“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำให้เขารู้” มู่หรงอวิ่นเจ๋อเอ่ยต่อคำพูดของเขา 

 

 

“นายหมายความว่ายังไง?” หลินจื้อเฉิงหวาดหวั่น 

 

 

“หมายความตามที่พูด” เขามองหลินจื้อเฉิงแวบหนึ่งแล้วเลิกคุยเรื่องนี้อีก หากแต่ชูแฟ้มเอกสารในมือขึ้นแทน “เอกสารนี้ต้องส่งให้พี่ใหญ่เซ็นอนุมัติ นายจะเป็นคนเข้าไปส่งเองหรือว่าให้ฉันเข้าไป?” 

 

 

หลินจื้อเฉิงส่ายศีรษะอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก “นายไปเองเถอะ ฉันจะไปพักสักหน่อย” 

 

 

เอ่ยจบแล้วเดินออกไปข้างนอกทันที ดวงตาพราวเสน่ห์ของมู่หรงอวิ่นเจ๋อมองตามจนเขาเดินหายลับไปจากสายตา จากนั้นหันไปเคาะประตูห้อง “พี่ใหญ่…” 

 

 

อีกฟากหนึ่ง เฉียวซือมู่เพิ่งได้รับข่าวจากฉีหย่วนเหิงว่าคุณแม่ของเธอสบายดี จิ้นหยวนยังจ้างพยาบาลพิเศษคอยดูแลท่านเป็นอย่างดี ทำให้เธอโล่งอกโล่งใจเป็นอย่างมาก 

 

 

ก่อนหน้านี้เธอกลัวเหลือเกินว่าจิ้นหยวนจะระบายความโกรธที่หาเธอไม่เจอกับคุณแม่ ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เธอนึกกลัว เธอจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก 

 

 

เธอขอบคุณฉีหย่วนเหิงจากใจ “ขอบคุณคุณมากเลยนะคะ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้คุณช่วยเป็นธุระให้ ฉันคงไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงส่ายศีรษะ “คุณไม่ต้องเกรงใจหรอก ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา” 

 

 

เธอพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงนั่งอยู่ข้างเธอ เขาเอ่ยถาม “ต่อจากนี้คุณจะเอายังไงต่อ ผมสังเกตเห็นว่าสองสามวันมานี้ คนที่ออกตามหาตัวคุณน้อยลงไปเยอะแล้ว อีกไม่กี่วันคุณก็คงจะออกไปข้างนอกได้แล้ว แล้วคุณอยากจะทำอะไรต่อหรือเปล่า?” 

 

 

แววตาเธอเลื่อนลอยชั่วครู่ จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว “ฉันอาจจะหางานทำ ว่างงานมานานจนกระดูกจะขึ้นสนิมอยู่แล้ว” 

 

 

“ทำงานเหรอ? ให้ผมเป็นคนดูแลคุณไม่ดีกว่าหรือไง?” เขาเอ่ยทีเล่นทีจริง 

 

 

หัวใจเธอเต้นแรง เธอชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง พบเพียงสีหน้าสงบนิ่งของเขา ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ เธอส่ายศีรษะเบาๆ “ทำแบบนั้นได้ยังไงกันคะ เราเป็นเพื่อนกันนะ จะให้คุณดูแลฉันได้ยังไง คุณวางใจเถอะ ฉันต้องหางานดีๆ ได้อย่างแน่นอน” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงได้แต่แอบถอนหายใจอยู่ในอก แต่สีหน้ากลับไม่เผยความรู้สึกออกมา “ก็ดีเหมือนกัน รออีกสักพักเดี๋ยวผมพาคุณออกไปเอง” 

 

 

“อื้ม ขอบคุณมากค่ะ” 

 

 

ยามค่ำ ณ คฤหาสน์ตระกูลจิ้น 

 

 

จิ้นหยวนย้ายเข้าไปอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลจิ้นนับตั้งแต่วันที่เขาแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียง ส่วนคฤหาสน์ที่เขาเคยอยู่กับเฉียวซือมู่นั้น เขายกให้คุณนายเฉียวอยู่แทน 

 

 

หร่วนเซียงเซียงกับจิ้นเฮ่าพอใจมาก มีเพียงฉินเพ่ยหรงคนเดียวเท่านั้นที่ได้แต่แอบทอดถอนใจทุกครั้งยามเห็นหน้าลูกชายตัวเอง 

 

 

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเธอก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของลูกชายอีกเลย ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว เธอรู้สึกปวดใจทุกครั้งที่เห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกของจิ้นหยวน จนทำให้เธอนึกโทษผู้หญิงเลวร้ายอย่างหร่วนเซียงเซียงอยู่ในใจ 

 

 

ความจริงเรื่องนี้จิ้นเฮ่าเองก็มีส่วนผิด แต่ใครใช้ให้เขาเป็นสามีของเธอกันล่ะ เธอไม่อาจโทษเขาได้ จึงทำได้แต่เอาความโกรธทั้งหมดของตัวเองไปลงที่หร่วนเซียงเซียงแทน 

 

 

