บทที่ 101 ความผิดพลาดจากความเมา

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 101
ความผิดพลาดจากความเมา

ชางกวนโม่ดื่มเหล้าเข้าไปอึกแล้วอึกเหล่า มอมเมาตัวเองด้วยแอลกอฮอล์ ในใจของเขา มู่หรงเสวี่ยและชูอี้เสิ่นกำลังคุยกันอย่างมีความสุข แค่นี้หัวใจเขาก็เจ็บปวดแล้ว…เขารีบดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่ทั้นที…สติเขาเริ่มที่จะรางเรือนเล็กน้อย

ทันใดนั้นก็มีร่างของผู้หญิงปรากฎขึ้นมาตรงหน้าชางกวนโม่ เขาส่ายหัวและพยายามที่จะมองว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาคือใคร?!!

“พี่โม่…” ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาพึมพำออกมาแผ่วเบา
“มู่หรงเสวี่ยเหรอ?” หัวสมองที่สับสนของชางกวนโม่ทันใดนั้นก็เห็นเป็นร่างของเสี่ยวเสวี่ยมาปรากฎอยู่ตรงหน้า เขากอดผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าและจูบเธออย่างอบอุ่นที่ริมฝีปาก

“มู่หรงเสวี่ย ฉันรักเธอนะ!” ชางกวนโม่รีบถอดเสื้อผ้าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาทันที หลังจากนั้นสักพักเสื้อผ้าของพวกเขาก็กองเกลื่อนพื้นไปทั่วและร่างกายของคนสองคนก็กอดเกี่ยวกัน

คืนนั้นหลังจากที่กินอาหารเสร็จมู่หรงเสวี่ยก็ขอให้ชูอี้เสิ่นไปส่งเธอที่วิลล่าของชางกวนโม่

มู่หรงเสวี่ยเปิดไฟและเห็นเสื้อผ้ากระจายไปทั่วห้องนั่งเล่น ในหัวใจเธอรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ในตอนนี้ราวกับว่าเธอกำลังเดินเข้าไปในเหวนรกในทุกก้าวที่เดิน ร่างกายของเธอเริ่มที่จะสั่นเบาๆไปทั้งตัว…ไม่…ไม่นะ…ไม่

เท้าของเดินเดินนำไปอย่างหนักหน่วง เธอรู้สึกหนักอึ้งในทุกก้าวที่เดิน สีหน้าเธอเริ่มซีดขาวเมื่อมองไปที่เสื้อผ้าที่คุ้นเคยที่อยู่บนพื้น พร้อมทั้งค่อยๆก้าวเดินไปข้างหน้าทีละนิด เธอค่อยๆเห็นร่างของชายหญิงที่กำลังนอนกอดกันอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาน้ำตาของเธอก็ร่วงหล่นลงมาทันที…ทั้งคู่คือสองคนที่เธอคุ้นเคยดี…คนหนึ่งคือแฟนของเธอ ชางกวนโม่ส่วนอีกคนคือไป๋เสวี่ยหลี่

เธอทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับร่วงจากสวรรค์มาสู่นรก ราวกับว่าเปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน สิ่งที่เธอกังวลที่สุดสุดท้ายมันก็กลายเป็นความจริงที่อยู่ตรงหน้าเธอ เธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าท้ายที่สุดเขาไม่ใช่ของเธอ ในชีวิตที่แล้ว พวกเขาเป็นสามีภรรยากันและเธอเองที่ก้าวเท้าเข้ามา ตอนนี้มันกลับไปจุดเริ่มต้นอีกแล้วและเธอเองก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ

เธอดไม่ได้ที่จะร้องไห้อยู่เงียบๆ ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเธอเหือดหายไปหมด สองชีวิตแต่จุดจบเดียวกัน บางทีเธออาจจะไม่ควรฝันถึงเรื่องความสุข หัวใจของเธอบิดเกลียวและตอนนี้เธอหาหัวใจเดิมของตัวเองไม่เจอด้วยซ้ำ แม้แต่ประกายความหวังเล็กๆน้อยๆในชีวิตนี้ของเธอก็แตกสลายไปหมดแล้ว

