ความจริงเธอคิดเรื่องไปจากที่นี่มาสักพักแล้ว เธอเป็นคนปกติที่มีมือมีเท้าเหมือนคนอื่น หากเธอเอาแต่หลบอยู่ใต้ปีกคนอื่นตลอดเวลา ก็คงไม่ต่างจากตอนที่เธออยู่กับจิ้นหยวน เธอยังเคยไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าตัวเองอาจจะได้ร่วมชีวิตกับจิ้นหยวนไปชั่วชีวิต แล้วดูสิว่าผลเป็นอย่างไร 

 

 

เรื่องแบบนี้เกิดกับเธอแค่ครั้งเดียวยังพูดได้ว่าเธอโชคร้าย แต่หากเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองนั่นคือเธอโง่เอง 

 

 

เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่เคยหยุดคิดเรื่องที่จะไปจากที่นี่ เพียงแต่ตอนนี้ฉีหย่วนเหิงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เธอจึงเปลี่ยนคำพูดกะทันหัน 

 

 

ฉีหย่วนเหิงดูไม่ออกว่าในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาสังเกตสีหน้าเธออย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าสีหน้าเธอสงบนิ่งจึงรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง 

 

 

เขาตบไหล่เธอเบาๆ พลางเอ่ยปลอบ “คุณวางใจเถอะ ผมต้องหาวิธีสืบข่าวของคุณป้าให้ได้ คุณอดทนหน่อยนะ ถ้าคุณเบื่อมาก อีกวันสองวันเดี๋ยวผมพาคุณออกไปข้างนอกเอง” 

 

 

เธอผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วไม่ได้เอ่ยอันใดอีก 

 

 

มอลลี่มองดูสองหนุ่มสาวจากในบ้าน เธอมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยหลังสังเกตท่าทางที่ทั้งสองพูดคุยกัน ฮานส์เห็นสีหน้าของภรรยาตัวเองแล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ทำไมคุณทำหน้าแบบนั้นล่ะ หรือว่าคุณไม่พอใจที่เห็นเขาคุยกัน?” 

 

 

ในสายตาของเขา เขาเห็นว่าสองหนุ่มสาวเข้ากันได้ดีออก 

 

 

มอลลี่ยักไหล่ “สัญชาตญาณบอกกับฉันว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีใจให้ฉี” 

 

 

ฮานส์มองออกไปนอกบ้านแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฉีก็บอกแล้วนี่ว่าเธอมีคนรักแล้ว ตอนนี้ก็เลยยังเปิดใจยอมรับเขาไม่ได้ล่ะมั้ง แต่ไม่เป็นไร เวลาจะช่วยทำให้อะไรๆ ดีขึ้นเอง” 

 

 

มอลลี่ยังคงไม่สบายใจนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน 

 

 

ฮานส์กับมอลลี่มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่ที่เห็นทั้งสองอยู่ว่างๆ นั่นเป็นเพราะพวกเขาอยู่ในช่วงลาพักร้อน และวันลาพักร้อนของพวกเขาก็ใกล้จะหมดลงแล้ว 

 

 

ผ่านไปสองวัน เฉียวซือมู่ถึงได้รับรู้เรื่องนี้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ฮานส์กับมอลลี่จะไปจากที่นี่แล้ว พวกเขาจึงขอให้เธอช่วยดูแลคฤหาสน์หลังนี้แทนอย่างกะทันหัน 

 

 

เธอชะงักนิ่งอึ้ง ได้แต่มองใบหน้ายิ้มแย้มของมอลลี่แล้วเอ่ยขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก “ฉัน… ฉันว่าไม่ดีหรอกมั้ง ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไงคะ?” 

