ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 29 เข้าใกล้สถานการณ์สิ้นหวังอีกครั้ง เด็กน้อยสองคน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

นางนึกถึงภาพก่อนที่นางจะสลบ และกลิ่นที่ยากจะลืมเลือน เกิดการคาดเดามากมาย ตื่นตระหนกจนไร้คำพูด

…เลือดของเขาบริสุทธิ์มาก จึงสามารถเข้ากับร่างกายของนางได้? แต่เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนางในตอนนี้มีวิญญาณเทพสถิตอยู่อย่างชัดเจน เป็นเลือดของตัวเองอย่างแท้จริง ทำไมเลือดของเขาถึงเปลี่ยนเป็นเลือดแท้หงส์สวรรค์ของตัวเองได้?

นางเบิกตาโตจ้องมองเฉินฉางเซิง ว่างเปล่าอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งความช่วยเหลือ เช่นนั้นก็เลยใสซื่อ

นางใช้ชีวิตมาสิบห้าปี นี่เป็นครั้งแรกที่โง่งมเช่นนี้ น่ารักเช่นนี้

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าจะอธิบายต่อนางอย่างไร และก็ไม่ได้เตรียมตัวที่จะอธิบายกับนาง แต่นางผู้ซึ่งกังวลกับการเพิ่งก้าวออกจากขอบเขตความตาย ความจริงแล้วยังคงอ่อนแอมาก ต้องดูแลร่างกายอย่างดี ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดปัญหาใหม่บางอย่างขึ้นเพราะได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจรุนแรงเกินไป ดังนั้นจึงตัดสินใจสร้างข้ออ้างบางอย่าง แต่แล้วคำพูดของเขาเพิ่งได้ออกจากปาก ก็ถูกฟ้าร้องชุดหนึ่งกลบไป

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!

เสียงอัสนีคำรามหนักหน่วงแต่ชัดเจนมาจากบริเวณห่างไกล ทะลุผ่านประตูใหญ่ของสุสาน ส่งเข้ามาในหูของพวกเขา

เฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจเล็กน้อย ใจคิดก่อนหน้านี้ตอนรุ่งอรุณฝนเพิ่งหยุด ทำไมยังมีเสียงฟ้าผ่า? เขาพยุงนางให้นั่งพิงเสาหินให้ดี ยกน้ำสะอาดและอาหารที่เตรียมไว้แล้วมาไว้ข้างนาง พูดคำหนึ่ง แล้วก็วิ่งออกไปที่นอกสุสาน

ผ่านถนนสู่ใจกลางสุสานที่ยาวไกล มาถึงนอกสุสาน มองไปยังบริเวณที่มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น สีหน้าของเขาขาวซีดยิ่งกว่าเดิม

บริเวณที่ฟ้าผ่าไม่มีฝน ขนาดเมฆก็ไม่มี กลับมองไม่เห็นท้องฟ้าสีฟ้า เนื่องจากท้องฟ้าบริเวณห่างไกลแห่งนั้น ถูกเงาสะท้อนขนาดใหญ่มหึมาครอบครอง

ด้านล่างของเงาสะท้อนสายนั้น เป็นเส้นสีดำราวกับคลื่นน้ำสายหนึ่ง

แม้จะมองเห็นไม่ชัด แต่จิตสัมผัสบอกความจริงกับเขาอย่างเย็นชาไร้น้ำใจ เส้นสีดำสายนั้นเป็นสัตว์อสูรจำนวนมากรวมกันเป็นคลื่นสัตว์อสูร ที่ห่างออกไปสองร้อยลี้ ถ้ารักษาความเร็วคงที่ ณ ตอนนี้  น่าจะต้องใช้เวลาหนึ่งวัน จึงจะมาถึงข้างหน้าของสุสานแห่งนี้

