บทที่ 389 ระบายโทสะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 389 ระบายโทสะ

“พวกเจ้ายังจะอยู่เฉยทำไมอีก?”

หนี่ฟู่กวงโยนชุดกระโปรงบางเบาสองชุดไปกองไว้ตรงหน้าเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน

“ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออก และเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดนี้ เรียบร้อยก็ออกมาเต้นระบำให้ท่านอ๋องน้อยได้รับชมสักหน่อย”

ใบหน้าที่ปกติซีดขาวปราศจากสีเลือดของหนี่ฟู่กวง บัดนี้แดงก่ำขึ้นมาแล้ว เขาก้มหน้าลง พูดจาด้วยน้ำเสียงข่มขู่คุกคาม “พวกเจ้าต้องเต้นให้ดี อย่าได้มีข้อผิดพลาดเด็ดขาด เพราะท่านอ๋องน้อยไม่ชอบคนที่ทำผิดพลาด มิเช่นนั้นแล้ว หุหุ…”

เฉียนเหมยและเฉียนเจินจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?

พวกนางได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ย่อมเข้าใจดีว่าฐานะของกลุ่มชายหนุ่มสูงส่งไม่ธรรมดา ต่อให้หลินเป่ยเฉินก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรพวกนางได้อีกแล้ว คราวนี้ มีเพียงต้องขอร้องให้สวรรค์เมตตาเท่านั้น

หญิงสาวทั้งสองหันมองหน้ากัน

พวกนางเติบโตมาด้วยกัน เพียงมองตาก็รู้ใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

เฉียนเหมยและเฉียนเจินถูกฝึกให้เป็นนางคณิกาในหอนางโลม ไม่มีศักดิ์ศรีและไม่มีอนาคต แต่เป็นเพราะนายน้อยหลินเป่ยเฉินที่ดูแลพวกนางเป็นอย่างดี ไม่เคยทำร้ายรังแก มิหนำซ้ำยังซื้อของขวัญให้บ่อยๆ และถึงกับส่งพวกนางไปเรียนวิชากระบี่อีกด้วย!

เฉียนเหมยและเฉียนเจินได้รู้แล้วว่ารสชาติความสวยงามของชีวิตนั้นเป็นเช่นไร

พวกนางเริ่มมองเห็นอนาคตของตนเองอย่างที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน

แต่น่าเสียดายที่โลกใบนี้โหดร้ายเกินไป แสงแห่งความหวังที่ก่อกำเนิดขึ้นในจิตใจของสาวรับใช้ทั้งสอง พลันดับวูบไปอีกครั้งด้วยการลักพาตัวในค่ำคืนนี้

ที่ผ่านมามันเหมือนกับว่าพวกนางเพียงฝันไป

แต่ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เฉียนเหมยและเฉียนเจินจะไม่ทำให้นายน้อยต้องมีปัญหาเด็ดขาด

“คุณชายทั้งหลายกรุณารอสักครู่ พวกข้าน้อยจะออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ข้างนอก”

เฉียนเหมยยกมือปาดคราบเลือดออกไปจากใบหน้าและยิ้มแย้มเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

“ฮ่าฮ่า เปลี่ยนที่นี่แหละ จะออกไปข้างนอกทำไม”

อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวออกคำสั่งทันที

เขานำขากลับไปวางพาดไว้บนโต๊ะอาหารอีกครั้ง วางข้อศอกไว้บนพนักพิงเก้าอี้ ยกมือเท้าคาง พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ข้าชอบคนที่ซื่อสัตย์กับข้า โดยเฉพาะกับสตรีที่ต้องเปิดเผยเรือนร่างให้ข้าเห็นโดยไม่เต็มใจ โอกาสเช่นนี้ข้าไม่มีทางปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ เด็ดขาด…”

ใบหน้าของสองสาวรับใช้ซีดขาวขึ้นมาในฉับพลัน

พวกนางกำลังจะปลดสายรัดเอวด้วยมือที่สั่นเทา

“ไม่ได้ขอรับ แบบนี้มันมากเกินไปแล้ว”

ฉุยหมิงโหลวทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาวิ่งเข้ามายืนขวางหน้าเฉียนเหมยและเฉียนเจิน ก่อนหันไปกล่าวกับชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีม่วง “กราบเรียนท่านอ๋องน้อยสวี… ใต้เท้าหนี่ พวกท่านทำเกินไปแล้ว แบบนี้จะผิดกฎหมายเอานะขอรับ”

สวีหวั่นหลัวไม่พูดคำใด แต่หันไปพยักหน้าส่งยิ้มให้กับหนี่ฟู่กวง

หนี่ฟู่กวงสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที เขายกมือชี้หน้าฉุยหมิงโหลว ด่าทอด้วยความฉุนเฉียว “คนแซ่ฉุย คิดว่าพวกเราจะเห็นแก่หน้าเจ้าอย่างนั้นหรือ? เจ้าหลงตัวเองมากเกินไปแล้ว ข้าจะนับหนึ่งถึงสิบให้เจ้าไสหัวไปซะ และก็ห้ามมิให้เจ้าพูดคำใดทั้งสิ้น หาไม่แล้ว บิดาของเจ้าก็จะต้องเดือดร้อนเช่นกัน!”

ฉุยหมิงโหลวใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น

เขากัดฟันกรอด หันไปมองหน้าหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่โต๊ะอาหาร โดยหวังว่านางจะเห็นใจเฉียนเหมยและเฉียนเจินบ้างไม่มากก็น้อย

คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวกลับหัวเราะเยาะตอบว่า “ศิษย์พี่ฉุย อย่ามองข้าเช่นนั้นเลย ข้าก็อยากดูการแสดงเต้นระบำเหมือนกัน เหตุไฉนท่านต้องช่วยเหลือพวกนางทั้งสองคนนี้ด้วย นี่คือความสุขของท่านอ๋องน้อยสวีและใต้เท้าหนี่ บ่าวรับใช้ราคาถูกพวกนี้ มีค่าให้ท่านควรสนใจด้วยหรือ”

ฉุยหมิงโหลวถึงกับตกตะลึงแล้วจริงๆ

ในฐานะลูกผู้หญิงด้วยกัน

นางสามารถทนเห็นเฉียนเหมยกับเฉียนเจินถูกข่มเหงรังแกได้อย่างไร?

ฉุยหมิงโหลวสูดหายใจลึก กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้น เวรยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ร้องตะโกนออกมาว่า “หยุดนะ เจ้าเป็นใคร…อ๊าก…”

“อย่ามาขวางทางข้า”

เสียงคำรามปานฟ้าผ่าดังขึ้น

โครม!

ได้ยินเสียงกระแทกกระทั้น

แล้วประตูห้องรับประทานอาหารก็เปิดออก

ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำเหล่านั้นกระอักเลือด ตัวคนลอยกระเด็นไปคนละทิศละทางเหมือนกระสอบป่านเก่าขาด

แล้วเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในห้องเหมือนวัวกระทิงผู้บ้าคลั่ง

“เจ้าพวกเดนนรก… บิดามารดาไม่สั่งสอน ใครใช้ให้พวกเจ้าจับตัวสาวรับใช้ของข้า วันนี้แหละพวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้รอดชีวิตกลับออกไปอีกเลย!”

เสียงคำรามดังกังวานทั่วห้องอาหาร

คำหยาบถูกสบถออกมามากมาย

เมื่อครู่นี้ หลินเป่ยเฉินยังอยู่ที่บริเวณชั้นล่างของโรงเตี๊ยม ก็พอดีได้ยินคำพูดเย้ยหยันของหญิงสาวผู้ติดตามสวีหวั่นหลัว เพลิงโทสะจึงลุกโชน เขากระโดดขึ้นบันไดมาทันได้ยินคำพูดต่อเนื่องของนางอีกครั้ง หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครขวางหน้าเด็กหนุ่มได้อีกแล้ว

“หลินเป่ยเฉิน?”

ฉุยหมิงโหลวชะงักไปเล็กน้อย อุทานออกมาว่า “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”

เหตุการณ์กำลังย่ำแย่ลงไปทุกทีแล้ว

ใครกันนะไปปล่อยข่าวให้หลินเป่ยเฉินรู้ว่าคนรับใช้ของเขาถูกจับตัวมาที่นี่

ดูจากความแค้นที่ปรากฏในแววตา ฉุยหมิงโหลวก็รับทราบแล้วว่าทุกคนที่อยู่ภายในห้องรับประทานอาหารแห่งนี้ ไม่มีทางไถ่บาปได้อีกแล้ว

“หึหึ ข้านี่แหละให้คนไปตามเขามาเอง”

อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวหัวเราะออกมาเล็กน้อยราวกับว่ารอคอยเด็กหนุ่มมานานแล้ว

“ว่าไงนะ?” ฉุยหมิงโหลวถึงกับชะงักไปอีกครั้ง แต่แล้วเขาก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที

นี่คือแผนการที่ถูกวางเอาไว้

แผนการที่จะใช้ล่อลวงหลินเป่ยเฉิน

ฉุยหมิงโหลวเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองถูกหลอกให้จัดงานเลี้ยง

แต่ในความเป็นจริงนั้น นี่คือมหกรรมรุมเล่นงานหลินเป่ยเฉินต่างหาก

“ไม่นะ นายท่าน”

“นายท่าน… ได้โปรดรีบหนีไป”

เฉียนเหมยและเฉียนเจินเมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินบุกเข้ามาช่วยเหลือตนเอง ตอนแรกพวกนางก็ดีใจ แต่เมื่อตระหนักชัดเจนว่าเขากำลังพบเจออยู่กับใคร น้ำตาของพวกนางก็ไหลพราก เฉียนเหมยและเฉียนเจินพยายามผลักดันเด็กหนุ่มให้ออกไปจากห้องอาหารโดยเร็ว เพราะกลัวว่าเขาจะถูกจับตัวเอาไว้เหมือนตนเอง

“พวกเจ้าจะผลักข้าออกไปไหนเนี่ย?”

หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดใจ

“พวกเจ้าจะกลัวทำไม? ติดตามข้ามานานขนาดนี้ ยังไม่รู้อีกหรือว่าข้าเป็นคนที่โหดร้ายและไม่มีเหตุผลมากที่สุดในโลกแล้ว นับว่าพวกเจ้าไม่เคยเรียนรู้สิ่งใดเลยจริงๆ เฮ้อ ข้าผิดหวังยิ่งนัก เพียงเท่านี้พวกเจ้ายังไม่เชื่อใจข้า ถ้าอย่างนั้นก็จงถามตนเองเสียเถิด ว่าพวกเจ้าควรค่าต่อการเป็นบ่าวรับใช้ของข้าแล้วหรือยัง?”

เฉียนเหมยและเฉียนเจินถึงกับตกตะลึงไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินดูจะโกรธแค้นมากกว่าเก่าหลายเท่า

เด็กหนุ่มคำรามออกมาด้วยความเดือดดาลอีกครั้ง “พวกเจ้ายังจะยืนงงอยู่ทำไมอีก? หลีกทางไปซะ เดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้าพวกเศษสวะเหล่านี้ ข้าจะทำให้พวกมันรู้ว่าหลินเป่ยเฉินมีสิทธิ์รังแกคนของผู้อื่นได้ตามใจชอบ แต่ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์มารังแกคนของหลินเป่ยเฉินเด็ดขาด”

และในจังหวะนั้นเอง…

“ท่านอ๋องน้อยขอรับ ข้าน้อยไม่สามารถหยุดเขาได้เลย…”

เฉิงเฉียนกุ่ยวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องอาหาร

ทางหนึ่งเขารีบสารภาพผิดต่ออ๋องน้อยสวีหวั่นหลัว อีกทางหนึ่งเขารีบกระแทกฝามือใส่กลางแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉิน โดยหวังว่าการลอบโจมตีครั้งนี้จะช่วยลดทอนความผิดพลาดของตนเองลงได้บ้าง

แต่ไม่ทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินสามารถหันกลับมาคว้าจับข้อมือของเขาไว้ทันเวลาได้อย่างไร

“เจ้า…”

เฉิงเฉียนกุ่ยหยุดชะงักอยู่กับที่

นับว่าหลินเป่ยเฉินมีความรวดเร็วและระดับพลังสูงล้ำสมกับคำเล่าลือจริงๆ

“ตายซะเถอะ”

ก่อนที่เฉิงเฉียนกุ่ยจะมีเวลาได้ตอบโต้ หลินเป่ยเฉินก็รวบรวมพลังทั้งหมดในร่างกายกระโดดเตะชายหนุ่มลอยกระเด็นไปกระแทกกับโต๊ะอาหารที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของทุกคน

หลังจากนั้น เขาก็พุ่งปราดตามติดเข้ามาเหมือนกับเสือร้ายกระหายเลือด

อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวคลี่ยิ้มเล็กน้อยด้วยความสุขใจ “จัดการมันซะ”

“ข้าน้อยจะรับหน้าที่นั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”

ชายหนุ่มคนหนึ่งส่งเสียงรับคำและลุกขึ้นยืนโดยทันที เขามีท่าทางสง่าผ่าเผย เมื่อประกบสองมือเข้าด้วยกันกลางอากาศ ลำแสงสีทองก็พุ่งวาบออกมาโจมตีเข้าใส่หลินเป่ยเฉินเหมือนกับค้อนเหล็ก

“เจ้าก็ต้องลงนรกไปเหมือนกัน!”

หลินเป่ยเฉินเหวี่ยงหมัดออกไป

ผลั่ก!

เสียงกำปั้นปะทะร่างกายดังถนัดหู

“อ๊ากกก!”

ชายหนุ่มสีหน้าแปรเปลี่ยน ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

ตัวคนหมุนคว้างในอากาศ

กร๊อบ!

เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้น

จากนั้น แขนของเขาก็บิดงอผิดรูปผิดร่าง กระดูกทิ่มแทงทะลุผิวหนังออกมาข้างนอก เลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากข้อศอกเหมือนน้ำพุ และในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของชายหนุ่มก็ลอยกระเด็นไปด้านหลังเหมือนกระสอบป่านเก่าขาดใบหนึ่ง