บางทีอาจจะเป็นเพราะเสียงร้องไห้ของมู่หรงเสวี่ยในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงัดที่ทำให้ชางกวนโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและค่อยๆลืมตาขึ้นมา ฝ่ามือของเขาแตะไปที่ผิวอ่อนนุ่ม เขาแปลกใจและเบิกตากว้างขึ้นมาในทันที สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือใบหน้าของ ไป๋เสวี่ยหลี่พร้อมรอยยิ้มจางๆ ทันใดนั้นเขาก็กระโดดลุกขึ้นและผลักเธอออกจากอ้อมแขนโดยไม่ได้ตั้งใจ ไป๋เสวี่ยหลี่ลื่นลงไปที่พื้นและตื่นขึ้นมา “เจ็บนะคะ…”

ชางกวนโม่เห็นคนสุดท้ายที่เขาอยากจะเห็น นั่นคือ มู่หรงเสวี่ย “เสี่ยว…เสี่ยวเสวี่ย…เธอ…ฟังฉันก่อนนะ…” ชางกวนโม่เริ่มพูดติดอ่างเมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของมู่หรงเสวี่ย เธอไม่เข้าใจว่าเขาเมา…เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย

ไป่เสวี่ยหลี่ที่ร่างกายเปลือยเปล่า เธอลุกขึ้นมาและกอดไปที่ชางกวนโม่

“พี่โม่ พี่เพิ่งทำให้คนๆหนึ่งเจ็บปวดอย่างมาก…” แล้วเธอก็มองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยใบหน้าภูมิใจ

ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยแทบจะยืนไม่ไหว เธอรีบลุกขึ้นทันทีพร้อมทั้งเอามือปิดหน้าและวิ่งออกไป

“มู่หรงเสวี่ย…มู่หรงเสวี่ย อย่าพึ่งไป…” ชางกวนโม่อยากที่จะวิ่งตามไป แต่ก็พบว่าเขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย จึงหยิบเสื้อผ้าที่พื้นขึ้นมา สวมเข้าร่างกาย แล้วอยากที่จะวิ่งตามเธอออกไป

น่าเสียดายที่ก่อนที่เขาจะได้ก้าวออกไป ไป๋เสวี่ยหลี่ที่ร่างกายเปลือยเปล่าก็กอดเขาไว้ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาที่น่าสงสาร “พี่โม่ พี่ไม่ต้องการฉันอีกแล้ว…ก็ตอนนี้พี่…” ก่อนที่เธอจะพูดจบ ก็สะอื้นร้องไห้เสียงเบาออกมา

ชางกวนโม่รู้สึกเจ็บปวดมากที่ทำไมอะไรๆมันถึงกลายเป็นแบบนี้…เขานี่มันเลวจริงๆ เสวี่ยหลี่ยังเป็นน้องสาวของเขา…เขาก้มหัวลงด้วยความรู้สึกผิดและตื่นตะหนกในดวกตา “เสวี่ยหลี่ พี่ขอโทษ…ตีพี่ได้เลย…” แล้วเขาก็ตบหน้าตัวเองก่อน

ไป๋เสวี่ยหลี่รีบห้ามเขาไว้และส่ายหน้าเบาๆ สีหน้าแดงระเรื่อยจากความเขินอายปรากฎขึ้นมาบนใหบหน้าของเธอ “พี่โม่ อย่าทำแบบนี้ ฉันยอมเอง…ฉันชอบพี่โม่มาตลอด…ฉันยินดีที่จะมอบร่างกายให้พี่โม่…”

หัวใจของชางกวนโม่เย็นยะเยือกขึ้นไปอีก จากภายในเริ่มที่จะส่งออกมาภายนอก เสวี่ยหลี่อยากที่จะอยู่กับเขางั้นเหรอ?! ถ้าเธอขอเขาก็คงไม่ปฎิเสธ ยังไงซะเธอก็ติดหนี้ไป๋เสวี่ยหลี่อยู่…แต่เมื่อคิดถึงมู่หรงเสวี่ยที่หัวใจแตกสลายและวิ่งออกไป สมองของชางกวนโม่สับสนไปหมดและคิดหาวิธีแก้ไม่ได้เลย

เมื่อคิดว่าตั้งแต่นี้ไปเขาจะต้องสูญเสียมู่หรงเสวี่ย เขาก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบกลายเป็นสีเทาขึ้นมาทันที อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองไปที่ไป๋เสวี่ยหลี่ที่กำลังนอนพิงอยู่บนแขนเขาอย่างมีความสุข มือที่พยายามจะผลักเธอออกไปกลับต้องวางลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไร้อำนาจ

