บทที่ 100 มู่หรงเสวี่ยกลายเป็นคนดัง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 100

มู่หรงเสวี่ยกลายเป็นคนดัง

“ตอนนี้ ขอประกาศเปิดงานการประกวดความรู้ทางวิชาการระดับนานาชาติครั้งที่ 25 อย่างเป็นทางการ”

หลังจากการประกาศกฎต่างๆของการแข่งขันของวิทยาลัยนานาชาติและมหาวิทยาลัยต่างๆเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายพิธีกรก็ประกาศเริ่มการแข่งขัน

ผู้แข่งขันกลุ่มแรก เป็นการแข่งขันเรื่องความจำซึ่งนักเรียนทุกคนต้องเข้าแข่งขันด้วยกันทั้งหมด

การแข่งขันนี้จะต้องคัดนักเรียนออกมากกว่าครึ่ง เพราะในการแข่งขันนี้มีนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันมากเกินไป จึงเป็นไปได้ยากที่จะแข่งแบบตัวต่อตัว และถ้าต้องแข่งตัวต่อตัวก็คงต้องใช้เวลาแข่งกันเป็นปี จึงยากมากที่จะแข่งได้จบเกมส์

วิทยาลัยของมู่หรงเสวี่ยลงแข่งขันในการแข่งขันความทรงจำด้วยกันห้าคนซึ่งรวมทั้งมู่หรงเสวี่ยด้วย มีหลายคนที่นั่งพร้อมอยู่ที่โต๊ะพร้อมที่จะลงสนามแล้ว ในการแข่งขันนี้มีผู้เข้าแข่งขันประมาณ 500 คนและมีผู้ตรวจยืนอยู่ข้างๆของแต่ละทีมโรงเรียนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและการโกงทุกรูปแบบ

การแข่งขันแรกคือ “การเขียนรายงาน 1,000 คำ!”

หน้าจอแสดงผลถูกตั้งขึ้นบนโต๊ะต่อหน้าผู้เข้าร่วมซึ่งใช้เพื่อตั้งคำถามสำหรับการประเมินคะแนน โดยนักเรียนสามารถดูคำถามได้ที่หน้าโต๊ะของตนเอง ในการแข่งขันนี้ มีคำที่ถูกเลือกแสดงอยู่หลายพันคำ คำหลายพันเหล่านั้นไม่ใช่ประโยคแต่เป็นคำที่ไม่เกี่ยวกันเลย ผู้เข้าแข่งขันจะมีเวลาเพียง 10 นาทีเพื่อใช้ในการจดจำและมีเวลาในการเขียนอีก 2 ชั่วโมง แน่นอนว่าเรื่องเวลาก็อยู่ในเงื่อนไขของการแข่งขันด้วย นักเรียนที่ตอบถูกด้วยเวลาที่สั้นที่สุดจะเป็นผู้ชนะ

เกมเริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว!

การแข่งขันนี้ง่ายมากสำหรับมู่หรงเสวี่ย เธอมีความจำที่ดีอย่างมาก 10 นาทีนี่มากพอสำหรับเธอ เธอจำคำทั้งหมดบนหน้าจอได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีเธอก็จำได้ทั้งหมด แล้วเธอลองจำมันอีกครั้ง

ทันทีที่หมดเวลา 10 นาที หน้าจอก็ปิดลงโดยอัตโนมัติ การดูแลทั้งหมดจะได้รับการดูแลโดยกรรมการ

หลังจากที่หน้าจอปิดลง นักเรียนต่างก็เริ่มเขียนลงบนโต๊ะด้วยปากกาไฟฟ้า ที่หน้าจอก็เริ่มที่จะแสดงคำหลายพันคำขึ้นมาทันที

ดูเหมือนว่ามู่หรงเสวี่ยจะชนะอันดับหนึ่ง ในการแข่งขันต่อมาอีก 2-3 เกม มู่หรงเสวี่ยก็ยังชนะอันดับหนึ่งอีก ซึ่งเห็นได้เลยว่าเธอดึงดูดความสนใจของนักเรียนมากมายอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกันนั้นก็ยังมีอีกหลายคนที่เข้าตาซึ่งเป็นห้าอันดับของนักเรียนหัวกะทิเลย พวกเขาต่างก็เป็นผู้เข้าแข่งขันที่เก่งอย่างมากจริงๆ แต่ม้ามืดมีเพียงมู่หรงเสวี่ยคนเดียวเท่านั้นเพราะในรายชื่อตัวเก็งไม่มีชื่อของเธออยู่ในนั้นเลย

