ผิวหนังของนางถูกกระบี่แหลมกรีดออก กรีดเส้นเลือดของนางออก
ไม่มีเลือดพวยพุ่งออกมา กระทั่งเลือดสักหยดก็ไม่ได้ไหลออกมา เพราะว่าเลือดของนางในร่างกายแทบจะไม่เหลือแล้ว
เฉินฉางเซิงถือปลอกกระบี่ จ่อปากปลอกให้ตรงกับบาดแผลบริเวณคอของนาง
จิตสัมผัสขยับเล็กน้อย เลือดสายหนึ่งออกมาจากปลอกกระบี่ เสมือนเกิดจากความว่างเปล่า
เส้นเลือดสายนั้นเล็กมาก ราวกับเล็กละเอียดกว่าเส้นผม ค่อยๆ เทเข้าไปในเส้นเลือดของนางอย่างช้าๆ
กระบวนการทั้งหมดนี้ เขาระมัดระวังอย่างยิ่ง จิตสัมผัสนั้นจดจ่อถึงขีดสุด
ไร้ซึ่งสรรพเสียง
ชัดเจนเพียงกลิ่น
เลือดของเขามีกลิ่น ค่อยๆ แผ่กระจายออกไปในสุสานอันกว้างใหญ่
……
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เขาเก็บปลอกกระบี่กลับมา นิ้วชี้มือขวาคล้ายผุดความหนาวเย็นออกมา กดอยู่ที่บริเวณลำคอของสวีโหย่วหรง ผ่านไปสักพัก มั่นใจว่าเส้นเลือดของนางและบาดแผลได้ถูกเศษน้ำแข็งปิดไว้ ถึงจะเริ่มจัดการกับบาดแผลของตัวเอง
รอยบาดแผลบนข้อมือที่มองเห็นได้ชัดเส้นนั้น กระทั่งสามารถเห็นถึงกระดูก ค่อยๆ ปิดสนิท หรืออาจจะพูดว่าถูกน้ำแข็งแช่แข็งกลบไว้
ข้างบาดแผลยังหลงเหลือรอยเลือดอยู่บ้าง เขานึกถึงศิษย์พี่ที่ตอนนั้นพูดกำชับกับเขาด้วยตัวเองอย่างเป็นกันเองแล้วลังเลสักพัก ยกข้อมือมาถึงข้างฝีปาก เริ่มเลียอย่างละเอียด เหมือนกับสัตว์อสูรน้อยตัวหนึ่งกำลังเลียน้ำนม
ศิษย์พี่ในตอนนั้นเคยบอกกับเขาไว้ว่า ถ้าหลังจากได้รับบาดเจ็บแล้วเลือดไหลต้องใช้วิธีนี้ มีเพียงวิธีนี้ กินเลือดลงไปในท้อง ถึงจะสามารถทำให้กลิ่นของเลือดไม่กระจายออกไปอีก นอกจากนี้ ไม่ว่าจะใช้น้ำใสล้างทิ้งมากขนาดไหน ใช้ทรายกลบมากแค่ไหน กระทั่งเอาไฟไปเผา ก็ไม่สามารถทำให้กลิ่นชนิดนี้หายไปได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงลองชิมเลือดของตัวเอง แต่ก่อนในการต่อสู้ เขามีหลายครั้งที่เกือบจะกระอักเลือด จากนั้นก็ฝืนกลืนลงไป ทว่าตอนนั้นเลือดอยู่แค่ที่ลำคอ แต่เวลานี้ เลือดอยู่บนลิ้นของเขา
ที่จริงแล้ว เลือดของตัวเองนั้นหวานล้ำ
เขาคิดเช่นนี้
รสชาติดีมากจริงๆ
เหมือนท่าทางจะอร่อยมาก
ยังอยากจะกินอีกหน่อย
จู่ๆ เขาก็ฟื้นสติกลับมา ทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ จากนั้นถูกแช่เป็นเกล็ดน้ำแข็ง ก่อนหน้านี้กลับยิ่งเลียยิ่งเร็ว ยิ่งมายิ่งใช้รุนแรง เหมือนกับสัตว์อสูรตัวน้อยถูกความโลภครอบงำเลียน้ำนมปนเลือดของแม่ตัวเองที่ตายไป
ถ้าไม่ใช่ว่าฟื้นตื่นกลับมาเร็ว เขาอาจจะเลียรอยบาดแผลที่ข้อมือจนเปิด
ในสุสานเงียบเหงาไปทั่ว
เวลานานมาก ถึงจะมีสายลมแผ่วเบาพัดผ่าน
เม็ดเหงื่อแช่แข็งเหล่านั้นบนพื้น กลิ้งอย่างช้าๆ เกิดเสียงขลุกขลักออกมา
เขาเหนื่อยจนพิงอยู่ที่เสาหิน สีหน้าขาวซีดผิดปกติ
เนื่องจากเขาเลือดไหลมากเกินไป และก็เป็นเพราะความหวาดกลัว
……
……
