ระเบียงใต้หลังคาแขวนประดับด้วยแถบผ้าสีรุ้งมากมาย ด้านนอกห่อหุ้มด้วยผ้าไหมสีแดง ด้านหน้าตำหนักปูด้วยพรมสีแดงเพลิง แม้แต่สมุนไพรทั้งหมดที่ปลูกหน้าเรือนอวิ๋นไคยังถูกตกแต่งด้วยเครื่องประดับสีแดงเป็นพิเศษ
บริเวณหน้าต่างของตำหนักฝูอวิ๋นและเรือนอวิ๋นไค ล้วนแปะด้วยกระดาษสีแดงที่เขียนตัวอักษรคำว่า ความสุข
แม่นมฮวา ลวี่หลี เหล่าองครักษ์ และคนอื่นๆ ต่างผูกผ้าไหมสีแดงไว้ที่เอว
สีแดงเหล่านั้นช่างสดใส ดูงดงามตระการตายิ่งกว่าก้อนเมฆสีแดงเพลิงในยามสายัณห์ของวันนั้นเสียอีก
ซูจิ่นซีมองแล้วเกิดความรู้สึกราวกับทุกอย่างเป็นภาพลวงตา นางหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ทันใดนั้น ฝ่ามือที่กว้างใหญ่และเย็นเฉียบคู่หนึ่งก็จับจูงมือซูจิ่นซีไว้แน่น และพาซูจิ่นซีเดินเข้าไปด้านใน
ซูจิ่นซีมองไม่เห็นท่าทีของเยี่ยโยวเหยา นางเดินอยู่ด้านหลัง แต่กลับมองเห็นบุคลิกที่โดดเด่นและท่วงท่างามสง่าของเขาได้อย่างชัดเจน
คนผู้นี้เป็นสามีของนาง!
พิธีในวันนี้ เขาจัดเตรียมไว้เพื่อนาง!
ลำแสงที่ส่องกระทบผ้าไหมสีแดงเพลิงนั้น สว่างเจิดจ้าจนซูจิ่นซีไม่สามารถลืมตาสู้แสงได้
ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘ฟู่ว บึ้ม’ ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย คล้ายเสียงน้ำแข็งกระทบกัน เสียงนั้นไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก
ดอกไม้ไฟ…
แสงสีขาวนวลงดงามส่องสว่างระยิบระยับแพรวพราว ชั่วพริบตา เรือนที่มืดสลัวในช่วงพลบค่ำก็สว่างไสวราวกับยามกลางวัน
ดวงตาของซูจิ่นซีพลันร้อนผ่าว นางยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
เยี่ยโยวเหยาที่เดินนำอยู่ด้านหน้ารู้สึกได้ว่าซูจิ่นซีมีท่าทางแปลกไป จึงหยุดเดินและหันหลังกลับมายืนเบื้องหน้านาง
“ข้าจัดเตรียมให้เช่นนี้ ซีซีชอบหรือไม่? ”
ดวงตาของซูจิ่นซีร้อนผ่าวมากยิ่งขึ้น ทว่านางยังคงพยายามอดกลั้น ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองดวงตาของเยี่ยโยวเหยา
นางจำได้ว่าตอนที่นางเพิ่งเข้ามาในจวนโยวอ๋องได้ไม่นาน เวลานั้นพ่อบ้านพานางเดินดูรอบบริเวณจวนโยวอ๋องทุกซอกทุกมุม พ่อบ้านเคยพูดว่าเยี่ยโยวเหยาชอบสีดำและสีขาวเพียงสองสีนี้เท่านั้น ส่วนใหญ่จะชอบสีดำมากกว่า ดังนั้นสิ่งปลูกสร้างทั่วทั้งจวนโยวอ๋องจึงใช้โทนสีดำและสีเข้มเป็นหลัก
พ่อบ้านยังบอกอีกว่า เยี่ยโยวเหยาไม่ชอบความมีสีสัน ไม่ชอบความบันเทิง และไม่ชอบสีแดงมากที่สุด
ทว่าวันนี้…
เขากลับพังทลายสิ่งที่เขาเคยรังเกียจและสิ่งที่ชอบมากมายหลายอย่าง ลบล้างข้อจำกัดที่เข้มงวดของตนออกไป
ในฐานะท่านอ๋องผู้มีเกียรติสูงสุด เขาต้องการมอบสิ่งที่สามีภรรยาทั่วไปควรมีให้แก่นาง
ช่างเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