ไม่มีเวลาไปคิดว่าสัตว์อสูรในที่ราบทุ่งหญ้าจะโจมตีมาอย่างไร อีกทั้งกลายเหมือนเป็นกองทัพ ใครเป็นคนบัญชาควบคุมอยู่หรือไม่ เขาหันหลังเดินกลับไปที่สุสาน วิ่งกลับไปตรงหน้าสวีโหย่วหรง อุ้มนางขึ้นในแนวนอน พูดว่า “พวกเราต้องไปแล้ว”

ตลอดทางที่ผ่านมา ระหว่างทั้งคู่มีการแตะเนื้อต้องตัวหลายครั้งแล้ว แต่การอุ้มวิธีนี้แน่นอนว่าไม่เหมือน สวีโหย่วหรงยังไม่ทันได้ตื่นจากการเหม่อลอย ก็เริ่มเขินอาย เพียงแต่ความเขินอายไม่ทันกลายเป็นความโมโหก็ตกตะลึงด้วยคำพูดของเขา

“เพราะอะไร?”

“มีคลื่นอสูร น่าจะมุ่งมาที่สุสาน ผู้บังคับบัญชาน่าจะเป็นเผ่ามาร”

“น่าจะเป็นไม้จิตวิญญาณ”

สองคำสนทนาที่เรียบง่าย สองคนก็ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เพียงพอ นำการตัดสินใจของตัวเองออกมา

เฉินฉางเซิงอุ้มนางวิ่งออกจากสุสาน คลื่นอสูรสายนั้นในตอนนี้รวมกันเป็นเส้นสีดำราวกับอยู่ที่บริเวณท้องฟ้าไม่ไกล ไม่ได้เกิดการเคลื่อนไหวใดๆ แต่เขารู้ว่าสัตว์อสูรที่น่ากลัวเหล่านั้นใกล้เข้ามายังที่ตรงนี้อีกเล็กน้อย ในที่สุดสวีโหย่วหรงก็ได้เห็นภาพที่เรียกได้ว่าอลังการภาพนี้ ไม่มีความลุกลี้ลุกลนใดๆ ถามคำถามที่สำคัญที่สุดคำถามหนึ่งโดยตรงว่า “พวกเราจะไปไหน?”

คลื่นอสูรที่น่ากลัวโจมตีมา ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้พวกเขาบาดเจ็บสาหัสเหนื่อยล้า แม้จะเป็นช่วงเวลาที่อุดมไปด้วยพละกำลัง ศาสตรายังอยู่ข้างกายพวกเขา ก็ไม่อาจตอบโต้สถานการณ์เช่นนี้ได้เช่นกัน อย่างที่เฉินฉางเซิงพูด การหนีไปเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

แต่ว่า จะไปที่ไหนได้? ที่ราบทุ่งหญ้าแห่งนี้ช่างลึกลับและอันตราย ถ้าไม่ใช่ว่ามีร่มกระดาษทองนำทาง พวกเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินมาถึงสุสานแห่งนี้ ส่วนทิศทางของร่มกระดาษทองก็มาจากเจตจำนงกระบี่สายนั้น

แม้สวีโหย่วหรงไม่รู้เรื่องภายใน ก็คาดไว้แล้วว่าร่มคันนั้นชี้ทิศทางได้แค่สุสาน

ถ้าตอนนี้พวกเขาออกจากสุสานเดินเข้าไปในที่ราบทุ่งหญ้า ร่มกระดาษทองไม่สามารถชี้จุดหมายที่สองให้พวกเขาได้แน่นอน ฉะนั้นพวกเขาจะหลงอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้า และตายไปเหมือนกับผู้แข็งแกร่งคนก่อนๆ

ดีที่ภาพที่เห็นในเวลาต่อมาทำให้พวกเขาไม่ต้องไปกังวลในด้านนี้ แน่นอนว่าจุดนี้หากใช้คำว่าดีก็คล้ายจะไม่เหมาะสม…ในที่ราบทุ่งหญ้ารอบสุสาน พวกเขาล้วนเห็นเส้นสีดำของคลื่นอสูร ฉะนั้นทิศทางการหนีล้วนถูกปิดตายแล้ว

เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดจาเป็นเวลานาน เดิมเขายังมีความสงสัยจำนวนมาก คลื่นอสูรเหล่านั้นทำไมถึงรวมตัวกัน หรือว่าพวกเขาเข้าสุสานของโจวตู๋ฟู แล้วละเมิดกฎระเบียบบางอย่าง แล้วตลอดทางที่เดินผ่านมา เหตุใดถึงไม่มีสัตว์อสูรโจมตีพวกเขา เพราะอะไรสัตว์อสูรเหล่านี้มองดูแล้วเหมือนมีคนบงการ แต่ความสงสัยเหล่านี้สวีโหย่วหรงได้ให้คำตอบออกมาแล้ว

“หนานเค่อบัญชาการสัตว์อสูรเหล่านั้นให้ยุติการโจมตีพวกเรา เพราะว่าอยากหาสุสานของโจวตู๋ฟูให้เจอผ่านการเดินตามเรา”

ศูนย์กลางจิตวิญญาณในสุสานมาจากเมืองไป๋ตี้ สามารถเรียกใช้สัตว์อสูรได้ แต่ไม้จิตวิญญาณที่สำคัญกลับไม่อยู่ในห้องศิลา ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว ไม้จิตวิญญาณท่อนนั้นน่าจะอยู่ในมือของหนานเค่อ ส่วนทำไมถึงเป็นเช่นนี้ นั่นเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้

ในเส้นสีดำสายนั้นมีสัตว์อสูรจำนวนเหนือคณานับ มีสัตว์อสูรจำนวนมากที่แข็งแกร่งถึงระดับยากจะจินตนาการ ห่างกันสองร้อยลี้ เขาสามารถรู้สึกถึงได้ มีไอพลังปราณของสัตว์อสูรบางประเภทสามารถเทียบเคียงกับผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ขั้นรวบรวมดวงดาวได้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวจริงอันน่ากลัวของเงาสะท้อนสายนั้นในท้องฟ้า

เขาถามว่า “ในเมื่อนางสามารถบังคับบัญชาสัตว์อสูร เช่นนั้นก็สามารถให้สัตว์อสูรนำทางได้โดยสิ้นเชิง ทำไมยังต้องตามพวกเรา?”

สวีโหย่วหรงพูดว่า “ไม้จิตวิญญาณจำเป็นต้องอยู่กับศูนย์กลางจิตวิญญาณ ถึงจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ หรือว่าอาจจะเป็นเพราะสาเหตุบางอย่าง นางไม่สามารถสื่อสารกับสัตว์อสูรเหล่านั้นได้ สัตว์อสูรเหล่านั้นทำได้เพียงต่อสู้ตามนาง แต่ทำอย่างอื่นไม่เป็น”

พูดประโยคนี้เสร็จ ทั้งสองคนเริ่มเงียบขรึมอีกครั้ง

เส้นสีดำที่รวบรวมมาจากคลื่นอสูรอยู่รอบสุสานทั้งสี่ทิศ แม้พวกเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับรวบรวมดวงดาวขั้นปลาย ก็ยากที่จะออกจากวงล้อม เวลานี้ขบคิดเรื่องพวกนี้ ไม่มีความหมายอันใดอย่างแท้จริง

ที่ราบทุ่งหญ้าหลังฝนมีความหนาวเย็นเล็กน้อย ต้นไม้สีเขียวที่งอกในช่องว่างก้อนหินของสุสานเตี้ยมาก ไม่สามารถกำบังลมได้ สายลมปะทะหน้า เย็นเล็กน้อย เฉินฉางเซิงมองนางพลางพูดว่า “พวกเรากลับกันเถอะ”

ในเมื่อไม่สามารถจากไปได้ เฝ้าอยู่ในสุสานก็กลายเป็นตัวเลือกเดียวที่ดีที่สุด

สวีโหย่วหรงพูดว่า “ข้าไม่อยากตายอยู่ในสุสานของคนอื่น”

