ตอนที่ 709 เอามือปิดฟ้า / ตอนที่ 710 กระหม่อมได้รับความไม่เป็นธรรม!

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 709 เอามือปิดฟ้า

 

 

ซูหลีพูดจบก็ให้คนนำของสิ่งนั้นมอบให้แก่ฉินเย่หาน

 

 

ฉินเย่หานรับมาแล้วก็ตรวจสอบอย่างละเอียด

 

 

“ปัง!” หลังจากผ่านไปหนึ่งสมุดที่ถูกถวายขึ้นไปเบื้องบนเล่มนั้น ก็ถูกฉินเย่หานโยนลงมา

 

 

“เสิ่นฉางชิง เจ้าบังอาจนัก!” ฉินเย่หานแสดงมาดเย็นชาและเอ่ยด้วยโทสะ ทันทีที่เขาบันดาลโทสะ ก็ทำให้ทั้งท้องพระโรงเงียบสงัดในทันที ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา

 

 

“กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!” ร่างของเสิ่นฉางชิงสั่นเทิ้ม จากนั้นจึงหมอบลงบนพื้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

 

 

“พูดออกมา นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีใครมีส่วนร่วมกันเรื่องนี้อีก!” ฉินเย่หานเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังและเย็นชา

 

 

เสิ่นฉางชิงผงะเล็กน้อย เมื่อนึกถึงคำขู่ของซูหลีเมื่อครู่ อีกทั้งยังมีดวงตาที่มืดสนิทคู่นั้น เสิ่นฉางชิงเชื่ออย่างไม่สงสัยว่า ซูหลีผู้นี้เป็นคนที่ทำตามที่พูดเอาไว้

 

 

วันนี้หากเขาไม่สารภาพ แม้แต่สายเลือดสกุลเสิ่นคนสุดท้ายก็รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว!

 

 

เสิ่นฉางชิงหลับตาลง ผ่านไปพักใหญ่จู่ๆ เขาก็แหงนศีรษะขึ้น สายตาของเขาหยุดอยู่ขุนนางทุกคน บัดนี้ทุกคนล้วนทราบดีว่า ครานี้เสิ่นฉางชิงจักต้องตายอย่างแน่นอน หากถูกเขาแว้งกัดในเวลาเช่นนี้ย่อมไม่ดีแน่ ดังนั้น…

 

 

ดังนั้นทันทีที่เขาเหลือบตามอง มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลบสายตาของเขา

 

 

โดยเฉพาะเหล่าขุนนางที่ยามปกติมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ในเวลานี้ต่างมิกล้าสบตาเขา

 

 

ภายในนั้นมีคนหนึ่งคนที่จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ไม่หลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงเลยทั้งสิ้น

 

 

เสิ่นฉางชิงมองคนผู้นั้นปราดหนึ่ง เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นละสายตาของตนออกมาและหยุดอยู่ที่คนด้านหน้าสุด นั่นก็คือป๋ายไต้ซือที่ยืนตัวตรงอยู่นั่นเอง

 

 

“…ทูลฝ่าบาท” เสิ่นฉางชิงหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง จากนั้นยื่นมือชี้ไปทางป๋ายไต้ซือที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้กระหม่อมเป็นเพียงผู้ดำเนินการหลักเท่านั้น ทว่าคนที่เป็นผู้บงการอยู่หลังม่านอย่างแท้จริงนั้น ก็คือ…

 

 

“ก็คือป๋ายไต้ซือพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกมา ก็เกิดเสียงเอะอะดังขึ้นทั่วท้องพระโรง

 

 

ทุกคนมองไปที่เสิ่นฉางชิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาพูดว่าอะไรนะ!? ป๋ายไต้ซือ!

 

 

“ทูลฝ่าบาท คำพูดของคนผู้นี้มิอาจเชื่อถือได้พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เขาทราบดีว่าต้องหนีไม่ได้แล้ว เขาก็แค่ลอบกัดส่งเดชก็เท่านั้น ป๋ายไต้ซือเป็นถึงไม้คานที่สำคัญของราชสำนัก ล้วนอุทิศตัวทั้งหมดเพื่อราชวงศ์ต้าโจว อย่างไรเขาก็ไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ทูลฝ่าบาท…”

 

 

ในเวลานี้ทำให้ซูหลีเข้าใจถึงอำนาจของป๋ายไต้ซือในราชสำนักแล้ว เสิ่นฉางชิงเพิ่งจะเอ่ยปาก ก็มีคนจำนวนมากพูดแก้ต่างให้กับป๋ายไต้ซือเสียแล้ว

 

 

นางหัวเราะออกมาเบาๆ มิน่าเล่าทุกคนถึงเอ่ยว่า ไม่กล้าล่วงเกินสกุลป๋าย!