 

 

มอลลี่ยิ้มตาหยี “ไม่เป็นไร พวกเราต้องกลับไปทำงานแล้ว ปกติที่นี่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ถ้าคุณชอบก็อยู่ต่อไปเรื่อยๆ สิคะ คุณไม่ต้องห่วง ฉันไม่เก็บค่าเช่ากับคุณหรอกค่ะ” 

 

 

“เปล่า ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เธอรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “ความหมายของฉันคือ ฉันอาจจะ…” 

 

 

“อาจจะไปกับฉีใช่ไหมล่ะ คุณสบายใจได้ ถึงตอนนั้นฉีรู้ว่าต้องทำยังไง” มอลลี่เข้าใจความหมายของเธอผิดมหันต์ ยังคงเอ่ยต่อคำพูดของเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส 

 

 

เธออยากจะบอกเหลือเกินว่าอีกไม่นานเธอก็จะไปจากที่นี่แล้ว แต่มาคิดดูอีกที ยังไม่บอกดีกว่า 

 

 

ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหน เพราะฉะนั้น ยังไม่พูดออกไปน่าจะเป็นการดีกว่า 

 

 

เย็นนั้น ฮานส์กับมอลลี่นั่งรถออกจากคฤหาสน์ชนบทของตัวเอง ในที่สุดคฤหาสน์ชนบทหลังใหญ่โตมโหฬารก็เหลือเธอเพียงแค่คนเดียว 

 

 

เธอมองกุญแจบ้านในมือตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เพิ่งรู้จักกันจะเชื่อใจตัวเองมากขนาดนี้ แต่กุญแจที่อยู่ในมือก็ตอกย้ำกับเธอว่ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน 

 

 

เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเก็บกุญแจอย่างระมัดระวัง ในใจคิดเอาไว้ว่าถึงเวลาที่เธอต้องไปจากที่นี่เธอค่อยเอากุญแจไปคืนให้พ่อบ้านก็ได้ 

 

 

เธอตัดสินใจได้แล้ว จากนั้นอยู่ที่นี่ต่อเพื่อรอข่าวจากฉีหย่วนเหิง 

 

 

ในเวลาเดียวกัน จิ้นหยวนกำลังอาละวาดฟาดหัวฟาดหางด้วยความเกรี้ยวกราดหลังจากรับรู้ว่าไร้ความคืบหน้าใดๆ “คนตั้งเยอะแยะใช้เวลาค้นหานานขนาดนั้นแล้วแต่กลับไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?”  

 

 

ลูกน้องแต่ละคนหน้าซีดเผือดก้มหน้างุด “พวกเราออกค้นหาทุกที่แล้วครับ แต่คุณเฉียวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนระเหยไปในอากาศ ไม่มีเบาะแสอะไรให้สืบหาต่อได้เลยครับ” 

 

 

พายุฝนลมแรงก่อตัวขึ้นในดวงตาของจิ้นหยวน “พวกนายแต่ละคนมันโง่ ดี ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกนายฟังให้ดี…”  

 

 

“พี่ใหญ่!” ขณะที่พายุฝนลมแรงกำลังจะโหมกระหน่ำ ทันใดนั้นเสียงของหลินจื้อเฉิงดังขึ้น เขารีบวิ่งเข้ามาแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้จิ้นหยวน “พี่ดูนี่สิครับ มีเบอร์โทรที่ไม่รู้จักส่งข้อความเข้ามา” 

 

 

จิ้นหยวนรับมันมาด้วยใบหน้าถมึงทึง เขากวาดตามองแล้วถึงกับเบิกตาโต “เบอร์โทรที่ไม่รู้จักอย่างนั้นเหรอ? รีบไปเช็กเดี๋ยวนี้!” 

 

 

หลินจื้อเฉิงไม่รอให้เขาสั่ง “ผมเห็นข้อความแล้วสั่งให้คนไปเช็กที่มาแล้วครับ แต่ต้องรอผลอีกสักพัก”  

 

 

จิ้นหยวนจ้องข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือตาเขม็ง “ฉันไปแล้ว ไม่ต้องตามหา คุณไม่มีวันหาฉันเจอหรอก” 

 

 

ทั้งน้ำเสียง ทั้งคำพูด เป็นของผู้หญิงไร้หัวใจคนนั้นชัดๆ เขากำโทรศัพท์มือถือในมือแน่น ราวกับว่าสามารถบดขยี้มันให้แหลกละเอียดคามือ 