มู่หรงเสวี่ยร้องไห้และวิ่งไปตลอดทาง เธอไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งมาไกลแค่ไหน เธอไม่ได้หยุดเลยจนกระทั่งออกมาถึงถนนด้านนอกจนมองไม่เห็นวิลล่าแล้ว เธอน่าจะรู้ว่าหลายวันที่ผ่านมาชางกวนโม่เปลี่ยนแปลงไปมากแต่ถ้าเขาไม่รักเธอ แล้วเธอจะทำยังไงดี?…หัวใจเจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก…ไม่มีใครอยู่รอบๆ เธอไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรอีกแล้ว จึงเริ่มที่จะร้องไห้ เธอร้องไห้คร่ำครวญราวกับว่าจะปลดปล่อยความคับแค้นใจออกมาให้หมด

หลังจากเวลาผ่านไปนาน เสียงของเธอก็เริ่มที่จะแหบแห้งแต่น้ำตาก็ยังไหลออกมาไม่หยุด
เขาไม่ได้ตามเธอออกมา นี่มันก็ผ่านมานานแล้ว…เธอยังจะเหลือความหวังอะไรอีก…นี่เธอยังหวังว่าชางกวนโม่จะรักเธออยู่อีกเหรอ
มือสั่นเทา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดโทรหาชูอี้เสิ่น

“ฮัลโหล มู่หรงเสวี่ย!” เสียงอ่อนโยนของชูอี้เสิ่นดังออกมา
“ชู…พี่ชู…หื้อหื้อ…พี่มารับฉันทีได้ไหม…หื้อหื้อ…” เสียงแหบแห้งของเธอยังสะอื้น

สีหน้าของชูอี้เสิ่นเปลี่ยนไปในทันที “เสี่ยวเสวี่ยอยู่ที่ไหน? ฉันจะไปรับเดี๋ยวนี้เลย…” แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ กุญแจรถและรีบเดินออกมาอย่างรวดเร็ว

“ฉัน…ฉัน…ฉันอยู่ที่วิลล่า…หื้อหื้อ…ตรงทางเดินด้านนอก…” เธอแค่อยากจะไปจากที่นี่

“ได้ อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย” เมื่อ ชูอี้เสิ่นขึ้นรถสปอร์ต สตาร์เครื่องแล้วเขาก็ขับออกไปด้วยความเร็ว เขาฝ่าไฟแดงมากมายนับไม่ถ้วน ในตอนนี้ในใจเขามีเพียงเสียงแหบแห้งสะอื้นของมู่หรงเสวี่ยเท่านั้น
ปกติแล้วจะต้องใช้เวลาขับประมาณชั่วโมงแต่ตอนนี้เขาเร่งจนเหลือแค่ 20 นาที เขามองอย่างเจ็บปวดไปที่มู่หรงเสวี่ยที่นั่งยองๆอยู่ข้างถนนและร้องไห้อย่างกับสัตว์เล็กๆที่ไร้ทางสู้

“เสี่ยวเสวี่ย ฉันมาแล้ว ไม่ต้องร้องนะ…ไปกันเถอะ…” เขาจับมือเธอ

ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เธอกระโดดขึ้นมาทันทีและร้องไห้เสียงดัง

“หื้อ…พี่ชู…หื้อหื้อ…เขาไม่ต้องการฉันแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยพิงอยู่ที่หน้าอกของชูอี้เสิ่นพร้อมด้วยไหล่ของเธอที่สั่นอยู่ตลอด

ชูอี้เสิ่นแวบประกายเย็นชา ชางกวนโม่นี่มันเลวจริงๆ! เขาค่อยๆลูบไปที่หลังของมู่หรงเสวี่ย “ไม่ต้องร้องนะ เขาไม่ต้องการเธอ แต่ฉันยังต้องการนะ ฉันจะไม่ยอมให้คนอื่นรังแกเธออีกแล้ว…ไม่ต้องร้องนะ เรากลับกันก่อนดีกว่านะ…”
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ หลังจากที่พวกเขาขึ้นไปบนรถ มู่หรงเสวี่ยยังคงร้องไห้ มือที่จับอยู่ที่พวกมาลัยของชูอี้เสิ่นเกรงจนเส้นเลือดขึ้นชัดเจน ชางกวนโม่ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่