การคิดวิเคราะห์ปัญหาของเฉินฉางเซิงนั้นเรียบง่ายกว่ามาก พูดว่า “แต่ว่าข้างนอกหนาวเล็กน้อย”

สวีโหย่วหรงไม่รู้เอาธนูอู๋ออกมาจากไหน แทงเข้าไปในช่องว่างของก้อนหิน ได้ยินเพียงเสียงซู่ๆ ดังขึ้นมาเป็นช่วงๆ ข้างบนธนูยาวปรากฏใบไม้สีเขียวจำนวนมาก โดนลมตีผ่าน กลับกันลมให้อยู่ข้างนอกได้ทั้งหมด

ตอนที่เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นมาในถ้ำหน้าผา ไม่เห็นธนูอู๋กลายเป็นต้นไม้สีเขียว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็น รับรู้สึกถึงไอพลังปราณการป้องกันที่ยิ่งใหญ่ในนั้น พูดด้วยความตกตะลึงว่า “ไม่คิดว่าจะเป็นวังถง?”

สวีโหย่วหรงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ใจคิดเจ้าเป็นศิษย์ลับของพรรคภูเขาหิมะผู้หนึ่งจริงหรือ? บนตัวของเจ้าทำไมถึงมีความลับมากขนาดนี้? ไม่คิดว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นวังถง?

ตอนที่เฉินฉางเซิงอุ้มนางออกมา ไม่ได้ลืมผ้าห่มกระสอบป่านที่ม้วนอยู่บนตัวนาง เวลานี้เขาเอาผ้ากระสอบป่านปูบนพื้นดิน พยุงนางนั่งลง พูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากเข้าไป ก็มองดูอยู่ตรงนี้ก็ได้”

ยากที่จะหนีออกจากปรภพ ยังคงต้องตายสถานการณ์เดียว สวีโหย่วหรงผู้ซึ่งเดินผ่านหน้าผาความตาย เห็นถึงลักษณะนิสัยที่แท้จริง ความชัดเจนที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ไปคิดความลับที่ซ่อนอยู่บนตัวเฉินฉางเซิง สงบและมิได้ใส่ใจ

“ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้จะทำเรื่องเหล่านั้นไปทำไม สิ้นเปลือง”

เฉินฉางเซิงไม่เห็นด้วยกับความคิดของนาง พูดว่า “สามารถมีชีวิตอยู่อีกสักเค่อก็ยังดี ไม่ต้องพูดว่าวันเดียว แม้จะเป็นหนึ่งยาม หนึ่งลมหายใจ กระทั่งชั่วขณะ ก็ดีทั้งนั้น”

สวีโหย่วหรงรู้สึกถึงความจริงใจของเขา ใจคิดนี่เป็นคนผู้หนึ่งที่หวงแหนและหลงใหลในชีวิตขนาดไหนกัน มีเพียงแค่คนเช่นนี้ ถึงจะใจดีได้เช่นนี้? เขาเป็นคนดีจริงๆ

“ขอบคุณเลือดของเจ้า”

ภาพที่เห็นในก่อนหน้านี้ กลิ่นที่ได้สูดดม แม้จะเป็นนางที่มีนิสัยสงบนิ่งอย่างยิ่ง เมื่อแรกเห็นสีหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย สายตาที่มองเขามีความซับซ้อนเล็กน้อย

“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่”

เฉินฉางเซิงเงียบขรึมสักพัก พูดว่า “เลือดของข้ามีปัญหา ข้าไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร เอาเป็นว่าคนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่ได้กลิ่นเลือดของข้า ล้วนอยากกินข้า ไม่มีใครสามารถต่อต้านการยั่วยวนนี้ได้”