เมื่อความร้อนผ่าวในดวงตาได้ทำลายกำแพงในใจของนางและกำลังจะปะทุออกมานั้น ซูจิ่นซีพลันหลับตาทั้งคู่ลงและเขย่งเท้าเล็กน้อย นางเริ่มเป็นฝ่ายจุมพิตริมฝีปากเย็นเฉียบของเยี่ยโยวเหยาอย่างนุ่มนวลและปราศจากความลังเล
จากนั้นมือของนางก็ค่อยๆ สัมผัสลูบไล้จากเอวไปยังแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยา เพื่อโอบกอดร่างกายของเขาให้แน่นขึ้นอีกนิด
เยี่ยโยวเหยาคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะรุกไล่ได้เร่าร้อนถึงเพียงนี้ ร่างกายเขาแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้นเขาจึงตอบสนองกลับทันที ดวงตาที่เคร่งขรึมมาตลอดค่อยๆ เผยให้เห็นความอ่อนโยน เยี่ยโยวเหยาไม่ขยับเขยื้อนและไม่ได้ตอบสนองซูจิ่นซี เพียงมองซูจิ่นซีที่กำลังหลับตาอยู่
ดวงตาที่สดใสคู่นั้น แม้จะปิดสนิท ทว่าไม่อาจปิดบังความรู้สึกลึกซึ้งภายในดวงตานั้นได้
“เฮ้… ”
ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าผู้ใดส่งเสียงร้องออกมา ทำให้ทุกคนที่กำลังตกตะลึงกับการกระทำของซูจิ่นซีได้รู้สึกตัว
“พี่น้องทุกคน เพิ่มความระมัดระวังให้มากหน่อย! ”
จิ้นหนานเฟิงที่อยู่บนหลังคายกมือให้สัญญาณ เหล่าองครักษ์เงาชุดดำที่ซ่อนตัวในความมืดจึงส่งเสียงตอบรับ ในมือของแต่ละคนถือดอกไม้ไฟ หลังจากจุดออกไปแล้วก็โยนทิ้ง
ทว่าในช่วงเวลานั้น ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยากำลังโอบกอดจุมพิตท่ามกลางดอกไม้ไฟที่ส่องแสงเจิดจ้า
ดอกไม้ไฟสว่างไสว โฉมสะคราญหาผู้ใดเทียบ ความรักอันลึกซึ้ง…
ความงดงามนี้ราวกับภาพวาดชิ้นเอก
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังผละริมฝีปากออกจากเยี่ยโยวเหยานั้น จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็โอบเอวเพรียวบางของซูจิ่นซีและอุ้มนางเดินไปทางตำหนักฝูอวิ๋น
“วีด วิ้ว… ”
“วีด วิ้ว… ”
“ซวี่… ”
เสียงผิวปาก เสียงแปลกประหลาด และเสียงโห่ร้องของเหล่าองครักษ์ดังก้องเหนือท้องฟ้าเรือนชิงโยว
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เห็นคางและใบหน้าหล่อเหลาคมสันของเยี่ยโยวเหยาอย่างชัดเจน เดิมทีร่างกายของเยี่ยโยวเหยาล้วนเต็มไปด้วยราศีของบุรุษที่เคร่งขรึม เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนคิดกันไปเลยเถิดในเรื่องระหว่างหญิงชาย กอปรกับเสียงโห่ร้องแปลกประหลาดเหล่านั้น ยิ่งทำให้แก้มของซูจิ่นซีร้อนผ่าว
ซูจิ่นซีเอียงศีรษะและแก้มของตนซบลงในอ้อมอกของเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยามีท่าทีเคร่งขรึม เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางเดินไปที่ตำหนักฝูอวิ๋นทีละก้าว
เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีวางลงบนเตียงบรรทมหลังใหญ่ ด้านนอกยังมีเสียงประหลาดโห่ร้องอย่างต่อเนื่อง
เขาสะบัดแขนเสื้อจนเกิดเสียงดัง ‘ปัง ปัง’ หน้าต่างทุกบานในตำหนักฝูอวิ๋นพลันปิดลง ตัดขาดจากเสียงรบกวนภายนอกทั้งหมด
บรรยากาศเงียบสงบ ทว่าซูจิ่นซีกลับใจเต้นแรง
ไม่ต้องพูดถึงตัวนางที่สัมผัสรับรู้ได้ กระทั่งเยี่ยโยวเหยายังได้ยินอย่างชัดเจน เพราะความตื่นเต้น หน้าอกของนางจึงขยับขึ้นลงไม่หยุด
“ซีซี มีข้าอยู่! ”
ซูจิ่นซีเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย พยายามไม่ให้แววตาของเยี่ยโยวเหยาจ้องมองมาที่ตน
“หม่อมฉัน… หม่อมฉันทราบเพคะ… ”
เยี่ยโยวเหยาแย้มยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน เขาจับคางซูจิ่นซี บังคับให้นางมองมาที่เขา
“แม้ไม่ใช่ครั้งแรกระหว่างเจ้ากับข้า ทว่าอาจมีการเจ็บปวดเล็กน้อย ข้าจะระมัดระวัง พยายามไม่ทำให้เจ้าเจ็บ! ”
แก้มของซูจิ่นซีแดงก่ำดั่งเปลวเพลิงและไม่อาจแดงไปมากกว่านี้ได้อีก นางกัดริมฝีปากแน่น ปิดเปลือกตาทั้งคู่ และไม่พูดอันใด
เยี่ยโยวเหยาจุมพิตริมฝีปากซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา
จากนั้นซูจิ่นซีก็รู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยากำลังถอดเสื้อผ้าออก และขึ้นมาบนเตียง
แม้ซูจิ่นซีจะปิดความถี่ของอาคมกำไลปี่อั้นแล้ว ทว่าเสียงถอดเสื้อผ้าและเสียงปลดผ้าม่าน ซูจิ่นซีล้วนได้ยินอย่างชัดเจน
ทันใดนั้น ผ้ารอบเอวที่ผูกไว้อย่างแน่นหนาก็คลายออก เยี่ยโยวเหยาถอดผ้ารัดเอวให้นาง
ซูจิ่นซีกลั้นลมหายใจ ไม่รู้ว่าควรควบคุมการหายใจอย่างไร นางตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้
เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ โน้มตัวลง เดิมทีเขาคิดจุมพิตริมฝีปากของซูจิ่นซี ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของนาง จึงเคลื่อนใบหน้าไปที่ข้างหูและเป่าลมหายใจอบอุ่นออกมาสองครั้ง
“ซีซี… ”
“เพคะ… ”
“แท้จริงแล้ว… เจ้าไม่ต้องแสดงท่าทางเช่นนี้… ท่วงท่าราวกับกล้าหาญไม่กลัวตาย นี่เป็นการเข้าหอของเจ้ากับข้า ไม่ใช่การทำสงคราม”
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเวลานี้ ซูจิ่นซีตื่นเต้นมากเพียงไร
หากเป็นยามปกติ แม้ซูจิ่นซีจะเหนียมอาย ทว่านางเป็นคนปากร้าย เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของเยี่ยโยวเหยา เพื่อรักษาเกียรติของนาง อย่างไรนางก็ต้องตอบโต้ประโยคดังกล่าวอย่างเผ็ดร้อน ทว่าซูจิ่นซีในเวลานี้ ทำได้เพียงตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อืม! ”
ร่างกายของนางยังคงแข็งทื่อเหมือนปลาเค็มตากแห้ง
ทว่าท่าทางเช่นนี้ของซูจิ่นซียิ่งดึงดูดใจเยี่ยโยวเหยามากขึ้น
ดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยาวาบหวามไปด้วยความปรารถนาอันร้อนแรง
เขายกมือขึ้นฉีกเสื้อผ้าบนร่างของซูจิ่นซีอย่างไร้ความปรานี