“ที่ฉันทำตัวแปลกๆ ก็เพราะเซียวโหรวคือถังซี” เฉียวเหลียงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

อาหกอึ้ง มองเฉียวเหลียงอย่างพูดไม่ออก แต่ตะโกนอยู่ในใจ ‘นายน้อยครับ ผมรู้ครับ นายน้อยไม่ต้องเตือนผมหรอก! ผมไม่สนใจเรื่องแปลกประหลาดนี้เลย! ผมไม่อยากรู้เลยว่าวิญญาณคุณถังซีเข้าสิงร่างคุณหนูเซียวโหรว และตอนนี้นายน้อยก็ได้อยู่ใกล้ชิดกับเธอแล้ว ผมไม่อยากรู้เรื่องนี้เลยจริงๆ!’

 

 

“นายน้อยครับ นายน้อยหมายความว่ายังไง” อาหกสูดลมหายใจ มองกลับไปที่เฉียวเหลียง และกล่าวอย่างสิ้นหวัง “แค่บอกผมก็พอว่าคุณจะทำยังไงกับผม!”

 

 

เฉียวเหลียงมองหน้าอาหกซึ่งดูสิ้นหวังอย่างแท้จริง และกล่าวเรียบๆ ว่า “จากนี้ไปนายต้องรับผิดชอบหน้าที่ปกป้องคุ้มครองคุณหนูเซียว นายรู้ดีว่าเธอมีความหมายกับฉันมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นนายต้องรู้ว่า ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บ…”

 

 

“นายน้อยวางใจได้ครับ ขอให้นายน้อยมั่นใจเถอะว่าคุณหนูเซียวจะปลอดภัย ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตผมก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเลย ดังนั้นไม่ต้องห่วงเธอ! ผมจะปกป้องเธอตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จะไม่ละสายตาจากเธอ!” อาหกเอ่ยคำสาบานอย่างแข็งขัน แต่แล้วเขากลับพบว่าบรรยากาศในรถไม่เป็นไปอย่างที่ควร อากาศในรถดูเหมือนจะเย็นเยือกเป็นน้ำแข็งจนเขารู้สึกหายใจไม่ออก นายน้อยซึ่งดูสบายๆ อยู่ดีๆ ก็ดุดันใส่เขา…

 

 

อาหกยกมือทาบอกเกือบจะร้องไห้ เขาปลดเข็มขัดนิรภัย เบรกรถ จากนั้นก็หันหลังกลับมา มือทั้งสองเกาะที่เบาะ มองเฉียวเหลียงน้ำตาคลอ “นายน้อยครับ ผมพูดอะไรผิดไปหรือครับ”

 

 

เฉียวเหลียงมองหน้าอาหก และถามเสียงเข้ม “ปกป้องเธอตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จะไม่ละสายตาจากเธอ งั้นเหรอ”

 

 

อาหกส่งเสียงครางและร้องออกมาเสียงดัง “นายน้อยครับ! ผมสาบานได้ว่าเป็นแค่คำเปรียบเปรย! ผมแค่พยายามสร้างความมั่นใจให้นายน้อย ว่าผมจะปฏิบัติภารกิจที่คุณมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง! ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด!”

 

 

“โอเค” เมื่อใบหน้าเฉียวเหลียงคลายความเครียดลงในที่สุด บรรยากาศอึดอัดหายใจไม่ออกก็หมดไป อาหกรู้สึกโล่งอกและถามว่า “จะให้ผมเริ่มคุ้มครองคุณหนูเซียวเมื่อไรครับ นายน้อย”

 

 

“ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ ช่วงนี้เซียวเหยายังไม่ได้ไปไหนไกล เขาคงจะคอยไปไหนมาไหนเป็นเพื่อนเธอ” เฉียวเหลียงหลับตาลงขณะกล่าวว่า “ไปส่งฉันที่สถานีตำรวจ เซียวจิ่งจะเป็นผู้ดูแลบริษัทชั่วคราว และลู่หลีจะมาถึงในอีกสองหรือสามวัน เตรียมที่พักไว้ให้เขาล่วงหน้าด้วย”

 

 

 

 

ในห้องรับรองของสถานีตำรวจ บนหน้าจอโปรเจกเตอร์มีใบหน้าชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูท่าทางประหลาดใจ “คุณให้อาหกจัดที่พักให้ผมหรือ ไม่เอาหรอก ผมอยากพักที่อะพาร์ตเมนต์ของคุณ!”

 

 

เฉียวเหลียงยังคงมองหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่เงยหน้าขึ้นมองเขา และถามว่า “คุณรู้หรือยังว่าเอฟบีไอส่งใครไปสืบที่โอมาน”

 

 

“ผมกำลังพูดถึงเรื่องที่พักของผมในเมือง A ไม่ใช่เรื่องประเทศโอมาน ผมจะไม่ไปเมือง A ถ้าหากไม่ได้พักที่อะพาร์ตเมนต์ของคุณ คุณเลือกเอาก็แล้วกัน” ลู่หลีมักจะใจเย็นและมีความเป็นผู้ใหญ่ จู่ๆ ก็พูดจาอวดดีขึ้นมา เขาเชิดคางมองเฉียวเหลียง

 

 

ในที่สุดเฉียวเหลียงก็เงยหน้าขึ้นมองลู่หลี จากนั้นก็ก้มหน้าลงอ่านเอกสารที่ลู่หลีส่งมาให้ “ทุกอย่างที่โอมานเรียบร้อยไหม ผมจำเป็นต้องไปที่นั่นหรือเปล่า”

 

 

