บทที่ 302 การทดสอบสุดท้ายของพ่อซ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

คนที่เข้ามาในประตูใหญ่ตระกูลซูฝีเท้ามั่นคง แอบมีลักษณะที่ผ่อนคลาย บนสันจมูกมีแว่นตากรอบทองอันหนึ่ง ฉีกมุมปากเล็กน้อย ภายในความน่าเกรงขามเผยความใจดีออกมา

ดูจากบนใบหน้า ชายวัยคนกลางผู้นี้ลักษณะคล้ายกับซูเหมยระดับหนึ่ง เกรงว่าคงเป็นซูเจิ้งหือบิดาของซูเหมยกระมัง

“พ่อคะ!”

วินาทีต่อมา ซูเหมยลุกขึ้นมาจากบนโซฟาก่อน เข้าไปต้อนรับด้วยความดีใจ พิสูจน์การคาดเดาของเย่เทียนไม่มีผิดเลย

“เสี่ยวเหมย? มาๆๆ ให้พ่อดูชัดๆ หน่อยว่าลูกผอมหรือว่าอ้วนขึ้นแล้ว?”

ดวงตาที่ซ่อนอยู่ข้างใต้เลนส์แว่นของซูเจิ้งหือหรี่เป็นร่องหนึ่งเส้นด้วยความปลื้มใจ พินิจพิเคราะห์ซูเหมยจากบนลงล่าง

เย่เทียนเห็นแบบนี้ รีบลุกขึ้นยืนจากที่นั่งทันที กล่าวทักทายว่า “สวัสดีครับคุณลุง”

ถ้าเป็นคนอื่น ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ใหญ่กว่า เย่เทียนก็ไม่วางมาดลงมา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่อีกชาติหนึ่ง มีอะไรที่ดูไม่ออกอีกเหรอ?

แต่ซูเจิ้งหือไม่เหมือนกัน ดีเลวอย่างไรก็เป็นพ่อของซูเหมย ไม่แน่ว่าอาจเป็นพ่อตาในอนาคตด้วย ไม่ลุกขึ้นมากล่าวทักทายก่อนจะดูเสียมารยาทอย่างเลี่ยงได้ยาก

รอจนถึงเวลานี้ ซูเจิ้งหือถึงย้ายสายตาไปบนตัวของเย่เทียน พยักหน้านิดหนึ่งจนสังเกตไม่ได้ สำหรับความประทับใจต่อเย่เทียนถือว่าดีมาก

แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงแค่ความประทับใจแรก แต่ไม่ได้หมายความว่าซูเจิ้งหือยอมรับเย่เทียนแล้ว

ตอนที่ซูเจิ้งหือนั่งลงมาบนโซฟา เย่เทียนถึงรีบร้อนนั่งลงมาตาม คิดแล้ว ยังคลำหาบุหรี่ยี่ห้อแพนด้าที่เตรียมเพื่อใช้ในยามจำเป็นกล่องนั้นออกมาจากบนตัวแล้ว ยื่นเข้าไปให้มวนหนึ่งด้วยความเคารพ

ชั่วขณะนั้นการกระทำนี้ของเขาดึงดูดสายตาของจ้าวเสว่เฟินเข้า หล่อนพยายามบังคับซูเจิ้งหือให้เลิกบุหรี่ หลายปีมานี้ฝืนบังคับควบคุมนิสัยติดบุหรี่เอาไว้ มีเพียงตอนที่สังสรรค์ถึงจะสูบมวนหนึ่งเป็นบางที

หล่อนเคยคิดที่ไหนว่า เดิมทีเย่เทียนที่ดูดีที่สุดพอกลับมานี้ก็ให้บุหรี่เลย ดูท่าทางนี้ยังชำนาญพอสมควร นั่นคือท่วงท่าของสิงห์รมควันชัดๆ

ถ้าเย่เทียนรู้ความคิดของจ้าวเสว่เฟิน เกรงว่าคงร้องตะโกนว่าโดนใส่ร้ายอย่างน่าเศร้าและเจ็บใจ

หลังกลับมาเกิดใหม่ นอกจากสูบไปมวนหนึ่งในงานวันเกิดท่านปู่เฉินชังไห่วันนั้น เขาก็ไม่เคยสูบบุหรี่อีกมาตลอด

บุหรี่ยี่ห้อแพนด้ากล่องนี้ในมือ เนื่องจากพิจารณาว่าเดินทางมาจ๊กกลางครั้งนี้ถือว่าเป็นของที่ตั้งใจเตรียมมาเจอพ่อตาในอนาคต

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ไฟโกรธในใจของจ้าวเสว่เฟินยังไม่ทันพ่นออกมา เย่เทียนก็คลำหาไฟแช็กออกมา จุดไฟให้ซูเจิ้งหือด้วยความสุภาพมาก

จ้าวเสว่เฟินรีบถลึงตาใส่ซูเจิ้งหืออย่างแรงทันที แต่พิจารณาถึงปัญหาเรื่องศักดิ์ศรีของเขา กลับไม่ได้พูดอะไรมาก

ซูเจิ้งหือพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างดีใจมาก สามารถพูดได้ว่านับวันยิ่งพึงพอใจต่อเย่เทียนแล้ว อมยิ้มถามว่า “เสี่ยวเย่สินะ?”

“ใช่ครับ คุณลุงมีอะไรก็พูดได้เลยครับ?”

เย่เทียนกลับไม่ได้จุดไฟบุหรี่ ก้มศีรษะลงเล็กน้อย ทำท่าทางรอรับการแนะนำ

“เสี่ยวเย่ นายรู้จักเสี่ยวเหมยนานแค่ไหนแล้ว?”

ซูเจิ้งหือยิ้มอยู่พลางสอบถาม เหมือนว่าไม่อยากให้เย่เทียนกดดันเกินไป

เย่เทียนตอบอย่างขวยอาย “ได้ไม่กี่เดือนครับ”

“ไม่กี่เดือนเหรอ?”

จ้าวเสว่เฟินยักคิ้วขึ้นในขณะหนึ่ง “เสี่ยวเหมยบอกว่าพวกนายคบกันมาสองสามปีแล้ว”

“……” เย่เทียนอ้าปากแล้ว มองซูเหมยแบบซ่อนความขมขื่น แอบถอนใจว่าทำไมเธอไม่เตรียมการกับตนเองไว้ก่อนล่วงหน้าล่ะ? นี่เพิ่งพูดไปประโยคแรกก็โป๊ะแตกออกมาแล้ว น่ากระอักกระอ่วนมาก

“โอ๊ย แม่คะ แม่อย่าพัวพันกับปัญหาไร้สาระแบบนี้เลยค่ะ”

ซูเหมยรีบลุกออกมาแก้สถานการณ์ทันที ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เรื่องโกหกที่ดึงเย่เทียนมาเป็นแฟนเธอก่อนหน้านี้ ปัจจุบันนี้ไม่ว่าอย่างไรเธอจำเป็นต้องกลบเกลื่อนเข้าไป

“เหอะ!”

จ้าวเสว่เฟินไม่พอใจอยู่บ้าง “เป็นแม่คิดมากไปเหรอ? แม้แต่รู้จักกันนานแค่ไหนเรื่องเล็กแค่นี้ลูกยังต้องโกหก ใครจะรู้ว่าลูกยังมีอะไรหลอกแม่อยู่รึเปล่า?”

“ถ้าบอกว่ารู้จักกัน ผมกับเสี่ยวเหมยรู้จักกันมาเป็นเวลาสองสามปีจริงครับ”

“ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมไปดื่มเหล้าที่ผับของเสี่ยวเหมย ส่วนพวกเราสองคนแน่ใจในความสัมพันธ์กันจริง เพียงแค่ไม่กี่เดือนจริงๆ ครับ”

ในสมองเย่เทียนเกิดความคิดฉับไว พูดโกหกขึ้นมาโดยที่หน้านั้นไม่แดงหัวใจไม่เต้นรัว ทำท่าทางจริงใจ

สำหรับคำตอบอันนี้ จ้าวเสว่เฟินพยักหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ ไม่ว่ามากแค่ไหนยังยอมรับคำอธิบายนี้แล้ว

“แม่คะ เกือบจะถึงเวลากินข้าวแล้ว นานมากแล้วที่หนูไม่ได้กินปลาราดซอสฝีมือแม่ พวกเราไปห้องครัวกันดีกว่าค่ะ! จะได้ให้หนูได้ขโมยสูตรอีกด้วย”

ซูเหมยสังเกตถึงอารมณ์ระทมทุกข์ของเย่เทียนออกอย่างว่องไว เป็นห่วงว่าเย่เทียนจะรับมือกับการรวมตัวของพ่อแม่ทั้งสองคนไม่ไหว รีบหาข้ออ้างลากจ้าวเสว่เฟินไป เหลือสถานที่ไว้ให้ผู้ชายทั้งสองคนแล้ว

“เสี่ยวเย่ พูดไปแล้วฉันยังไม่รู้ว่านายอายุเท่าไรเลยล่ะ? ดูอายุนายนี้ น่าจะแก่กว่าเสี่ยวเหมยสามสี่ปีได้มั้ง?”

เพียงแค่ ไม่รอเย่เทียนได้หายใจ ข้างหูมีเสียงสงบนิ่งนั้นของซูเจิ้งหือดังขึ้นอีก

ปัญหานี้เกือบทำให้เย่เทียนเกือบสำลักน้ำลายตาย

แก่กว่าสามสี่ปี? เรื่องบ้าอะไร!

ไม่ทราบว่าท่านดูออกจากตรงไหนกันแน่ว่าผมแก่กว่าลูกสาวของท่าน? ผมยอมรับว่าลูกสาวคุณดูแลตัวเป็น และแต่งหน้าเป็น แต่ผมหน้าตาแก่ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ? แวบเดียวคุณก็มาเพิ่มอายุให้ผมไปถึงสามสิบปีแล้ว?

แต่ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ชัดว่าซูเหมยพูดคุยกับพ่อซูอย่างไรบ้าง เย่เทียนได้เพียงอดกลั้นความโกรธในใจไว้ ยอมแพ้!

“ผม ผมยี่สิบเก้าปีครับ”

ที่ทำให้เย่เทียนรู้สึกโชคดีคือ ซูเจิ้งหือที่หลังจากได้รับคำตอบ ในที่สุดก็ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ส่วนมากที่เจอว่าที่ลูกเขยแล้วถามปัญหากระอักกระอ่วนพวกนั้น แต่ว่าคลำหาหมากรุกกล่องหนึ่งออกมาจากโต๊ะกาแฟ

“เล่นหมากเป็นไหม?”

เย่เทียนถามอย่างสงสัย “หมากล้อมเหรอครับ?”

ซูเจิ้งหือตะลึง พูดอย่างลังเล “หมากรุก”

หมากล้อม? นั่นเป็นหมากที่เด็กน้อยเล่นกัน ไม่ว่าอย่างไรฉันก็เป็นผู้ใหญ่ที่ใกล้จะห้าสิบปีแล้ว ต้องเล่นหมากล้อมอะไรกับนายจริงไม่ขายหน้าเอาเหรอ?

เย่เทียนพยักหน้า จากนั้นทั้งสองกางกระดานหมากแข่งขันกันขึ้นมาอย่างเชี่ยวชาญ

ถึงแม้ว่านี่คือการเจอหน้าครั้งแรกของทั้งสอง แต่ ดีเลวอย่างไรซูเจิ้งหือก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับเย่เทียนบางส่วนจากปากของจ้าวเสว่เฟินมาแล้ว รู้ว่าสถานะของเย่เทียนไม่ธรรมดาเหมือนกัน

นี่คือเหตุผลว่าทำไมซูเจิ้งหือไม่ได้ถามฐานะครอบครัวเย่เทียนอีก โดยเฉพาะ อาศัยที่เย่เทียนครอบครองการ์ดมังกรดำของตระกูลฉินไว้ เกรงว่าฐานะครอบครัวคงไม่แย่ไปถึงไหนกระมัง?

สุภาษิตว่าเอาไว้ถูกต้อง: ชีวิตคนเราเหมือนหมากรุก หมากรุกก็เหมือนชีวิตคน

คนหนุ่มสาวเล่นหมาก มักจะใช้วิธีที่ค่อนข้างรุนแรงไม่น้อย มักจะรีบร้อนหาทางรอด ไม่เหมือนกับผู้มีประสบการณ์มากที่รอบคอบทุกจังหวะก้าว เล่นอย่างมีความมั่นใจ

ซูเจิ้งหือตั้งใจดึงเย่เทียนมาเล่นหมากรุก คือการทดสอบรายการสุดท้ายต่อเย่เทียน

ผ่านวิธีการเล่นหมากรุก มาพิจารณาใคร่ครวญนิสัยและสไตล์ของเย่เทียน ถ้าหัวรุนแรงและอารมณ์ร้อนเกินไป นั้น ความประทับใจที่เขามีต่อเย่เทียนคงโดนหักคะแนนไปมาก

ทันใดนั้น ทั้งสองฝ่ายจัดวางหมากเสร็จ หลังจากต่างฝ่ายต่างถ่อมตัวและเกรงใจกันพักหนึ่ง สุดท้ายยังปล่อยให้เย่เทียนวางหมากก่อน

ที่เกินความคาดหมายของซูเจิ้งหือคือ เย่เทียนเปิดฉากการแสดงราวกับผู้อาวุโสรุ่นไม้ใกล้ฝั่งที่แก่หง่อม สไตล์การเล่นหมากไม่รีบร้อน ไม่เน้นความก้าวหน้า ถึงแม้จะเป็นซูเจิ้งหือคนที่นิสัยอ่อนโยนแบบนี้ยังยากจะเข้าใจอยู่บ้าง

ถ้านายบอกว่านายไม่ใช่พวกหัวรุนแรงก็ช่างไป แต่ไม่ต้องมาอนุรักษนิยมขนาดนี้ก็ได้มั้ง? แม้แต่ออกโจมตียังไม่กล้า นายยังถือว่าเป็นคนหนุ่มอยู่เหรอ?

หนึ่งนาทีผ่านไป สายตาซูเจิ้งหือมองเห็นว่าเย่เทียนยังไม่มีท่าทางจะจู่โจมออกมาสักนิด ชั่วขณะนั้นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป บุกตะลุยข้ามไป ขยับเข้าโจมตีก่อนแล้ว พยายามฆ่าเย่เทียนให้แพ้จนไม่เหลือรอด!