“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ พระชายาเย่เชิญเสด็จเข้าไปข้างในเถอะ” หลังจากที่พูดจบ เฉินอวิ๋นเจี๋ยก็จากไป เขาสวมชุดสีดำ แขนเสื้อกว้างและแกว่งไปแกว่งมาบนร่างที่ซูบผอมของเขา ราวกับลมจะพัดพาเขาไป
ฉีเฟยอวิ๋นต้องการจะไปดู จึงเดินตามหลังไป
หลังจากที่ออกไปนอกเมือง เฉินอวิ๋นเจี๋ยก็เดินไปไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามอาอวี่ว่า:“อาอวี่ เขาจะไปไหน?”
อาอวี่ส่ายหัว:“ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยหลินชวนกล่าวว่า:“ดูจากทิศทางที่เขากำลังไปแล้ว เขาน่าจะไปที่หลุมฝังศพหมู่นอกเมือง!”
“หลุมฝังศพหมู่?” ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองเว่ยหลินชวน
เว่ยหลินชวนอธิบายว่า:“หลังจากงานศพของผู้คนในจวนอ๋องเจ็ด ฝ่าบาททรงส่งคนไปหาสถานที่สำหรับพวกเขา แต่คนในจวนอ๋องห้าเป็นกบฏ หลังจากที่ตายแล้วก็ถูกโยนลงไปในหลุมฝังศพหมู่ และหลุมฝังศพหมู่นั้นก็เป็นหลุมฝังศพของผู้ที่ไร้ญาติ จึงถูกโยนทิ้งลงไปที่นั่น
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ
“ผู้น้อยเคยไปที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ เพราะความเป็นเพื่อน ศพของเขาก็อยู่ในนั้นด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เว่ยหลินชวน:“พวกเขาต้องโทษว่าสมรู้ร่วมคิดกับกบฏ เจ้าไปรับศพของเพื่อน เจ้ามีความผิดหรือไม่?”
“……” เว่ยหลินชวนไม่ตอบ ฉีเฟยอวิ๋นจึงหันไปหามองเฉินอวิ๋นเจี๋ย
เมื่อมาถึงหลุมฝังศพหมู่ ข้างในนั้นก็ไหม้เกรียมหมดแล้ว และมีกลิ่นเหม็นไหม้ของซากศพ
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ข้างบนแล้วมองลงไปข้างล่าง นางเห็นว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยกำลังค้นหาใครบางคนในกองซากศพที่ไหม้เกรียม
ฉีเฟยอวิ๋นสงสัย:“หลิงซิ่วจวิ้นจู่แขวนคอตายจากการดื่มมิใช่หรือ?”
“น่าจะเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่ดูจากท่าทางของแม่ทัพน้อยเฉินแล้ว เขากำลังหาใครบางคนอยู่” ในขณะที่เว่ยหลินชวนกล่าว เฉินอวิ๋นเจี๋ยก็แบกร่างของชายที่ซูบผอมคนหนึ่งออกมาจากกองซากศพ
เฉินอวิ๋นเจี๋ยแบกศพเดินขึ้นมาอย่างยากลำบาก และเมื่อมาถึงข้างบน เขาก็เหนื่อยจนเกือบจะตีลังกากลิ้งลงมา เว่ยหลินชวนวิ่งลงไปในทันที อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถนิ่งดูดายได้ เว่ยหลินชวนจึงปีนลงไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูอย่างหดหู่ใจ และสั่งให้อาอวี่ลงไปช่วย ในท้ายที่สุดอาอวี่ก็เป็นผู้ที่ดึงเว่ยหลินชวนและเฉินอวิ๋นเจี๋ยขึ้นมาทีละคน
ตลอดสองวันที่ผ่านมาเฉินอวิ๋นเจี๋ยทุกข์ทรมานมาก พอนอนลงก็หายใจหอบ และเหนื่อยจนไร้เรี่ยวแรง
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“เจ้ามาที่นี่เพื่อหาคนตาย เพราะเหตุใด?”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยไม่ตอบ เขาลุกขึ้นแล้วแบกคนไว้บนหลัง จากนั้นก็พาไปยังที่ที่หนึ่ง
มีหลุมฝังศพที่อยู่ไม่ไกลจากนอกเมือง เฉินอวิ๋นเจี๋ยนำศพไปที่นั่น เขาขุดหลุมฝังศพและเปิดโลงศพที่อยู่ในหลุม จากนั้นก็ใส่ศพลงไป ฉีเฟยอวิ๋นเห็นศพของผู้หญิงที่งดงามคนหนึ่งนอนอยู่ข้างใน
เมื่อนึกถึงหลิงซิ่วจวิ้นจู่ ฉีเฟยอวิ๋นก็พอที่จะเข้าใจแล้ว แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“อาอวี่ เจ้าไปช่วยหน่อย” ตอนที่เฉินอวิ๋นเจี๋ยกลบหลุมฝังศพ ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหยิบดินขึ้นมา จึงสั่งให้อาอวี่ไปช่วย
หลังจากที่กลบหลุมฝังศพแล้ว เฉินอวิ๋นเจี๋ยก็นอนลงบนเนินหลุมฝังศพอย่างเหนื่อยล้า
อาอวี่แบกเฉินอวิ๋นเจี๋ยกลับไป และก่อนที่จะจากไป ฉีเฟยอวิ๋นก็หันกลับไปมอง เป็นหลุมฝังศพที่โดดเดี่ยวท่ามกลางหญ้า และไม่มีแม้แต่ป้ายปักหน้าหลุมฝังศพ หากเฉินอวิ๋นเจี๋ยจำไม่ได้ แล้วเขาจะจำที่นี่ได้อย่างไร
เพื่อให้ตนเองสมความปรารถนา หนานกงเซวียนเหอจึงทำร้ายผู้คนจำนวนมาก ไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรบ้าง?
ฉีเฟยอวิ๋นพาเฉินอวิ๋นเจี๋ยกลับไปที่จวนแม่ทัพ และให้อาอวี่ไปแจ้งที่จวนเสนาบดีว่าแม่ทัพฉีต้องการให้เฉินอวิ๋นเจี๋ยอยู่ต่อ
ฉีเฟยอวิ๋นตรวจดูอาการให้เฉินอวิ๋นเจี๋ย เขาไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่ต้องการเวลาในการพักฟื้น
หลังจากที่จัดการเฉินอวิ๋นเจี๋ยแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็กลับไปดูลูก ๆ หนานกงเย่กลับมาตอนดึก เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นเขารีบไปอาบน้ำ หลังจากที่กลับมาก็อยากจะเข้าไปในอ้อมแขนของนาง ฉีเฟยอวิ๋นตกใจมากและลูก ๆ ก็ยังไม่หลับ ดังนั้นนางจึงจ้องมองพวกเขาเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด
หากเป็นลูกของคนอื่น ฉีเฟยอวิ๋นก็คงจะเพิกเฉย ไม่เข้าใจอะไร และไม่กลัวที่จะถูกมอง
แต่ลูก ๆ ของนางนั้นไม่ใจ!
“ท่านอ๋อง……” ฉีเฟยอวิ๋นต้องการจะผลักหนานกงเย่ออกไป แต่เขาอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปบนเตียง คนผู้นี้บ้าไปแล้ว ลูก ๆ ทั้งห้านอนอยู่บนเตียง แต่เขาก็ไม่รู้สึกละอายที่จะทำเรื่องเช่นนั้นบนเตียง
ฉีเฟยอวิ๋นโกรธมาก แต่แววตาของเขาก็ยังไม่ยอม ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ขัดขืน
จากนั้นหนานกงเย่ก็พักผ่อน ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
“หนีไปแล้ว” หลังจากที่พูดประโยคนี้แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
ฉีเฟยอวิ๋นห่มผ้าห่มและไม่ถามอะไรอีกเช่นกัน รอให้หนานกงเย่อยากพูดแล้วค่อยถามก็ได้
เช้าวันรุ่งขึ้น พระราชโองการจากในวังก็มาถึง ให้หนานกงเย่กลับไปดำรงตำแหน่งเดิม และให้ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในวัง
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากเข้าไปในวัง แต่ในสถานที่แห่งนี้ พระราชบัญชาของฝ่าบาทนั้นยากจะขัดขืน
หลังจากที่เข้าไปในวังแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปที่พระที่นั่งบำรุงฤทัย และเมื่อเดินเข้าประตูไปแล้วก็เห็นจักรพรรดิอวี้ตี้กำลังนั่งอ่านฎีกาอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นคำนับและจักรพรรดิอวี้ตี้ก็บอกให้นางขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นยกกระโปรงเดินขึ้นและเดินขึ้นบันไดไปและหยุดลงข้าง ๆ จักรพรรดิอวี้ตี้
จักรพรรดิอวี้ตี้ส่งฎีกาที่อยู่ในมือของเขาให้ฉีเฟยอวิ๋น ในเวลานี้สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นดูประหลาดใจ ทำไมถึงให้สิ่งนี้กับนาง?
