“คือว่า… เยี่ยโยวเหยา… ท่านรอก่อน! ”
“เยี่ยโยวเหยา… ท่าน… ท่านรอประเดี๋ยว! ”
ซูจิ่นซีชะลอฝีเท้า พยายามรั้งเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาหันกลับมาขมวดคิ้วถามซูจิ่นซี “รอสิ่งใด? ”
แก้มของซูจิ่นซีแดงก่ำและร้อนผ่าวอย่างรุนแรง นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย “คือว่า… เยี่ยโยวเหยา เรื่องเข้าหอ พวกเรา… พวกเรา… ปรึกษากันได้หรือไม่? ”
“ปรึกษาอันใดอีก? ”
“คือว่า… ตัวอย่างเช่น หม่อมฉัน… ยังเตรียมตัวไม่พร้อม และตัวอย่างเช่น แม้ร่างกายของท่านจะไม่มีอาการกำเริบของหมุดกร่อนรักแล้ว ทว่าพันธะของหมุดกร่อนรักได้รับการแก้ไขจริงหรือไม่นั้น ยังต้องรอตรวจสอบอีกครั้ง นอกจากนั้น… เยี่ยโยวเหยา เรื่องเช่นนี้มันกะทันหันไปหรือไม่เพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาเดินเข้าหาซูจิ่นซีก้าวหนึ่ง ซูจิ่นซีตกใจจนเดินถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ซีซีไม่ต้องเตรียมพร้อม ข้าได้เตรียมทุกอย่างแทนเจ้าแล้ว และมันไม่ได้กะทันหันแต่อย่างใด ซีซีน่าจะรู้ว่าข้ารอคอยวันนี้มานานเพียงไร นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำตั้งแต่วันที่เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้า ทว่าข้ากลับผัดวันประกันพรุ่งมาจนถึงเวลานี้ ซีซี เจ้าติดค้างข้ามาก! ดังนั้นต่อไปเจ้าต้องชดเชยให้มากสักหน่อย อีกอย่าง… ”
ซูจิ่นซีเห็นเยี่ยโยวเหยาเดินเข้ามาใกล้จึงถอยหลังหลบทีละก้าว เยี่ยโยวเหยายิ่งรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่คุยกัน เยี่ยโยวเหยาก็รุกไล่จนซูจิ่นซีถอยไปถึงข้างเตียง
ซูจิ่นซีสะดุดขอบเตียงที่อยู่ด้านหลังและล้มลงไปบนเตียงทันที เยี่ยโยวเหยาโน้มตัวตามลงไปทับร่างของซูจิ่นซี มือทั้งคู่โอบรัดร่างของนาง ทำให้นางไม่อาจหลบหนีได้
“อีกอย่าง… ซีซียังต้องตรวจสอบอันใดอีกหรือ? ซีซีตรวจสอบเพียงผู้เดียว มิสู้ให้ข้าร่วมตรวจสอบด้วยอีกคนเป็นเช่นไร ข้าให้เจ้าใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตรวจสอบข้า… ความสั้นยาวของข้า! ”
‘อ๋า’ แก้มของซูจิ่นซีแดงระเรื่อไปจนถึงลำคอ แดงก่ำราวกับมีเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ด้านหลังของนาง
เนื่องจากสองคำนั้นทำให้ภายในใจของซูจิ่นซีเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะจนไม่อาจควบคุมได้ สั้นยาว… สั้นยาว… สั้นยาว…
หัวใจของนางเต้นแรงอย่างต่อเนื่องตามจังหวะสองคำนั้น เต้นรัวไม่หยุด
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะพูดว่า “เห็นท่าทางของซีซี ข้าก็รู้ทันที ซีซี เจ้าคิดเลยเถิดไปแล้ว สั้นยาวที่ข้าพูดถึง… คือความสามารถที่จะปกป้องซีซี… ”
ซูจิ่นซีกัดริมฝีปากด้วยความอับอาย
นางกัดริมฝีปากแน่น จนแทบไม่มีช่องว่างระหว่างซี่ฟัน “เยี่ยโยวเหยา… ”
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากและพูดว่า “ข้าอยากจะรู้นัก เมื่อครู่… ซีซีคิดว่าสั้นยาวคือสิ่งใด? ”
ซูจิ่นซีหลับตาลงทันที นางนอนบนเตียงนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อน ทำทีว่าแสร้งตาย
คนเราต้องจดจำ!
นางขอสาบานว่า ต่อไปจะไม่เล่นคำเช่นนี้กับเยี่ยโยวเหยาอีกแล้ว ช่าง… เปลืองรอยหยักในสมองจริงๆ
เดิมทีซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยายังต้องการพูดอันใดอีก ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับไม่พูดสิ่งใด เขาเพียงลุกขึ้นนั่งและถอดรองเท้าของซูจิ่นซีออก จากนั้นจึงกอดซูจิ่นซีที่นอนอยู่บนเตียงและห่มผ้าให้นาง
ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นมาด้วยความสงสัย สายตาพลันสบกับดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยาเข้าพอดี
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยแววตาลึกซึ้ง พลางใช้ฝ่ามือลูบไล้แก้มของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบาด้วยความรักใคร่
“ซีซีวางใจ ข้ารับปากเจ้า ก่อนเข้าห้องหอ เตียงหลังนี้จะเป็นของเจ้า และจะเป็นของเจ้าตลอดไป สำหรับคำสัญญาที่มอบให้ภรรยา ข้าไม่เคยฝ่าฝืนแน่นอน”
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี นางกัดริมฝีปากแน่น ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากและขมวดคิ้วเล็กน้อย “ซีซีไม่อาจรอจนถึงเวลาเข้าหอใช่หรือไม่? ทว่า… พ่อบ้านกับจิ้นหนานเฟิง พวกเขาคงยังเตรียมการไม่เสร็จ หากซีซีเต็มใจ ข้าก็จะไม่รอพิธีการซับซ้อนเหล่านั้น และร่วมหลับนอนกับเจ้าในคืนนี้ก็ได้… ”
ท่านออกไปเลย!!!
ใบหน้าของหม่อมฉันมีคำว่า ‘รอไม่ได้’ เขียนไว้ด้วยหรือ?
อีกทั้ง พูดเรื่องเช่นนี้กับสตรี ไม่ดู… หยาบคายไปหน่อยหรือ?
ซูจิ่นซีดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงทันที และไม่ให้ความสนใจเยี่ยโยวเหยาอีก
เยี่ยโยวเหยายกยิ้ม จากนั้นจึงลุกขึ้น ช่วยซูจิ่นซีดับเทียนในห้อง และเดินไปยังห้องทรงอักษรของตนเอง
ครู่หนึ่ง บรรยากาศพลันตกอยู่ในความเงียบสงบและมืดสนิท!