ตอนอายุสิบขวบปีนั้น วิญญาณเทพของเขาระบายออกจากร่างกายตามเหงื่อ นำมาซึ่งสัญญาณที่ผิดปกติของฟ้าดิน ในภูเขาใหญ่หลังเมืองซีหนิงที่ถูกเมฆหมอกครอบอยู่ มีสิ่งมีชีวิตนิรนามที่น่ากลัวกำลังแอบมอง ตั้งแต่คืนนั้น เขาก็รู้ว่าร่างกายของตัวเองไม่ปกติเหมือนคนอื่น ไม่ใช่ว่าเรื่องที่เขามีโรคเรื่องนี้ แต่เป็นเรื่องที่วิญญาณเทพของเขาสำหรับสิ่งมีชีวิตจำนวนมากแล้วเป็นของหวานอันโอชะ เป็นสิ่งยั่วยวนที่ยากที่จะต่อต้าน
…ถ้าให้ผู้คนบนโลกรู้ว่าเลือดของเจ้ามีความผิดปกติ เจ้าจะตาย อีกทั้งจะนำมาซึ่งจุดจบที่อนาถกว่าตายแน่นอน
ตอนที่ศิษย์พี่กล่าวประโยคนี้กับเขา เป็นคืนที่สองในปีที่อายุสิบขวบ จนตอนนี้ศิษย์พี่ใช้เวลานานมาก ถึงจะแสดงความหมายของประโยคนี้ได้ชัดเจน เพราะว่าสองไหล่ของเขาปวดเมื่อยไม่มีเรี่ยวแรง ทำภาษามือผิดตลอด
เขาถามศิษย์พี่ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่เงียบขรึมไปเป็นเวลานาน บอกเขา นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อคืน เขาโบกพัดอยู่ตลอด อยากจะพัดกลิ่นที่กระจายออกมาจากตัวเขาให้หายไปให้หมด
เขาถามศิษย์พี่ ทำไมต้องทำเช่นนี้ ศิษย์พี่เงียบขรึมเป็นเวลานานอีกครั้ง ถึงบอกกับเขา เมื่อคืน เขาดมกลิ่นกลิ่นนี้เป็นเวลานาน จู่ๆ ก็อยากดูดเลือดของเขาให้หมด อยากกินเขาเข้าไป
ในสายตาของเฉินฉางเซิง ศิษย์พี่อวี๋เหรินเป็นคนที่กล้าหาญที่สุดในโลก เป็นคนที่ดีต่อเขามากที่สุด ถ้าศิษย์พี่ต้องการให้เขาไปตาย เขาก็ยินดีไปตาย แต่ถ้าศิษย์พี่จะกินเขา…
เขาคิดอยู่เป็นเวลานาน ยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่ากลัวเกินไป
เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายของเขา เป็นรสชาติที่ทุกสิ่งมีชีวิตมุ่งหา สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นี่แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร ฉะนั้นเขาจึงไม่ชอบเลือดของตัวเอง กระทั่งสามารถพูดได้ว่ารังเกียจ หรือจะพูดว่ากลัวก็ได้ เพราะว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องเช่นนี้ กระทั่งบางครั้งจิตใต้สำนึกยังลืมไปว่าเลือดของตัวเองมีจุดพิเศษตรงไหน
รุ่งอรุณที่ผ่านคืนนั้นไป วิญญาณเทพที่กระจัดกระจายถูกเก็บเข้าไปในร่างกายของเขา เข้าไปในเลือดของเขา ไม่แพร่กระจายออกมาอีกแม้แต่นิดเดียว แต่ความรังเกียจและความหวาดกลัวชนิดนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ที่ส่วนลึกสุดของห้วงแห่งจิตเขา
หลังจากมาถึงจิงตู เขานึกว่าเขาออกห่างจากความทรงจำที่น่าหวาดกลัวนั่นได้แล้ว เขารู้สึกว่ากลิ่นเลือดของตัวเองเหมือนจะค่อยๆ จืดจางลง แต่แล้วรุ่งอรุณหลังจากคืนเดียวชมแผ่นป้ายอนุสรณ์สุสานส่วนหน้าทั้งหมดที่สุสานเทียนซูนั้น เขานำดวงดาวชำระกระดูกในเวลากลางวัน กลับสังเกตเห็นอย่างน่าตกตะลึงว่าเหมือนได้กลับไปยังคืนตอนอายุสิบปีคืนนั้น
เขาไม่อยากประสบค่ำคืนเช่นนั้นอีก ไม่อยากรู้สึกถึงการแอบมองของบางสิ่งในเมฆหมอก
เขาจึงเปลี่ยนเป็นยิ่งระมัดระวังกว่าเดิม ถูกทำให้บาดเจ็บหนักในการต่อสู้ ตอนที่อยากจะพ่นเลือดออกมา แม้เขาจะเสี่ยงกับอันตรายก็ต้องกลืนกลับเข้าไปเป็นอันดับแรก จะเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่แข็งแกร่งขนาดไหน เขาล้วนไม่กล้าเผาทะเลสาบแห่งนั้นที่นอกส่วนลึกอีก เนื่องจากเขากังวลว่าปราณแท้จะระเบิดจนเลือดเนื้อแหลกเละเหมือนในช่องว่างใต้ดินครั้งนั้น