ทุกคนต่างจ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยซึ่งเริ่มที่จะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ผู้คนมากมายต่างก็มองว่าเธอเป็นผู้แข่งขันที่แข็งแกร่งที่สุด

เนื่องจากความจำเป็นในการเข้าร่วมการแข่งขันผู้เข้าร่วมทั้งหมดจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปหรือพักอยู่ภายนอก พวกเขาต้องรอจนกว่าการแข่งขันจะเสร็จสิ้น ดังนั้นครั้งนี้มู่หรงเสวี่ยจึงไม่ได้รับยกเว้นในการออกไปพักข้างนอก เธอไม่สามารถทำอะไรเป็นพิเศษได้เพราะยังมีบางอย่างเกี่ยวกับกีฬาระดับชาติในการแข่งขันระดับนานาชาติ นอกจากนี้เธอยังเป็นผู้เข้าร่วมหลักในประเทศนี้

ชางกวนโม่อยู่ในห้องทำงานทั้งคืนโดยไม่ได้ทำอะไรเลย เขามองตรงไปที่นาฬิกาที่ติดอยู่ที่ผนังด้านบนของห้องทำงาน หัวใจของเขาเริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวเสวี่ยไม่ได้กลับมาทั้งคืน เธอไปอยู่ที่ไหนกับใคร

ถ้าเขาอยากจะรู้ แค่เขาถามก็คงจะได้รู้คำตอบในทันทีที่ถามออกไป อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าที่จะรีบเช็ก เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากจะได้ยินคำตอบ เขาไม่ขยับจนกระทั่งดึก นิ่งแข็งราวกับรูปปั้น

ผลงานที่โดดเด่นของมู่หรงเสวี่ยได้เปลี่ยนความไม่พอใจเดิมของผู้เข้าร่วมในเมือง Aให้กลายเป็นความชื่นชม เมื่อมีคนที่ทำได้ดีกว่าแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้คนอื่นเกิดความอิจฉาริษยาได้ อย่างไรก็ตามถ้าอีกฝ่ายมีฝีมือสูงมากในระดับเทพแบบนี้ คนอื่นก็กลับรู้สึกตรงกันข้ามไปเลย

อย่างไรก็ตามมีนักเรียนต่างชาติที่ไม่พอใจกับมู่หรงเสวี่ย ยังไงซะตำแหน่งระดับชาติของพวกเขาก็แตกต่างกัน

มู่หรงเสวี่ยทิ้งความกังวลไว้เบื้องหลังและโฟกัสอยู่กับการแข่งขันตรงหน้า ถึงขนาดให้อาจารย์ของเธอเป็นคนเก็บโทรศัพท์ไว้เลยเพราะกลัวว่ามันจะมาทำลายบรรยากาศในการแข่งขันและเธอจะได้คืนหลังจากที่การแข่งขันจบลง ทุกวันของการแข่งขันเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มู่หรงเสวี่ยปรากฏตัว เธอจะสร้างเสียงฮือฮาได้เสมอ ดูเหมือนเธอจะดังราวกับดาราเลย ไม่ใช่เพียงแค่ในวิทยาลัยแต่ในสื่อหลักๆด้วย ซึ่งพูดได้ว่ามู่หรงเสวี่ยกลายเป็นคนดังไปซะแล้ว นี่เกินกว่าความคาดหวังของมู่หรงเสวี่ยไปมากเลยทีเดียว เธอไม่คิดว่าเหตุการณ์จะออกมาเป็นแบบนี้ยังไงซะแค่นี้เธอก็มีปัญหามากพอแล้ว

วันต่อมาชางกวนโม่ก็ยังไม่เห็นเสี่ยวเสวี่ย ดังนั้นเขาจึงต้องหาใครบางคนให้มาสืบหาตำแหน่งของเธอซะหน่อย อย่างไรก็ตามไป๋เสวี่ยหลี่เจอเขาและห้ามเขาไว้ แล้วเธอก็อธิบายว่าเสี่ยวเสวี่ยไปเข้าร่วมการแข่งขันของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยนานาชาติ

ที่จริงแล้ว มู่หรงเสวี่ยเพียงแค่อยากที่จะเข้าแข่งขันโดยไม่เป็นจุดเด่นเท่านั้น แต่เธอไม่ได้คิดว่าจะกลายเป็นจุดสนใจมากขนาดนี้ เธอคิดไว้ว่าจะเอาชนะคนอื่นด้วยคะแนนนำที่ต่างจากคนอื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้คะแนนของเธอกลับสูงเกินไปซึ่งดึงความสนใจของคนทั้งหมด จึงไร้ประโยชน์ที่จะเก็บตัวเงียบอย่างที่หวัง

คนที่ตื่นเต้นที่สุดคือมู่หรงเฟิงหัวและภรรยาของเขา พวกเขามีความสุขมากที่ได้ดูถ่ายทอดสดการแข่งขันของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยนานาชาติทุกวัน พวกเขาถึงขนาดอัดเทปทุกการแข่งขันของมู่หรงเสวี่ยไว้และเอามาเปิดดูซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้จางเข่อเหรินอดไม่ได้ที่จะโทรหามู่หรงเสวี่ยหลังจากการแข่งขัน แต่คนที่รับสายกลับเป็นอาจารย์ของเสี่ยวเสวี่ยแทน มู่หรงเสวี่ยกลัวว่าโทรศัพท์เธอจะดังในระหว่างการแข่งขันจึงให้อาจารย์เป็นคนเก็บไว้แทน

หลังจากที่ได้ฟังดังนั้น จางเข่อเหรินก็ไม่โทรหามู่หรงเสวี่ยอีกเพราะกลัวว่าจะรบกวนการแข่งขันที่สำคัญของลูกสาว

มู่หรงเฟิงหัวรู้สึกไม่ดีเท่าไร ลูกสาวเขาน่าดึงดูดเกินไป ตอนนี้หุ้นของมู่หรงกรุ๊ปราคาขึ้นอย่างมากเพราะความฉลาดของมู่หรงเสวี่ย เขาไม่เป็นห่วงเรื่องบริษัทแต่ชื่อเสียงที่มากขึ้นของมู่หรงเสวี่ยน่าจะทำให้เกิดปัญหามากมาย

ช่วงหลายวันที่ผ่านมามู่หรงเสวี่ยกลายเป็นดาวเด่นของการแข่งขันไปแล้ว ทางโรงเรียนมองว่าเธอเป็นดาวรุ่ง เธอชนะในทุกการแข่งขัน โชคดีที่การแข่งขันใช้เวลาเพียงแค่อาทิตย์เดียวและจบลงด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังของมู่หรงเสวี่ย เป็นไปตามคาด มู่หรงเสวี่ยชนะอันดับที่หนึ่ง ในขณะที่เออโลฉี่ที่อยู่อันดับหนึ่งในรายชื่อกลับได้อันดับที่สอง

“เธอเก่งมากจริงๆ!” ที่ตรงข้ามกับมู่หรงเสวี่ย เออโลฉี่ก็จ้องมาที่เธอด้วยความชื่นชมและความรู้สึกของสงคราม

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอ่อน “ขอบคุณนะ เธอเองก็เก่งเหมือนกันนะ!” เธอพูดความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะการเกิดใหม่, ของดีในมิติลับและความสามารถของเธอที่คนอื่นไม่มี เธอก็คงจะเอาชนะไม่ได้หรอก เออโลฉี่คืออัจฉริยะตัวจริง

“แล้วเราจะได้เจอกันอีกแน่ๆ! เออโลฉี่พูดทิ้งท้ายไว้ซึ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยงงแล้วก็เดินขึ้นไปที่โพเดี่ยม

แล้วอ้ายหนาจู่เลาก็เดินเข้าและพูดด้วยท่าทางหยิ่งผยองว่า “ฉันไม่มีวันยอมรับหรอกนะว่าเธอชนะฉันน่ะ! รอดูก่อนเถอะ ฉันจะทำให้เธอพ่ายราบคาบเลย!”

สำหรับคนที่หยาบคาย มู่หรงเสวี่ยไม่แม้แต่จะเสียเวลากล่าวทักทายเธอด้วยรอยยิ้มด้วยซ้ำแต่กลับเมินเธอไปซะเลย ทำเหมือนเธอเป็นอากาศแล้วเดินตรงไปที่เวที อ้ายหนาจู่เลารู้สึกโกรธอย่างมากจึงเดินกระทืบเท้าไปที่เวที หลังจากนั้นสักพักเธอก็เดินเข้าไปยืนในตำแหน่งอันดับที่สาม

มู่หรงเสวี่ยที่ในที่สุดก็แข่งขันเสร็จดูเหมือนจะเป็นอัมพาต เธอนอนเอนลงไปที่เก้าอี้อย่างขี้เกียจและไม่อยากที่จะขยับไปไหน

นักเรียนคนอื่นๆก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร พวกเขาทุกคนต่างก็เหน็ดเหนื่อย

อาจารย์ใหญ่อธิบายถึงเรื่องการกลับไปที่เมือง Aในอีกสองวันข้างหน้าสั้นๆ แล้วจึงปล่อยให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนที่ห้องได้ มู่หรงเสวี่ยพูดกับอาจารย์เพียงนิดหน่อยและเดินออกไป ความแตกต่างคือไม่มีใครเรื่องที่เธอได้สิทธิพิเศษในตอนนี้ ยังไงซะเธอก็ชนะอันดับที่หนึ่งและเกียรติยศดังกล่าวควรค่าแก่การให้เกียรติ

แต่สิ่งที่มู่หรงเสวี่ยไม่ได้คาดไว้คือเมื่อเธอเดินออกมาจากงานก็เห็นชูอี้เสิ่นกำลังยืนพิงรถสปอร์ตอยู่พร้อมดอกไม้อยู่ในมือ มู่หรงเสวี่ยรีบเดินตรงไปหา “พี่ชู มาที่นี่ได้ยังไงคะ?!”

ชูอี้เสิ่นถอดแว่นกันแดดออกและดึงความสนใจของฝูงชนรอบๆได้ในทันที ช่างหล่อเหลือเกิน!!! “ฉันมารอเธอนะสิ แน่อยู่แล้ว และยินดีด้วยนะกับการชนะอันดับที่หนึ่งด้วยนะ”

มู่หรงเสวี่ยรับกุหลาบจากมือเขามา มันเป็นกุหลาบนำเข้าสีฟ้า มันช่างสวยมากจริงๆ “ขอบคุณนะคะพี่ชู!”

ชูอี้เสิ่นยิ้มและพูดออกมาว่า “ไปฉลองด้วยกันเถอะ…”

“เราจะไปที่ไหนกันเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ขึ้นรถเถอะ เธอยังไม่ได้กินอะไรเลย งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ!”

มู่หรงเสวี่ยหิวมากจริงๆ เธอจึงเดินขึ้นรถไป รถเร่งเครื่องออกไป ทิ้งไว้เพียงเงา

ชูอี้เสิ่นจองโต๊ะที่ร้านอาหารไว้แล้ว แต่แกล้งทำเป็นว่าไม่ได้จองเพราะรู้สึกว่ามู่หรงเสวี่ยคงไม่อยากให้เขาทำแบบนั้น

มู่หรงเสวี่ยทนหิวมานานมาก เธอจึงเริ่มกินทันที พี่ชูก็เหมือนพี่ชายของเธอเองจึงไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพิธีอะไรมาก ชูอี้เสิ่นมีความสุขอย่างมากเพราะท่าทางของมู่หรงเสวี่ยไม่ได้เสแสร้งเพื่อให้เขาเชื่อใจ

พวกเขากินอาหารกันอย่างมีความสุขแต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าชางกวนโม่กำลังจ้องพวกเขาอยู่ สายตาของเขาเริ่มแดงและหมัดก็กำแน่น เขาอยากที่จะไปเจอเธอที่การแข่งขันหลังจากที่มูหรงเสวี่ยแข่งเสร็จ แต่เขาไม่คิดว่าพอเขามาถึงจะได้เห็นเธอเดินขึ้นรถไปกับชูอี้เสิ่นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

ไม่รู้เลยว่าในใจเขาคิดอะไร เขาตามพวกเขามาตลอดทางจนมาถึงร้านอาหาร เขาไม่ได้เข้าไปในร้านแต่กลับยืนมองทั้งสองยิ้มให้กันและกันอยู่จากกระจกด้านนอก เธอยิ้มให้ชูอี้เสิ่นมากกว่าตอนที่เธอเจอหน้าเขาซะอีก

แม้แต่หลังจากการแข่งขัน เธอก็ยังไม่โทรหาแฟนแต่กลับโทรหาชูอี้เสิ่น ชางกวนโม่ยืนนิ่งอยู่นานจนยามของโรงแรมต้องเดินออกมาถามว่าเขามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ไม่นานนักชางกวนโม่ก็กลับมาที่วิลล่าพร้อมร่างกายที่เหนื่อยอ่อน เขาเปิดไวน์แดงที่เก็บสะสมไว้และดื่มเข้าไปอึกใหญ่จากปากขวดโดยตรง มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน