บทที่ 301 ซูเจิ้งหือแห่งตระกูลซ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“พี่คะ พี่!”

ฮั่วหลิงเยว่ถือUSBไว้รีบร้อนพุ่งเข้าไปในห้องโถงที่กว้างขวางแล้ว ตะโกนบอกด้วยความดีใจ “ฉันเอาข้อมูลวงจรปิดมาได้แล้ว!”

“เอาเข้ามา”

ฮั่วเยี่ยนจือที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เงยหน้าสบายๆ กวาดตามองไปทีหนึ่ง มือเรียวที่กำลงเคาะแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วราวกับอัจฉริยะนั้นหยุดลงมาแล้ว ปิดหน้าจออื่นลงกลับไปยังหน้าแรกสุด

“น่าสงสัยซะจริงว่าเจ้าหมอนั่นเป็นใครกันแน่ นึกไม่ถึงทิ้งห่างพวกเราไปแม้แต่ไฟท้ายยังมองไม่เห็น”

ฮั่วหลิงเยว่กระโดดโลดเต้นราวกับกระต่ายเดินเข้าไปหา ใบหน้างดงามเผยรอยยิ้มหยอกล้อราวกับนายพรานล่าเหยื่อออกมา

ฮั่วเยี่ยนจือก็อยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้มากเช่นกัน สงสัยมากว่าตระกูลซูหานักแข่งรถเร็วขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน นำUSBเสียบเข้าคอมพิวเตอร์อย่างชำนาญ เปิดดูขึ้นมา

เปิดคลิปวิดีโออันแรกกดเล่น คือภาพวงจรปิดเส้นทางหน้าประตูสนามบิน รถคันแล้วคันเล่าขับผ่านจากใต้กล้องด้วยความรวดเร็ว

ฮั่วเยี่ยนจือกลับไม่มีอารมณ์รำคาญอยู่แม้แต่น้อย เบิกดวงตาโตจ้องภาพเหตุการณ์ตาไม่กะพริบ กลัวไม่ทันระวังแล้วจะพลาดภาพรถสีเหลืองคันนั้นไป

กลับเป็นยัยหนูฮั่วหลิงเยว่ ไม่ถึงเวลาสิบนาทีก็เผยอารมณ์ที่ทนไม่ไหวออกมาอย่างชัดเจน

“พี่คะ ถ้าไม่อย่างนั้นพี่เพิ่มเป็นแปดเท่าแล้วเล่นเถอะ? ไม่งั้นแบบนี้พวกเราต้องดูไปถึงเมื่อไรกัน?”

ฮั่วเยี่ยนจือกลับไม่พูดอะไรสักคำ ส่ายหน้าปฏิเสธคำแนะนำของน้องสาวคนนี้แล้ว

“ความเร็วของรถคันนั้นไวมากแค่ไหนใช่ว่าเธอไม่รู้ ถ้าเล่นเพิ่มสักแปดเท่ามีความเป็นไปได้มากว่าจะพลาดเอา”

“เอ๋?”

ฮั่วหลิงเยว่ตะลึง นัยน์ตามีความเจ้าเล่ห์แฉลบผ่านไป พูดแบบมีเลศนัย “พี่ ฉันไปเข้าห้องน้ำนะ!”

พูดจบ ยังไม่รอให้ฮั่วเยี่ยนจือตอบสนองกลับมา ฮั่วหลิงเยว่ใส่รองเท้าส้นสูงวิ่งขึ้นด้านบนอย่างรีบร้อน

ฮั่วเยี่ยนจือหัวเราะอย่างจำใจ เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าน้องสาวของตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าอยากเข้าห้องน้ำจริง ทำไมต้องขึ้นไปด้านบนด้วยล่ะ? ข้างล่างก็มีเหมือนกัน

ถึงจะพูดเช่นนี้ ฮั่วเยี่ยนจือก็ไม่ได้ว่าอะไร ปรับท่านั่งนิดหน่อย ทำให้ตนเองสบายตัวขึ้นบ้าง ตรวจดูภาพวงจรปิดต่อไปด้วยความอดทน

เธอชอบขับรถเร็ว แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่าแข่งรถเร็ว สำหรับเธอนั้น นี่เป็นเพียงวิธีระบายความกดดันอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

ตั้งแต่เด็กเธอคือแก้วตาดวงใจของที่บ้าน สามารถพูดได้ว่าราวกับเป็นไข่ในหิน พ่อแม่รักทะนุถนอมมากเลยทีเดียว เติบโตมาแบบโดนตามใจไร้ขอบเขต