เลือดไหลไม่ได้ ห้ามให้ผู้อื่นสูดดมเลือดของตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่จำเป็นต้องไปขบคิด กลับเป็นเงื่อนไขที่สูงที่สุด
กระทั่ง สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา
เพราะว่าเขาจดจำคำเตือนของศิษย์พี่ไว้ตลอด
แต่วันนี้ในสุสานแห่งนี้ เขาไม่ได้ฟังตามคำเตือนของศิษย์พี่
เพราะว่าเขาจะช่วยคน
เขามองสวีโหย่วหรงที่อยู่ในสภาพหลับลึก เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา เนื่องจากโดนยาพิษ ใบหน้าของนางบวมเล็กน้อย เวลานี้ ความบวมเหล่านั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด หว่างคิ้วที่สวยสดใสชัดเจนยิ่งขึ้น
ที่สำคัญที่สุดคือ ใบหน้าขาวซีดดั่งหิมะของนาง เวลานี้ค่อยๆ ปรากฏสีเลือดเล็กน้อย
……
……
บริเวณที่ห่างจากสุสานของโจวตู๋ฟูมาก มีวัดเก่าแห่งหนึ่ง ถ้านับจากวัดแห่งแรกห่างออกไปนับพันลี้ วัดเก่าแห่งนี้น่าจะเป็นแห่งที่เก้า นี่ก็แปลว่า ห่างจากสุสานของโจวตู๋ฟูเพียงสองร้อยลี้แล้ว
นี่เป็นเรื่องที่เด็กทารกแรกเกิดก็สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำชัดเจน กลุ่มคนหนานเค่อแน่นอนว่าก็ไม่ผิด ผู้เฒ่าดีดพิณทอดถอนใจพลางกล่าว “ไม่คิดว่าชีวิตข้าชาตินี้ยังมีวันที่ได้เห็นสวนโจวด้วยตาตัวเอง”
เถิงเสี่ยวหมิงหามหาบ มองไปยังสีดำที่นูนขึ้นมาจนพอจะมองเห็นได้ตรงบริเวณห่างไกลใต้ฟ้า เขาผู้ซึ่งมีชื่อเสียงในความเงียบนิ่งเหมือนท่อนไม้ สีหน้าในตอนนี้ก็มีความตื่นเต้นเล็กน้อย ส่วนหลิวเสี่ยวหวั่นภรรยาของเขา และสาวสวยเผ่ามารสองคนนั้น ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
เดินทางยากลำบากหลายสิบวัน แม้จะเป็นเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่ามารก็ล้วนรู้สึกเหนื่อยลำบากเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงที่กำลังรอความตายอยู่ข้างหน้า ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ปลายทางของถนนหญ้าขาวมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นสวนโจวในตำนาน ความลำบากแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้?
จู่ๆ ถนนหญ้าขาวก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย จุดกำเนิดของการสั่นสะเทือนมาจากส่วนลึกของที่ราบทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ด้านหลัง
ผู้เฒ่าดีดพิณรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย หันหลังมองไปยังในที่ราบทุ่งหญ้า พูดด้วยสีหน้าหนักหน่วงว่า “เหล่าสัตว์อสูรเหมือนจะมีความร้อนรนเล็กน้อย”
สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง อ้าปากค้าง กลับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก คู่ขุนพลมารสามีภรรยาเผ่ามารก็เห็นความผิดปกติของท้องฟ้าเช่นกัน ไอพลังปราณบนตัวจู่ๆ ก็พุ่งสูงขึ้นถึงจุดยอดสุดที่สวนโจวสามารถรับได้!