“ไม่ต้องหรอก ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะสืบพบอะไร หลงเซี่ยวเป็นคนทำ ไม่ใช่หลงเซี่ยวกรุป ต่อให้พวกเขาจับกุมผู้นำของหลงเซี่ยว ก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลงเซี่ยวกรุป” ลู่หลียักไหล่อย่างไม่สนใจ “พวกเขาอยากทำอะไรก็ให้ทำไป ผมไม่กลัว”

 

 

เฉียวเหลียงพยักหน้ากล่าวว่า “ปล่อยข่าวออกไปก่อนที่คุณจะมาเมือง A ให้ใครบางคนรู้ว่าคุณจะมาเมือง A”

 

 

ลู่หลีขมวดคิ้ว “นี่ไม่ได้เป็นความลับหรอกหรือ ทำไมเราต้องปล่อยข่าวให้คนรู้ด้วยล่ะ”

 

 

“คุณไม่เคยมาเมือง A อย่างเปิดเผย คุณบอกไม่ใช่หรือว่าพวกเขากำลังจะไปโอมาน คุณมาเมือง A อย่างเปิดเผย ขณะที่พวกเขาคิดว่าเราจะไปโอมานเพื่อจัดการกับเรื่องนั้น เรามาคอยดูกันว่าเจ้าหน้าที่เอฟบีไอจะทำยังไง”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ลู่หลีก็ยิ้ม ในเวลานั้นประตูห้องทำงานของเขาก็เปิดออก เฉียวเหลียงเห็นใบหน้าหลินหย่วนปรากฏบนหน้าจอ เขาเอนตัวไปข้างหลัง และหลินหย่วนส่ายศีรษะ “อาเหลียง คุณนี่ช่างร้ายกาจ ทิ้งกระสุนเปล่าที่โอมานให้เอฟบีไอหัวปั่น และหาโอกาสเตรียมหลุมพรางไว้ดักพวกเขาที่นั่น”

 

 

เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว ลู่หลียิ้ม “อาหย่วนเตรียมการทุกอย่างในโอมานด้วยตัวเองตามที่คุณสั่ง คุณมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด”

 

 

หลินหย่วนนั่งลงข้างลู่หลี ดวงตาเขาเป็นประกาย เขายิ้มและเลิกคิ้วขึ้น “ผมได้ยินว่าดาร์คไนท์ตั้งใจจะเปิดโรงงานผลิตยาที่นั่น เราจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เอฟบีไอดีไหม”

 

 

เฉียวเหลียงหรี่ตามองหน้าหลินหย่วน ถามเสียงต่ำว่า “ดาร์กไนต์หรือ แบลร์น่ะหรือ”

 

 

หลินหย่วนเลิกคิ้ว “ใช่แล้ว แบลร์ ที่ต่อกรกับเราที่ชายแดนอเมริกาเหนือ แต่พ่ายแพ้พวกเราและถูกคุณระเบิดมือข้างหนึ่งกระจุย” หลินหย่วนกล่าว แล้วจู่ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเลิกคิ้ว “อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ผมรู้มาว่าคนที่ซุ่มโจมตีฉูหลิงที่เมือง A ครั้งล่าสุดที่ผ่านมาเป็นคนของแบลร์ คุณคิดว่าไง เราจะจับแบลร์ส่งให้ฉูหลิงดีไหม เขาจะได้เป็นหนี้บุญคุณเรา”

 

 

เฉียวเหลียงหรี่ตาลง เคาะนิ้วบนโต๊ะเป็นจังหวะ หลังจากนั้นสองวินาทีเขาก็เงยหน้ามองหลินหย่วนและเลิกคิ้ว “ไม่ ปล่อยให้ข่าวรั่วไหลไปเข้าหูองค์การตำรวจสากล แต่ไม่บอกไปทางเอฟบีไอ ทำลายแผนการพวกมัน หลอกล่อพวกมันให้เข้าไปอยู่กลางทะเลทราย แล้วทำให้พวกมันติดอยู่ที่นั่นซักครึ่งเดือนหรือนานกว่านั้น”

 

 

“อาเหลียง มีงูพิษมากมายนะกลางทะเลทรายน่ะ คุณอยากให้พวกมันตายอยู่กลางทะเลทรายเหรอ” หลินหย่วนกล่าว ในขณะที่คำพูดของเขาฟังดูอาทรห่วงใย ทว่าดวงตาเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น หลังจากพูดอย่างนี้แล้วเขาก็รีบลุกขึ้น ราวกับกลัวว่าเฉียวเหลียงจะปฏิเสธคำพูดของเขา “ผมต้องไปที่ห้องบัญชาการแล้ว ผมรับรองจะปฏิบัติตามคำสั่งของคุณอย่างเคร่งครัด จะให้พวกมันได้ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนกลางทะเลทราย ให้สนุกกับประสบการณ์เกือบตายเพราะความกระหาย ผมจะให้คนส่งน้ำแร่ไปให้พวกมันครึ่งลิตรทุกๆ สองวัน เผื่อว่าพวกมันจะตายจริงๆ เพราะความกระหาย ฮ่าๆ … ผมเป็นคนใจดีมาก ผมต้องไปก่อน แล้วเจอกัน”

 

 

หลินหย่วนจากไปด้วยท่าทางมีความสุข ลู่หลีมองตามร่างหลินหย่วนที่เดินจากไป แล้วหันมามองเฉียวเหลียงพร้อมกับส่ายศีรษะ “อาเหลียง ทะเลทรายที่โอมานนั้นอันตรายมาก คุณยังจะให้หลินหย่วนส่งพวกนั้นไปเจอกับความยากลำบากอีกหรือ คุณอยากก่อสงครามกับเอฟบีไอจริงๆ หรือไง”

 

 

เฉียวเหลียงเอนพิงไปด้านหลัง แล้วกล่าวอย่างเฉยเมย “ตราบใดที่พวกมันกล้าต่อกรกับเรา”