 

 

“นี่ทุกท่านกระทำสิ่งใดกัน ใต้เท้าเสิ่นยังไม่ทันพูดจบ ทุกคนก็โต้แย้งขึ้นอย่างร้อนใจและไม่อดกลั้นเช่นนี้แล้ว ต่างกล่าวว่าเป็นห่วงป๋ายไต้ซือกัน นี่หากไม่ทราบก็ข้าคงคิดว่ายามอยู่บนท้องพระโรงแห่งนี้ ป๋ายไต้ซือเอามือหนึ่งปิดฟ้า[1] ถืออำนาจทางด้านการเมืองการปกครองเสียแล้ว!”

 

 

ใบหน้าของซูหลีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับมิน่าขันเลยแม้แต่น้อย

 

 

คำพูดของนางกลับเอ่ยอย่างแน่วแน่ แม้แต่ป๋ายไต้ซือที่มั่นคงได้ยินเสิ่นฉางชิงเอ่ยชื่อของตนเองออกมาเมื่อครู่ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างห้ามไม่ได้!

 

 

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมิเคยกระทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน ใต้เท้าซูคำพูดของเจ้า กำลังต้องการดึงข้าไปเป็นผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อแว่นแคว้น เช่นนั้นฝ่าบาทได้ทรงตรวจอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“ในเมื่อป๋ายไต้ซือเอ่ยถามอย่างไม่ละอายใจเช่นนี้ออกมาก เช่นนั้นก็สู้ปล่อยให้เสิ่นฉางชิงเอ่ยจบ หากมีข้อผิดพลาดอะไรก็ค่อยๆอธิบายอย่างชัดเจน ใช่หรือไม่ป๋ายไต้ซือ” ซูหลีกลับไม่เกรงว่าเขา เมื่อได้ยินแล้วจึงลุกขึ้นเดินออกมายืน

 

 

 

 

——

 

 

[1] เอามือหนึ่งปิดฟ้า เป็นสำนวน หมายถึงการอาศัยอิทธิพลใช้เล่ห์เหลี่ยมปิดบังอำพรางมวลชน

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 710 กระหม่อมได้รับความไม่เป็นธรรม!

 

 

ขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นทั้งราชสำนัก ผู้ที่กล้าต่อต้านสกุลป๋ายนั้น แท้จริงแล้วมีไม่มาก

 

 

โดยเฉพาะซูหลีที่เพิ่งจะเป็นขุนนาง

 

 

ทว่านางกลับไม่หวั่น แม้กระทั่งยังกล้าพูดแต่ละคำแต่ละประโยคต้อนป๋ายไต้ซือให้จนมุม

 

 

สีหน้าของป๋ายไต้ซือดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก เขาตวัดสายตามองที่ซูหลีปราดหนึ่ง เขาต้องการเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายก็อดกลั้นเอาไว้

 

 

ซูหลีเห็นเขาไม่เอ่ยอะไรออกมา จึงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “บัดนี้ไม่มีใครรบกวนแล้ว ใต้เท้าเสิ่นพูดต่อเถิด เจ้าบอกว่าป๋ายไต้ซือเป็นคนบงการเจ้า เจ้ามีหลักฐานหรือไม่”

 

 

เสิ่นฉางชิงเหลือบตาขึ้นมองนาง เขานั้นเกลียดซูหลีผู้นี้มาก ทว่าต้องยอมรับว่าแค่กลิ่นอายของซูหลี ก็สามารถชนะคนจำนวนมากได้แล้ว

 

 

“กระหม่อมมีหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเสิ่นฉางชิงผู้นี้จะมีหลักฐานอยู่จริงๆ

 

 

แม้แต่ป๋ายไต้ซือหลังจากได้ยินคำพูดของเขา จึงผงะไปอย่างอดไม่ได้

 

 

มีเพียงซูหลีที่ยังมีสีหน้าคงเดิม ที่จริงแล้วนางนั้นถือว่าเข้าใจเสิ่นฉางชิงผู้นี้ดี เสิ่นฉางชิงผู้นี้แม้จะไม่ฉลาดมากนัก และมีจุดอ่อนจุดหนึ่ง

 

 

นั่นก็คือเข้าเป็นคนที่ระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกระทำเรื่องอะไร จักต้องหากทางหนีทีไล่ไว้ในตนเองเสมอ

 

 

แต่ก่อนเป็นเช่นนี้ บัดนี้ก็ยังเป็นเช่นนี้

 

 

“ภายในจวนของกระหม่อม มีสมุดบันทึกการแลกเปลี่ยนระหว่างกระหม่อมและป๋ายเฮ่อ บุตรชายของป๋ายไต้ซือ อีกทั้งยังมีจดหมายที่ป๋ายเฮ่อเขียนให้กระหม่อมอีกพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ซูหลีได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ใบหน้าจึงมีความซับซ้อนพาดผ่าน สมุดบันทึกการแลกเปลี่ยนนั้น ที่จริงแล้วนางเป็นคนสอนเสิ่นฉางชิงเอง

 

 

เสิ่นฉางชิงถือว่าเป็นคนไม่ฉลาดนัก บางครั้งยามแลกเปลี่ยนทำการค้ากับผู้อื่นมักจะเสียเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอ เมื่อเวลาผ่านไปนานซูหลีจึงสอนเขาและให้เขานำสิ่งที่บันทึกในสมุดกลับมาบ้านเพื่อให้นางอ่าน และนางก็สอนวิธีให้เขาจัดการกับเรื่องเหล่านี้

 

 

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การบันทึกการแลกเปลี่ยนก็กลายเป็นนิสัยของเสิ่นฉางชิง

 

 

คาดไม่ถึงว่า พฤติกรรมที่นางสอนเขาในวันนั้น จะกลายเป็นหลักฐานในวันนี้

 

 

“ก่อนที่จะมาที่วังหลวง กระหม่อมได้ให้คนของใต้เท้าฉิน ไปหยิบสมุดเล่มนั้นมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่เสิ่นฉางชิงพูดจบก็เห็นฉินลิ่วเดินเข้ามา จากนั้นเขาจึงนำกล่องใบยาวในมือถวายให้กับฮ่องเต้

 

 

ภายใต้การจ้องมองของทุกคน กล่องใบนั้นได้ถูกส่งไปถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้

 

 

หลังจากป๋ายไต้ซือเห็นเสิ่นฉางชิงนำหลักฐานออกมา สีหน้าก็ดูแย่เป็นอย่างมาก ทว่าเขาได้แต่เบิกตามอง ในใจนั้นรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก ทว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองดู

 

 

ของในกล่องใบนั้นมีจำนวนมาก ฉินเย่หานนำออกมาและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แต่ละวินาทีที่ผ่านไปสีหน้าของฉินเย่หานก็ยิ่งดูย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

“หวงเผยซาน”

 

 

“บ่าวอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

“นำของสิ่งนี้ลงไปให้ป๋ายไต้ซือดูซะ!”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานรับกล่องใบนั้นมา จากนั้นเดินลงมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นนำของสิ่งนั้นส่งถึงมือป๋ายไต้ซือ

 

 

ป๋ายไต้ซือรีบรับกล่องใบนั้นมา หลังจากที่เขาเปิดดูสิ่งเหล่านั้นใบหน้าก็ดำคล้ำจนถึงขีดสุด

 

 

เสิ่นฉางชิงนั้นได้จดบันทึกทุกเรื่องเอาไว้รวมถึงวันเวลาอากาศล้วนเขียนอย่างชัดเจน อีกทั้งในเนื้อความยังบันทึกไว้ด้วยว่า ได้พบปะกับใครและพูดคุยเรื่องอะไร

 

 

นะ นี่มัน…

 

 

ป๋ายไต้ซือถึงกลับตะลึงพรึงเพริด เขาเงยหน้าสบตากับฉินมู่ปิง ทว่าสายตาที่คลุมเครือกลับมองที่ร่างของซูหลี

 

 

“ทหาร!” สีหน้าของฉินเย่หานดูเคร่งขรึมจนน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก

 

 

“กระหม่อมอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” ฉินลิ่วก้าวออกมาขานรับ

 

 

“ไปนำตัวป๋ายเฮ่อมา!” ใบหน้าของฉินเย่หานไร้ซึ่งอารมณ์ ภายในดวงตาที่เคร่งขรึมคู่นั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันตรายเป็นอย่างมาก

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!” ฉินลิ่วเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบก้าวเท้าออกไป

 

 

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!” ทางด้านป๋ายไต้ชือหลังจากได้รับกล่องใบนั้น ก็ทรุดตัวลงคุกเข่าทันที

 

 

“กระหม่อมได้รับความไม่เป็นธรรมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”