 

 

หลินจื้อเฉิงเห็นแล้วถึงกับหนังตาเต้นตุบๆ มิวายรีบไพล่มือไปข้างหลังแล้วกวักมือไปมาเป็นสัญญาณให้ลูกน้องที่เพิ่งถูกด่าเสียเปิงจนสภาพดูไม่ได้รีบฉวยโอกาสหนี 

 

 

ลูกน้องพวกนั้นต่างพากันโล่งอก เมื่อเห็นว่าเจ้านายกำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถึอจึงพยักพเยิดให้กันแล้วค่อยๆ เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ 

 

 

ไหนๆ การค้นหาก็ไม่ราบรื่นแล้ว มารายงานเรื่องนี้ให้จิ้นหยวนทราบ อย่างมากก็แค่ถูกเขาด่า 

 

 

จิ้นหยวนหน้าดำคร่ำเครียด เขาเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเฉียวซือมู่แข็งใจไม่ยอมกลับมาหาเขาแน่แล้ว มันทำให้เขารู้สึกเกลียดคนที่ปล่อยข่าวนี้เข้ากระดูกดำขึ้นไปอีก 

 

 

เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบน่าครั่นคร้าม “หาตัวคนถ่ายรูปนั้นเจอหรือยัง?” 

 

 

สีหน้าของหลินจื้อเฉิงขาวซีด เขาส่ายศีรษะน้อยๆ “ยังครับ ผมตรวจสอบแขกที่มาร่วมงานทั้งหมดแล้ว แต่ไม่มีใครยอมรับว่าทำเรื่องนี้ครับ” 

 

 

เป็นอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด เขาพยักหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้ม “นายออกไปก่อน มีความคืบหน้าอะไรให้มารายงานฉันทันที” 

 

 

“ครับ” หลินจื้อเฉิงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าร่างกายของเขาทรุดโทรมลงมากภายในเวลาเพียงไม่กี่วันจึงเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว “พี่ใหญ่ ผมคิดว่าคุณเฉียวคงตัดสินใจไปจากพี่จริงๆ ถ้าเกิดหาเธอไม่เจอจริงๆ ถ้าอย่างนั้น…” 

 

 

ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยจบประโยคก็ถูกจิ้นหยวนเอ่ยแทรกขึ้น “เป็นไปไม่ได้ ฉันจะต้องหาเธอให้เจอ ต้องหาให้เจอ…” 

 

 

แววตาของเขามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว สองมือที่กำกันแน่นทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง เขาจะต้องหาเธอให้เจอจากนั้นถามเธอว่าเธอยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า ถึงเขาจะผิดที่ปิดบังเรื่องนี้กับเธอ แต่เธอลืมความรักความทะนุถนอมที่เขามีให้เธอไปจนหมดแล้วเหรอ? ทำไมเธอถึงโหดร้ายแบบนี้? 

 

 

หลินจื้อเฉิงเห็นสีหน้าน่ากลัวของเขาแล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ 

 

 

หลินจื้อเฉิงเห็นมู่หรงอวิ่นเจ๋อเดินมาพอดี มู่หรงอวิ่นเจ๋อเห็นหน้าเขาแล้วเอ่ยถามทันที “อาละวาดอีกแล้วเหรอ?” 

 

 

หลินจื้อเฉิงพยักหน้าให้เพื่อนรักของตัวเอง “ใช่ ถ้ารู้อย่างนี้ ตอนนั้นฉันคง…” 

 

 

มู่หรงอวิ่นเจ๋อส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น “ในเมื่อตัดสินใจทำลงไปแล้วก็ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง ที่สำคัญ นายทำไปเพราะความหวังดี คุณเฉียวมีอิทธิพลต่อพี่ใหญ่มากเกินไป” 

 

 

หลินจื้อเฉิงเม้มริมฝีปากแน่นอยู่สักพักแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “ถึงมันจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่ฉันกลัวว่าถ้าสักวันพี่ใหญ่รู้ความจริงแล้วจะ…”