นอกจากเส้นลมปราณขาดตอน เส้นทางชีวิตหม่นหมอง แล้วจะตายไปในตอนอายุยี่สิบ นี่เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดของเขา ไม่ว่าจะเป็นลั่วลั่วหรือถังซานสือลิ่ว เขาล้วนไม่เคยบอก แต่เวลานี้ ต่อหน้าสวีโหย่วหรง เขาพูดออกมาอย่างสงบ นี่ไม่ได้แปลว่าความเชื่อใจของเขาที่มีต่อหญิงสาวผู้นี้มากกว่าลั่วลั่วหรือถังซานสือลิ่ว แต่เป็นเพราะสภาวะแวดล้อมตอนนี้พิเศษมาก สถานการณ์พิเศษมาก เหมือนกับตอนนั้นที่ได้เจอมังกรดำครั้งแรกที่ใต้ดิน ภายใต้ความกดดันจากความตายผู้คนมักจะยอมพูดอะไรบางอย่าง

ได้ยินคำพูดของเขา สวีโหย่วหรงพูดว่า “ข้าไม่มีความคิดเช่นนั้น”

เฉินฉางเซิงหัวเราะขึ้นมา พูดว่า “ช่างเป็นแม่นางที่ชอบเอาชนะเสียจริง ไม่อยากดื่มเลือดของข้า กินเนื้อของข้าก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ควรแก่การทะนงแต่อย่างใด และเจ้าอย่าลืมว่าข้าทำให้เจ้าสลบไป”

สวีโหย่วหรงถูกเขาแทงใจดำก็ไม่โกรธ พูดพลางแย้มยิ้มว่า “แล้วเรื่องอะไรที่เจ้าจะให้ข้าเชื่อคำพูดของเจ้า?”

“เมื่อครู่เจ้าน่าจะได้รู้สึกถึงแล้ว” เฉินฉางเซิงนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ตัวเองเกือบจะสติไม่ปลอดโปร่ง ดูดเลือดของตัวเองจนหมด ใจคิดข้าเองก็รู้สึกถึงแล้ว จากนั้นเขาพูดอย่างตั้งใจว่า “อีกทั้งนี่เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่ของข้าพูด ข้าเชื่อเขา”

สวีโหย่วหรงรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย “เจ้ามีศิษย์พี่?”

เฉินฉางเซิงทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย พูดว่า “ข้ายังมีอาจารย์”

สวีโหย่วหรงไม่ชอบวิธีการพูดของเขาเช่นนี้ พูดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “พลิกลิ้นไหลลื่น”

เฉินฉางเซิงยอมรับอย่างไม่มีทางเลือกว่า “ติดมาจากเพื่อนคนหนึ่ง”

“คนเก็บตัวอย่างเจ้าก็มีเพื่อนด้วยหรือ?” สวีโหย่วหรงพูดล้อเล่น

เฉินฉางเซิงพูดว่า “ผู้หญิงที่เย็นชาทะนงตัวอย่างเจ้ายังมีเพื่อนได้ ทำไมข้าถึงไม่สามารถ?”

“ข้าบอกเจ้าตั้งแต่เมื่อไรว่าข้ามีเพื่อน?”

ตอนที่พูดประโยคนี้ออกไป คิ้วที่สวยงามของนางราวกับจะบินขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงความสะใจอย่างมาก นี่เป็นการเง้างอน หรือจะพูดว่าอารมณ์เด็กน้อยก็ได้ หรือจะพูดว่าปั้นปึ่ง อย่างไรก็แล้วแต่เฉินฉางเซิงอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เรื่องไม่มีเพื่อนเช่นนี้ มีอะไรน่าทะนงตัว เขารู้สึกว่าหญิงสาวนักปราชญ์เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์คนนี้มีความโดดเดี่ยวเล็กน้อย เอ่ยถามพลางแย้มยิ้มว่า “…แล้วข้านับหรือไม่?”

สวีโหย่วหรงไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้ มองเขา แย้มยิ้มพลางกล่าว “นับ”