เวลาผ่านไปนานกว่าที่พวกเขาจะมาถึงวิลล่าของชูอี้เสิ่น เขาค่อยๆจอดรถและมองไปที่มู่หรงเสวี่ยที่ฝั่งผู้โดยสาร มีร่องรอยคราบน้ำตาบนใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอ ถึงแม้เธอจะผล่อยหลับไปแล้วแต่ก็ยังสะอื้นบ้างเป็นครั้งคราว

เขาค่อยๆอุ้มมู่หรงเสวี่ยไว้ในอ้อมแขนแล้วพาเธอตรงเข้าไปที่ห้องนอนของเขา เขาวางเธอลงบนเตียงและค่อยๆถอดรองเท้าเธอออกอย่างระวัง แล้วจึงห่มผ้าให้เธออย่างอ่อนโยน มู่หรงช่างน่ารักขนาดนี้ ชางกวนโม่ยังทำกับเธอเหมือนเป็นสัตว์ได้อีก เขารู้เลยว่าจะไม่ยอมปล่อยผู้ชายคนนี้ไปแน่ๆ ผู้ชายคนนั้นทำให้ความอบอุ่นเดียวในหัวใจเขาร้องไห้มากมายขนาดนี้ได้ยังไง? หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างมาก ถ้าเขาทำได้ เขาก็อยากที่จะรับความเจ็บปวดของเธอมาไว้เอง

รักครั้งแรกมักจะเจ็บปวดที่สุด เขากลัวว่ามู่หรงเสวี่ยจะรับความเจ็บปวดนี้ไม่ได้ เพราะนี่เป็นรักครั้งแรก งั้นมันจึงยากที่จะทำใจได้ จากเรื่องที่เขาสืบมา ชางกวนโม่เป็นแฟนคนแรกของเธอ ในตอนนี้ทันใดนั้นเขาก็หวังอยากให้มู่หรงเสวี่ยมีประสบการณ์เรื่องความรักที่มากกว่านี้เพื่อที่เธอจะได้เรียนรู้วิธีคลายความเจ็บปวดได้ หรือถ้านี่เป็นความรักเขาก็ไม่อยากให้เสี่ยวเสวี่ยต้องเป็นคนเดียวที่เจ็บปวด…

เขามองมู่หรงเสวี่ยเงียบๆอยู่นานและไม่ขยับไปไหน สถานะของเขาในตระกูลชูไม่ได้สวยงามเหมือนภายนอก ในตระกูลชูมีเรื่องทะเลาะมากมาย ก่อนหน้านี้เขาพร้อมที่จะปล่อยและเลิกยุ่งกับเธอ ยิ่งเมื่อได้รู้ว่ามู่หรงเสวี่ยคบอยู่กับชางกวนโม่ ซึ่งชางกวนโม่น่าจะสามารถปกป้องเธอจากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทอื่นๆได้

ดูเหมือนว่าเขาต้องเร่งลงมือทำงานซะแล้ว ในเมื่อชางกวนโม่ไม่รู้วิธีที่จะทะนุทนอม งั้นเขาก็จะสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นให้มู่หรงเองและหวังว่าเธอจะมีความสุข

ถึงแม้ชูอี้เสิ่นจะไม่อยากละสายตาจากใบหน้าที่กำลังหลับไหลของมู่หรงเสวี่ย แต่เขารู้ดีว่ามู่หรงเสวี่ยคงไม่ชอบที่จะถูกมองในเวลาที่เธอกำลังเศร้าที่สุดแบบนี้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีความสงสารก็ตาม

แต่เมื่อวันใหม่มา เขาเชื่อว่าสิ่งที่เสี่ยวเสวี่ยต้องการไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นพื้นที่ส่วนตัว เขาไม่ยอมแพ้หรอก เขาเดินไปที่ประตู และหันกลับมามองใบหน้าที่กำลังหลับไหลอีกครั้ง แล้วจึงค่อยๆปิดประตูอย่างระวัง เขาเข้าไปห้องนอนข้างๆเพื่ออาบน้ำก่อนที่จะลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมอาหารเช้า เขาไม่ชอบให้มีคนแปลกหน้าอยู่ในบ้านดังนั้นเขาจึงไม่ได้จ้างแม่บ้าน มีเพียงเข้ามาทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้งเท่านั้นเพื่อทำความสะอาดครั้งใหญ่