วังหลังห้ามแทรกแซงงานราชการแผ่นดิน และนางก็เป็นสตรีคนหนึ่ง แต่ให้สิ่งนี้กับนาง?
ลองหยั่งเชิงหรือ?
สถานการณ์ไม่ชัดเจน ฉีเฟยอวิ๋นเปิดอ่านฎีกาและใจลอยอยู่นาน
“ภัยพิบัติจากตั๊กแตน?” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ นางเป็นหมอ หากเป็นกาฬโรคต้องเรียกหานาง แต่มีภัยพิบัติจากตั๊กแตนแล้วเรียกหานาง มันไม่น่าขบขันไม่หน่อยหรือ?
“ทางใต้มีตั๊กแตนที่กำลังระบาดอย่างหนัก ในตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ข้าต้องการจัดสรรเงินจำนวนหนึ่งจากท้องพระคลัง เพื่อไปบรรเทาภัยพิบัติ และตอนนั้นข้าก็เพิ่งรู้ว่าเงินในท้องพระคลังนั้นร่อยหรอมาก จึงไม่มีทางที่จะขนส่งเสบียง เพื่อไปบรรเทาภัยพิบัติในฤดูหนาวที่ชายแดนได้ ข้าจึงอยากจะขอยืมเงินหน่อย” จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวถึงเรื่องนี้
ฉีเฟยอวิ๋นมีลางสังหรณ์ไม่ดี วันนี้นางไม่น่าเข้ามาในวังเลย แต่เกรงว่าอยู่นอกวังก็จะถูกลักพาตัวไป มันก็เป็นเรื่องดีและไม่สามารถเข้ามาล้วงเงินในวังได้
ฉีเฟยอวิ๋นไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า:“ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อท้องพระคลังไม่มีเงิน การบริจาคเงินน่าจะดีกว่า หากบริจาคเงินจะต้องได้เงินที่เพียงพออย่างแน่นอน แต่หากยืมเงิน เกรงว่าจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้มากนักเพคะ
เมื่อหลายเดือนก่อน หม่อมฉันขอยืมเงินจากท่านราชครูจวิน แต่เมื่อไม่มีรายได้ในเดือนแรก เงินก็หมด หม่อมฉันจึงไปขอยืมเงินจากองค์หญิงใหญ่ และนั่นก็เป็นการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
ดังนั้นหม่อมฉันจึงคิดว่าการยืมไม่ใช่ทางออกเพคะ
และฝ่าบาทก็ทรงมีพระเมตตา ยกเว้นภาษีให้ประชาชน ดังนั้นเงินในท้องพระคลังจึงว่างเปล่า นอกจากที่ชายแดนยังมีคนจำนวนมาก และทุกปีก็ต้องจ่ายเงินเดือนและเสบียงของทหาร หม่อมฉันคิดว่าการยืมเงินนั้นไม่ดีเท่ากับการบริจาคเงิน!”
จักรพรรดิอวี้ตี้เดินไปหยิบฎีกาในมือของฉีเฟยอวิ๋น แล้วโยนลงบนโต๊ะ จากนั้นก็กล่าวว่า:“สตรีมักพูดถึงเรื่องชายแดนและการจ่ายเงินเดือนของทหารทุกวัน มีเจตนาอย่างไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นตัวสั่น ที่แท้ก็เป็นหลุงพราง และเดิมทีก็กำลังรอสิ่งนี้อยู่
“หม่อมฉันกลัวแล้วเพคะ!” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากคุกเข่า แต่ความอันตรายที่อยู่ตรงหน้า จะเป็นเหตุผลให้ไม่คุกเข่าได้อย่างไร ฉีเฟยอวิ๋นจึงยกกระโปรงขึ้นแล้วคุกเข่าลงบนพื้น
จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างเย็นชา:“หวังหลังไม่สามารถแทรงแซงงานราชการแผ่นดินได้ เจ้ารู้หรือไม่?”
“ทราบเพคะ” เสียงของฉีเฟยอวิ๋นราบเรียบและผิดหวังมาก
ในวังก็คือในวัง ไม่มีอะไรจะพูด
“ในเมื่อรู้แล้ว เจ้าก็ยังพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าข้า เหยียดหยามข้างั้นหรือ?” สีหน้าของจักรพรรดิอวี้ตี้ทรุดลงและเย็นชาจนน่ากลัว