ดังนั้น หร่วนเซียงเซียงจึงใช้ชีวิตด้วยความกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก เธอไม่สนใจที่แม่สามีเห็นเธอขัดหูขัดตาไปหมด แต่ตำแหน่งคุณนายจิ้นที่ตัวเองอุตส่าห์ลงทุนลงแรงกว่าจะได้มาไม่สมฐานะเอาเสียเลย ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว จิ้นหยวนเอาแต่ออกจากบ้านแต่เช้าและกลับบ้านดึกดื่นค่อนคืนทุกวัน ที่สำคัญ เขาไม่เคยย่างกรายเข้าไปในห้องนอนของเธอแม้แต่ก้าวเดียว เขานอนในห้องหนังสือทุกคืน และไม่เคยชายตาแลเธอเลยสักครั้ง 

 

 

เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห แต่กลับทำอะไรจิ้นหยวนไม่ได้เลยสักอย่าง 

 

 

ที่เธอได้แต่งงานกับจิ้นหยวนเป็นเพราะมีจิ้นเฮ่าคอยสนับสนุนและเข้าข้างตัวเอง แต่ตอนนี้จะให้เธอไประบายความทุกข์กับจิ้นเฮ่าได้อย่างไรว่าจิ้นหยวนยอมนอนกับกองหนังสือเสียดีกว่านอนกับเธอ ถ้าเธอทำอย่างนั้นคงต้องอับอายขายหน้าจนไม่เหลือชิ้นดีแน่ๆ 

 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน ขณะที่เธอกำลังกลัดกลุ้มใจอยู่นั้น ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงจิ้นหยวนกลับมาแล้ว 

 

 

เธอรีบวิ่งไปดูตรงหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น เธอเห็นเขาก้าวลงจากรถ จิ้นหยวนสวมชุดสูทสีดำดูสง่างามมาก ใบหน้างดงามราวเทพสูงส่งกลับเรียบเฉยและเย็นชา ให้ความรู้สึกยากจะเข้าถึง 

 

 

เธอเห็นเขาแล้วหน้าร้อนผะผ่าวทันที นี่คือชายหนุ่มที่เธอเฝ้าถวิลหาทุกเมื่อเชื่อวัน หลังจากความพยายามอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็กลายเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของเธอ ต่อให้หัวใจของเขาไม่ได้อยู่ที่เธอ แต่นานวันเข้า เขาจะต้องเห็นความดีของเธออย่างแน่นอน 

 

 

เธอแอบมองเขาอยู่เงียบๆ และพบว่าคนที่อยู่ข้างกายจิ้นหยวนคือหลินจื้อเฉิง เขากำลังประคองจิ้นหยวนที่เหมือนคนเมาเอาไว้ 

 

 

หัวใจเธอเต้นแรง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาทันที 

 

 

หลินจื้อเฉิงประคองจิ้นหยวนที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ขึ้นบันไดไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องหนังสือ เขาลังเลชั่วครู่ จิ้นหยวนยกมือขึ้นโบกไปมา “นายกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวฉันเข้าไปเอง” 

 

 

คืนนี้เขาดื่มไปแค่สองแก้วเท่านั้น แม้ทั้งเนื้อทั้งตัวจะเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์รุนแรง แต่สติสัมปชัญญะยังอยู่ครบถ้วน 

 

 

หลินจื้อเฉิงติดตามจิ้นหยวนมานาน เขาย่อมรู้ดีว่าเหตุใดจิ้นหยวนถึงนอนในห้องหนังสือ เมื่อได้ยินสิ่งที่จิ้นหยวนบอกจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขายื่นมือไปเปิดประตูห้อง จากนั้นเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ พี่ดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะครับ” 

 

 

จิ้นหยวนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วก้าวเดินเข้าไปในห้อง 

 

 

คฤหาสน์ตระกูลจิ้นนั้นใหญ่โตมาก พื้นที่แต่ละห้องกว้างขวางมาก เช่นเดียวกับห้องหนังสือห้องนี้ ฟังดูเหมือนห้องธรรมดา แต่ความจริงแล้วห้องหนังสือห้องนี้แบ่งออกเป็นสามห้องย่อย ห้องที่อยู่ด้านนอกสุดเป็นห้องรับแขกที่มีโซฟาและโต๊ะน้ำชา ถัดมาจึงเป็นห้องหนังสือที่เอาไว้ทำงาน และห้องที่อยู่ด้านในสุดเป็นห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัว 

 

 

เขาเดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ด้านในสุดโดยไม่สนใจอะไรอีก เขาดื่มจนรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ตอนนี้อยากจะอาบน้ำให้สดชื่นเสียเต็มประดา 

 

 

เขาเดินพลางถอดเสื้อสูทตัวนอกออกพลาง มือซ้ายแกะกระดุมเสื้อเชิ้ต มือขวาเลื่อนประตูห้องน้ำให้เปิดออก ทันใดนั้น ไอน้ำลอยปะทะใบหน้าของเขา เขาไม่ได้ใส่ใจนัก ดวงตาดำขลับกวาดสายตามองแวบหนึ่งพลางคิดว่าคนรับใช้คงเข้ามาเตรียมน้ำเอาไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว 

 

 

เสี้ยววินาทีที่เขาจะถอดเสื้อเชิ้ตออกพลันต้องชะงักนิ่งด้วยความตกตะลึง เพราะจู่ๆ ก็มีเรียวขาขาวราวหิมะคู่หนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางไอน้ำที่ก่อตัวขึ้นจนห้องน้ำดูขมุกขมัว เรียวขาเรียวยาวคู่นั้นต้องเป็นของหญิงสาวอย่างไม่ต้องสงสัย 

 

 

ถึงเขาจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจของเขาก็เต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่ เขาเอ่ยเรียกโดยไม่คิดสักนิด “มู่มู่?”