ส่วนเธอใช้ชีวิตเพื่อความคาดหวังของคนอื่น อายุยังน้อยก็มีชื่อเสียงอำนาจในวงการธุรกิจ หลายปีนี้หาวิธีทำกำไรให้ตระกูลฮั่วได้ไม่น้อย

แต่ พอตอนคนคนหนึ่งไม่ขาดสิ่งของอะไรทั้งนั้น ยังมีความกดดันอย่างเลี่ยงได้ยาก ทั้งยังเป็นความกดดันที่มหาศาลด้วย

บางที พูดให้ถูกต้องคือความสับสนต่อเส้นทางชีวิตในอนาคต

รอจนถึงขั้นนี้แล้ว เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตามหาวิธีกระตุ้นบางอย่าง มาพิสูจน์ว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่

เธอรู้ดีมากว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า มีคนเก่งกว่าอยู่อีก แต่เธอไม่คิดว่าตนเองจะแพ้ให้ใครคนใด เธอเคยคิดเอาไว้ครั้งหนึ่ง ไม่ว่าเป็นการท้าทายที่มาจากทางด้านไหน และมาจากใครก็ตาม เธอล้วนมีความกล้าเผชิญคำท้า

หลายปีมานี้ก็เป็นจริงเช่นนั้น ไม่ว่าในด้านธุรกิจหรือว่าด้านขับรถเร็ว เธอล้วนแข็งแกร่งไร้คู่แข่งมาตลอด!

แต่วันนี้ช่วงกลางวันกลับต่างออกไป เงารถสีเหลืองที่ว่องไวดุจปีศาจคันนั้นทำให้เธอไม่มีแม้แต่ความกล้าจะท้าทายเป็นครั้งแรกในชีวิต

รถคันนั้นขับเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร? หรือว่าเขาไม่กลัวตายจริงๆ เหรอ?

ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น เธอจำได้ชัดแค่ว่าเป็นลัมโบร์กีนี แม้กระทั่งป้ายทะเบียนของอีกฝ่ายยังมองไม่ชัด เหลือเพียงเงาสีเหลืองที่ไกลจนตามไม่ทันไว้ให้เธอ

ทั้งจ๊กกลางมีเพียงซูเย่าหมิงที่ครอบครองลัมโบร์กีนีสีเหลืองคันหนึ่ง นี่คือสาเหตุที่ทำไมตอนนั้นฮั่วเยี่ยนจือถึงแน่ใจ

แต่อย่างไรเสียงก็เป็นการคาดคะเนของเธอ ใครจะรู้ว่ามีคนนอกขับเข้ามาหรือไม่?

เพราะด้วยเหตุนี้ เธอจึงต้องการพิสูจน์หลักฐาน มีเพียงคำตอบที่แน่นอนถึงทำให้เธอไปหาคนที่ตระกูลซูได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตระกูลซูไม่ใช่ตระกูลเล็กอะไร อยู่ที่จ๊กกลางคือการมีอยู่ในระดับต้นๆ ถึงแม้เธอจะหยิ่งยโสโอหังแค่ไหน แต่ยังไม่ถึงขั้นวู่วามจนเสียสติไป

ทันใดนั้น บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏภาพเงาเหลืองขึ้นมา หลังจากปรากฏไม่นานนักก็หายลับไปอย่างรวดเร็ว

ฮั่วเยี่ยนจือรู้สึกตื่นเต้น จ้องอยู่เกือบจะหนึ่งนาที มันถึงได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

พิจารณาถึงตรงนี้ หญิงสาวรีบเลื่อนภาพกลับไปอย่างไว ปรับจำนวนตัวคูณให้ต่ำที่สุด จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบตาไม่กะพริบ กลัวพลาดภาพเหตุการณ์ไปสักนิด

“ยังเป็นรถของซูเย่าหมิงจริงด้วย?”

ครั้งนี้ ภายในความเร็วต่ำสุด ในที่สุดฮั่วเยี่ยนจือก็มองเห็นป้ายทะเบียนรถของลัมโบร์กีนีสีเหลืองแจ่มแจ้ง ทำให้เธออดขมวดคิ้วขึ้นแน่นไม่ได้

ถึงแม้จะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ตอนที่มั่นใจจริงๆ เธอกลับยังคงไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง

สำหรับซูเย่าหมิงนั้นเธอยังรู้จักดีมาก ไม่ใช่เป็นเด็กหนุ่มกะโปโลคนหนึ่งเองเหรอ ไปรู้จักคนเก่งที่ขับรถไวขนาดนี้จากที่ไหน?

“หลิงเยว่ ฉันหามันเจอแล้ว เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรให้เรียบร้อย เดี๋ยวออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนฉันหน่อย!”

คิดไปคิดมา ฮั่วเยี่ยนจือไม่ได้เปลืองเซลล์สมองไปกับเรื่องนี้ ในเมื่อได้รับคำตอบยืนยันแล้ว แค่ไปตามหาที่ตระกูลซูโดยตรงก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเป็นใคร?

“มาแล้วๆ!”

ฮั่วหลิงเยว่ที่หลบอยู่ข้างบนนอนสบายอยู่บนเตียงใหญ่กำลังเตรียมจะพักผ่อนสักหน่อย ตอนนี้ฮึกเหิมจนกระโดดลงมาจากเตียง แม้แต่รองเท้าแตะก็ไม่ทันได้ใส่ เดินเท้าเปล่าลงไปข้างล่างแล้ว

เทียบกันกับฮั่วเยี่ยนจือ หล่อนค่อนข้างไม่ได้สนใจคนขับรถสีเหลืองชวนหลอนมากขนาดนั้น แต่หล่อนรู้ดีมาก นี่คือพี่สาวไปทวงคืนศักดิ์ศรี หล่อนที่แต่ไหนแต่ไรเห็นฮั่วเยี่ยนจือเป็นไอดอล จะยินยอมพลาดภาพอันนี้ได้อย่างไรล่ะ?

……

เรื่องภายนอกเย่เทียนไม่รู้อะไรทั้งนั้น นั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกของตระกูลซูอย่างน่าเอ็นดู ฟังคำอธิบายของจ้าวเสว่เฟินแบบยักคิ้วเล็กน้อย

“แม่คะ! หนูไม่เอาหรอก! หนูไม่ชอบหลี่เฟิงคนนั้น!”

“ถ้าพวกคุณลุงเขาชอบหลี่เฟิงอะไรนั้น งั้นก็ให้พวกเขาแต่งไปกันเองสิคะ หนูไม่อยากแต่งกับเขาล่ะ!”

แทบจะตอนจ้าวเสว่เฟินพูดจบลง ซูเหมยรีบโต้กลับทันที ส่ายหน้าอย่างกับรัวกลอง

“เสี่ยวเหมย ลูกพูดเหลวไหลอะไรกัน?”

จ้าวเสว่เฟินหัวเราะอย่างขมขื่น พูดทอดถอนใจว่า “คนอื่นมองแค่ความสวยงามของลูกหลานคนรวยว่ามีกินมีใช้ และไม่มีเรื่องกังวล แต่จะมีสักกี่คนที่มองเห็นความจำใจในฐานะลูกหลานคนรวยกัน?”

หยุดไปสักครู่ จ้าวเสว่เฟินถึงสังเกตได้ว่าตนเองยั้งสติไม่อยู่ มองเย่เทียนแบบมีความหมายแอบแฝง อมยิ้มพูดว่า “ถ้าลูกเทียบกับแม่แล้วล่ะก็ ลูกยังดีกว่ามาก ไม่แน่ว่าลูกอาจสามารถเลือกเองได้จริงๆ”

เย่เทียนไม่มีอะไรจะพูด จากท่าทีนี้ของจ้าวเสว่เฟินคาดคะเนออกได้ไม่ยาก ตอนนั้นเหตุผลที่หล่อนแต่งงานกับบิดาของซูเหมย คิดว่าคงเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์กระมัง?

“แม่คะ แม่พูดอะไรกันคะ?”

ซูเหมยมองเย่เทียนแบบเขินอาย พูดออดอ้อนว่า “หนูยังไม่ได้อยากแต่งงานสักหน่อย หนูอยากจะอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ไปก่อน”

“เอาข้ออ้างนี้มาหลอกแม่ให้น้อยๆ หน่อย”

จ้าวเสว่เฟินมองตาค้อนอย่างอารมณ์เสีย “ต่อให้ลูกไม่แต่งงานก็ไม่ได้อยู่ในบ้าน แต่ว่าวิ่งไปดูแลผับอะไรนั้นของลูกที่เจียงหนันอยู่ดี ยังมาบอกอยู่เป็นเพื่อนพวกเราอีก”

ตึกๆ!

เวลานี้ ประตูใหญ่ทางเข้ามีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้น ชายวัยกลางคนที่สวมแว่นตากรอบทอง และดูขึ้นมายังสุภาพเดินเข้ามาแล้ว บนใบหน้าแอบมีความคล้ายกับซูเหมยระดับหนึ่ง

เย่เทียนรีบลุกขึ้นมาทันใด ถึงแม้ไม่มีใครแนะนำ เขาก็รู้ดีมากเช่นกัน เกรงว่าท่านนี้ก็คือบิดาแท้ๆ ของซูเหมย ลูกชายคนรองของซูหงจวิน ซูเจิ้งหือ!