ทันทีที่อาหารเสร็จชูอี้เสิ่นก็ยกขึ้นมาให้มู่หรงเสวี่ยทันที เขาเคาะประตู

“เข้ามาค่ะ” เสียงแหบแห้งของมู่หรงเสวี่ยดังออกมาจากประตู

“มู่หรงเสวี่ย กินอาหารเช้าก่อนนะ” ชูอี้เสิ่นไม่เห็นน้ำตาอย่างที่คิดไว้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอ่อน “ขอบคุณนะคะพี่ชู…”
“เด็กโง่ เธอเรียกฉันว่าพี่ชู งั้นก็ไม่ต้องมาขอบคงขอบคุณอะไรหรอก…กินอาหารเช้าก่อนเถอะ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย…” เขาแตะที่หัวเธอและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เพราะกลัวว่าเสียงดังจะทำลายสีหน้าสงบนิ่งของเธอ

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่อาหารเช้าและเริ่มกินช้าๆ เธอเพียงแค่คนอาหารไปเรื่อยราวกับว่าต่อมรับรสเธอได้ตายไปแล้ว ไร้ความรู้สึกใดๆ

ความเจ็บปวดของการถูกทรยศทำให้เธอกลัว ไม่ว่ายังไงตั้งแต่นี้ไปชางกวนโม่ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอแล้วแต่ความเจ็บปวดของการอกหักทำให้เธอหายใจลำบากมากกว่าที่เธอคิดไว้

หลังจากนั้นสักพัก โทรศัพท์ของมู่หรงก็ดังขึ้นและชื่อที่แสดงอยู่ที่หน้าจอก็คือชางกวนโม่ เมื่อเห็นมู่หรงเสวี่ยถึงกับตกตะลึง ความเจ็บปวดในร่างกายผุดขึ้นมาอีกครั้งและน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาในทันที ทำไมเขายังโทรมาอีก? อยากที่จะพูดคำลาให้เธอได้ยินเองงั้นเหรอ?! เขาไม่จำเป็นต้องพูดในสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้วหรอก…ตอนนี้เธออยากที่จะหนีไปในโลกที่ไม่มีเขาและอยู่เพียงลำพัง

มู่หรงเสวี่ยมือสั่น อยากที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ ชูอี้เสิ่นมือไวกว่าจึงหยิบไปก่อน

“ฉันไม่รู้เลยว่าไอ้เจ้าชายแห่งเมืองหลวงนี่มันต้องการอะไร!” ดวงตาของชูอี้เสิ่นไม่เคยเย็นชาและดูรุนแรงขนาดนี้มาก่อนเลย

“ชูอี้เสิ่น! มู่หรงเสวี่ยล่ะ?” ชางกวนโม่ไม่คิดว่าคนที่รับสายจะเป็นชูอี้เสิ่น จึงรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที

ชูอี้เสิ่นแสยะ “ฮึ มู่หรงเสวี่ยล่ะ? ฉันไม่คิดว่านายจำเป็นต้องรู้นะ ตั้งแต่นี้ไปช่วยกรุณาอยู่ห่างๆจากมู่หรงเสวี่ยด้วย ไอ้สารเลว!”

“นายว่าไงนะ!!!! เอาโทรศัพท์ให้เสี่ยวเสวี่ย ฉันมีบางอย่างต้องพูดกับเธอ…” ในตอนนี้ชางกวนโม่คลั่งเกินกว่าที่จะสนใจท่าทางของชูอี้เสิ่น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมู่หรงเสวี่ย…เขารู้สึกว่าถ้าเขาไม่รีบอธิบายในตอนนี้ เขาจะต้องเสียเสี่ยวเสวี่ยไปตลอดกาล

ชูอี้เสิ่นมองเข้าไปในตาของมู่หรงเสวี่ยและยื่นโทรศัพท์ส่งให้เธอ

มู่หรงเสวี่ยเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ ตอนนี้เสียงที่เธอไม่อยากจะได้ยินก็คือเสียงของชางกวนโม่ เธอกลัวว่าตัวเองจะหัวใจแตกสลายมากไปกว่านี้