลวงยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กลับมีสถานที่แห่งหนึ่งเป็นสถานที่ทุกคนต่างหวาดกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้

ฉีเฟยอวิ๋นพาอาอวี่เข้าไปที่จวนท่านอ๋องห้า และได้พบกับเว่ยหลินชวนที่นั่น

เว่ยหลินชวนเห็นฉีเฟยอวิ๋นจึงเข้ามาแสดงความเคารพ “ข้าน้อยคารวะพระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นยกมือขึ้นเพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องพิธีรีตองเช่นนี้

ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองถนนหน้าจวนท่านอ๋องห้า เดิมทีเธอไม่ต้องการเข้าไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไป

“ท่านอ๋องห้าไปแล้วหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นถาม

เว่ยหลินชวนกล่าวว่า “วันนี้องค์หญิงใหญ่ไม่ออกมาทานข้าวทั้งวันเลยพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น”

“ข้าไปดูได้หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นถาม เว่ยหลินชวนส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ พระองค์กล่าวว่าไม่อยากเจอหน้าใครทั้งนั้น รอให้ผ่านไปก่อน ยาที่พรระชายาให้ไปก็ยังมีอยู่ และทานอย่างไม่ขาด” เว่ยหลินชวนทำสีหน้าโศกเศร้า

“อันที่จริงลูกหลานของภรรยาเอกในจวนท่านอ๋องห้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะพูด ลูกของอนุภรรยานั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการยอมรับและฐานะตำแหน่งในจวนนั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนใช้ ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้รู้จักลูกของอนุภรรยาของท่านอ๋องห้าอยู่คนหนึ่ง ตั้งแต่เขาเกิดมาก็อยู่แต่ในเรือนของคนใช้

ได้ยินมาว่าท่านแม่เป็นสาวใช้ที่ร่วมหลับนอนด้วยและถูกฮูหยินสั่งสังหาร ตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุได้เพียงสามขวบเท่านั้นและไม่รู้ความอะไร จากนั้นก็ส่งให้กับคนใช้ หลังจากนั้นเขาก็ถูกเลี้ยงดูโดยคนใช้และเติบโตมาท่ามกลางคนใช้ จากนั้นก็ทำงานหนักอยู่แต่เรือนหลัง ถึงแม้ว่าเขาจะถูกเรียกว่านายน้อยเจ็ด แต่เขาก็เป็นเพียงคนใช้

แต่เขาฉลาดและตั้งใจเรียนรู้ มีนิสัยดีและเป็นคนดี

ตอนที่ข้าน้อยพบเจอเขา เขากำลังช่วยเหลือคนอยู่นอกเมืองหลวงออกไปสิบลี้

เขาเป็นหมอและหลังจากที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ก็ได้ออกจากจนท่านอ๋องห้า และใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเพียงคนเดียว

หลังจากที่รู้จักกันพวกเราก็มักออกมาดื่มน้ำชาด้วยกัน บางครั้งเขาจะพูดถึงเรื่องราวในครอบครัว ดูออกว่าเขาไม่ชอบครอบครัวในจวนท่านอ๋องห้า แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ครั้งนี้ที่เขาถูกตัดสินประหารชีวิตข้าน้อยก็ได้ไปพบเขา ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตก็ได้พูดกับข้าน้อยหนึ่งประโยคนั่นก็คือ ให้ข้าน้อยอย่าเสียใจ”

ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของเว่ยหลินชวนอย่างดี เขามาที่จวนท่านอ๋องห้าก็เพื่อมาดูแทนเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย

ต่อให้สถานที่แห่งนี้ไม่ดีอย่างไร แต่ก็เป็นบ้านของเพื่อนของเขา เพื่อนของเขาไม่ชอบที่นี่ เพียงเพราะที่นี่ไม่มีความทรงจำดีดีให้นึกถึง เขาเพียงแค่ต้องการได้รับการยอมรับจากที่นี่

“ข้าต้องไปที่จวนเสนาบดีแล้ว ขอตัวก่อน!”

ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังกลับและเดินตรงไปทางจวนเสนาบดี เว่ยหลินชวนเดินตามไปข้างหลัง ทั้งสองอยู่ในระยะห่างกันไม่กี่ก้าว

เมื่อมาถึงจวนเสนาบดี ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมอง จวนเสนาบดียังคงสงบเรียบร้อยและดูไม่ออกเลยว่ามีฮูหยินแม่ทัพจากไปคนหนึ่ง

ฉีเฟยอวิ๋นยินมองอยู่พักหนึ่ง เดิมทีตั้งใจว่าจะเดินจากมา แต่กลับเห็นว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยกำลังเดินออกมาจากข้างใน

เฉินอวิ๋นเจี๋ยเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกตกใจ หลังจากนั้นจึงเดินมาข้างหน้าฉ๊เฟยอวิ๋นและยกมือขึ้นทำความเคารพ “คารวะพระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เขาเงยขึ้น นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เฉินอวิ๋นเจี๋ยแสดงออกอย่างเป็นทางการเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกไม่สบายตัวนัก