ในท้องฟ้าด้านบนของสวนโจวเกิดเงาสะท้อนสายหนึ่ง เงาสะท้อนสายนั้นช่างยิ่งใหญ่มหึมาราวกับจะปิดบังครึ่งท้องฟ้า กำลังขยับอย่างช้าๆ มองจากบริเวณไกล ประหนึ่งปีกที่ใหญ่โตมโหฬารคู่หนึ่ง
หนานเค่อมองเงาสะท้อนแห่งนั้นในท้องฟ้า ขมวดคิ้วพูดว่า “ขนาดวิหคบรรพกาลสวรรค์ยังเกิดความบ้าคลั่งเล็กน้อย มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
นางไม่รู้ สาเหตุของความร้อนรนอยู่ไม่นิ่งของสัตว์อสูรที่ราบทุ่งหญ้า มาจากส่วนลึกของสุสานแห่งนั้นที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยลี้ ในส่วนลึกของสุสานแห่งนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งกรีดข้อมือของตัวเอง เลือดสดเผยออกมาในอากาศ กลิ่นเลือดสายนั้น แผ่กำจายออกมาสู่ที่ราบทุ่งหญ้า แม้เบาบางลงอย่างมากแล้ว แต่ยังคงพอที่จะทำให้เหล่าสัตว์อสูรในโลกใบนี้เกิดความต้องการอันบ้าคลั่ง
……
……
จตุรทิศรอบสุสาน มีเส้นทางลมและเส้นทางแสงที่ออกแบบมาอย่างดี คาดไม่ถึงว่าน้ำฝนที่ท่วมเข้ามาผ่านเส้นทางเหล่านั้น กลับสามารถทำให้สายลมสดชื่นและเส้นแสงเข้ามาได้ ไม่รู้ว่าตอนนั้นที่โจวตู๋ฟูสั่งให้ออกแบบสุสานของตัวเองคิดได้อย่างไร หรือว่าคนตายไปแล้วยังต้องการสูดดมสายลมที่สดชื่น เพลิดเพลินแสงฤดูใบ้ไม้ผลิที่งดงามนี้?
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ เพียงแต่จากการเปลี่ยนแปลงของเส้นแสงและระดับความชื้นในอากาศ เขามั่นใจว่าน่าจะมาถึงรุ่งอรุณในวันที่สอง อีกทั้งฝนนอกสุสานก็น่าจะหยุดแล้ว
และในเวลานี้ สวีโหย่วหรงในที่สุดก็ตื่นขึ้นมา
เฉินฉางเซิงมองนางแล้วยิ้ม
นางไม่ได้ยิ้ม หยุดชะงักจ้องมองเขาพลางถามว่า “เจ้าถ่ายเลือดของตัวเองเข้าไปในร่างกายข้า?”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “พูดให้แม่นยำกว่านี้คือ ข้าถ่ายเลือดของตัวเองเข้าไปในหลอดเลือดของเจ้า”
สวีโหย่วหรงทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย รู้สึกไม่ดีนิดๆ มีความเหนื่อยล้าหน่อยๆ พูดว่า “แม้ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีอะไรทำทั้งหมดนี้ แต่เจ้ารู้สึกว่าอย่างนี้ใช้ได้หรือ? ข้าเคยพูด เลือดของข้า…”
“ใช่ อย่างนี้ใช้ได้”
ไม่ได้รอให้นางพูดเสร็จ เฉินฉางเซิงชิงพูดด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของเขาขาวซีดเล็กน้อย สีหน้ามีความอ่อนล้าอิดโรยนิดๆ แต่สายตากระจ่างใสมาก สะอาดมาก มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ราวกับดวงตะวันที่เพิ่งขึ้น แม้จะถูกเมฆหมอกบัง กลับสว่างไสวไม่น้อย
ขณะมองสีหน้าของเขา สวีโหย่วหรงเกิดความคิดที่ตัวเองก็ไม่กล้าเชื่อความคดหนึ่ง พูดบ่นไปเรื่อยเปื่อย “อย่างนี้ก็ได้หรือ?”
“เหมือนจะใช้ได้จริง”
เฉินฉางเซิงเดินไปถึงข้างกายนาง สำรวจรอยบาดแผลบริเวณคอของนาง จากนั้นพูดว่า “เจ้าลองสำรวจตนเองสักคราหนึ่ง”
สวีโหย่วหรงมีความอ้างว้างเล็กน้อย จิตใต้สำนึกสำรวจตัวเองตามที่เขาบอก สังเกตว่าสายเลือดของตัวเองไม่แห้งแล้งเหมือนก่อนที่ตนจะสลบไปจริง แม้จะไม่สมบูรณ์เหมือนเวลาปกติ ยังคงมีความเปราะบางเล็กน้อย แต่อย่างน้อยสามารถรับรองได้ว่า…มีชีวิตอยู่
มีชีวิตอยู่ สำคัญไฉน สำคัญที่สุด ดีเพียงไหน ดีที่สุด
เพียงแต่ ทำไมตนถึงสามารถมีชีวิตรอดออกมาได้?
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เวลานี้ เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายของนางจริงๆ แล้วน่าจะเป็นเลือดของเขา ทำไมกลับเหมือนเป็นเลือดของตัวเอง ไม่มีความแตกต่างใดๆ