ซูจิ่นซีค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกจากศีรษะ สิ่งสุดท้ายที่นางเห็นคือชายเสื้อสีดำของเยี่ยโยวเหยาในความมืดมิดที่ยิ่งให้ความรู้สึกดำมืด ค่อยๆ หายลับไปหลังม่านหนาทึบ
คืนนี้ นอกจากพ่อบ้านกับจิ้นหนานเฟิงที่กำลังยุ่งและองครักษ์ที่ยืนเวร คนที่เหลือต่างนอนหลับสนิท โดยเฉพาะซูจิ่นซีที่ไม่เคยนอนหลับได้อย่างสบายใจเช่นนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม ภายในห้องทรงอักษรของตำหนักฝูอวิ๋น ลำแสงอ่อนโยนพลันเปล่งประกายและจางหายไปในชั่วข้ามคืน
เยี่ยโยวเหยาใช้พลังยุทธ์จิ่วเซียวฟื้นฟูกำลังภายใน
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยาตัดสินใจจะพาซูจิ่นซีออกไปเดินเล่นข้างนอกเพื่อซื้อชาดแดง เครื่องประทินผิวหน้า และเครื่องประดับต่างๆ
เหตุผลคือ เมื่อก่อนเขาไม่เคยมากับนางเลย
หลายวันที่ผ่านมา ซูจิ่นซีมักเป็นกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเยี่ยโยวเหยา น้อยครั้งที่นางจะมีโอกาสผ่อนคลายและสบายใจเช่นนี้ จึงตัดสินใจออกมาพร้อมเยี่ยโยวเหยา
นี่เป็นครั้งแรกที่โยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงพาพระชายาโยวอ๋องออกมาเดินเล่นซื้อของข้างนอก
ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก
เหล่าสตรีที่อิจฉาซูจิ่นซี ต่างเดินตามรถม้าของทั้งสองมาตลอดทาง ตั้งแต่ถนนหลักฉางอัน ด้านหน้าประตูจวนโยวอ๋องจนถึงฝั่งตะวันตกของเมือง และจากฝั่งตะวันตกของเมืองไปจนถึงฝั่งตะวันออกของเมือง
จากนั้นภายในวันเดียว โยวอ๋องกับพระชายาโยวอ๋องที่ไม่มีความเคลื่อนไหวมานาน ก็กลายเป็นจุดสนใจในเมืองตี้จิงทันที
กล่าวกันว่า หลังจากวันนั้น มีสตรีจำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคประหลาด เข้ามารับการรักษาที่หอโอสถสกุลซูติดต่อกันหลายวัน
อาการของสตรีเหล่านั้นเหมือนกันอย่างน่าแปลกใจ พวกนางมีดวงตาเหม่อลอย แก้มแดงก่ำ น้ำลายไหลออกจากมุมปากตลอดเวลา และไม่ตอบสนองต่อโลกภายนอก
หมอหลายคนในโถงกลางต่างวุ่นวายกันมาก และไม่อาจค้นพบว่าพวกนางป่วยเป็นโรคอันใดกันแน่ สุดท้าย ซูอวี้ ผู้นำสกุลซูเป็นผู้ค้นพบ ทว่าไม่อาจวินิจฉัยได้อย่างเปิดเผย ทำได้เพียงแอบเรียกอย่างลับๆ ว่าเป็นโรคคลั่งรัก
จนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน รถม้าของเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีก็เดินทางกลับมาถึงจวน เนื่องจากประตูจวนโยวอ๋องถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมาก จิ้นหนานเฟิงจึงสั่งให้องครักษ์ทำการเปิดทางให้เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีเข้าจวนได้อย่างปลอดภัย เมื่อทำเช่นนี้จึงสามารถนำทั้งสองคนและสิ่งของจำนวนห้าคันรถที่เยี่ยโยวเหยาซื้อให้ซูจิ่นซีเข้ามาในจวนได้
เมื่อเข้ามาในประตูจวนโยวอ๋องแล้ว ซูจิ่นซีก็ไม่ได้รู้สึกอันใด เพราะสิ่งของทั้งหมดล้วนเหมือนกับครั้งที่แล้ว ทว่าซูจิ่นซีเพิ่งก้าวเท้าหน้าเข้าประตูเรือนชิงโยว เท้าหลังยังไม่ทันได้ก้าวเข้ามา นางก็ตกตะลึงยืนแข็งทื่ออยู่กับที่
แสงอาทิตย์ยามเย็นบนเส้นขอบฟ้าได้แผ่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือเรือนชิงโยว แสงสายัณห์ที่เคยสว่างเจิดจ้า วันนี้ราวกับจงใจเพิ่มความสดใสระยิบระยับให้แก่เรือนชิงโยว เพราะเรือนชิงโยวในวันนี้ได้รับการตกแต่งอย่างปราณีตงดงาม
ซูจิ่นซีสาบานกับสวรรค์ นี่คือเรือนหอที่สวยงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมาในชีวิต