บทที่ 390 อยากให้มันเป็นหรือตายขอรับ?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 390 อยากให้มันเป็นหรือตายขอรับ?

“อ๊าก… แขนของข้า มือของข้า อ๊าก อ๊าก อ๊าก!”

ชายหนุ่มล้มลงไปฟาดกับโต๊ะอาหาร ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว เสียงร้องโหยหวนเปล่งออกมาจากลำคอราวกับเสียงร้องของสตรี

กลิ่นเลือดคาวคลุ้งในอากาศ

หลินเป่ยเฉินรั้งกำปั้นกลับมาด้วยความพิศวง

ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นด้วยหรือนี่?

ไม่ทันได้สังเกตมาก่อนเลยแฮะ

คราวนี้ นอกจากเขาจะมีพลังปราณธาตุไฟแล้ว พละกำลังในร่างกายก็ยังแข็งแกร่งมากกว่าเดิมอีก 2 เท่า

ชายหนุ่มผู้ถูกต่อยกระเด็นมีพลังอยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ระดับที่ 4 นับว่ามีความแข็งแกร่งมากกว่าเฉาพั่วเถียน แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังหมัดของหลินเป่ยเฉินได้เลย

เด็กหนุ่มแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?

นี่คือสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อน

แต่ถึงจะไม่อยากเชื่อ ก็ต้องเชื่อแล้ว

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หลินเป่ยเฉินเดาว่ามันต้องเกี่ยวกับพลังปราณธาตุไฟที่อยู่ในตัวเขาแน่นอน

ในระหว่างที่สมองกำลังขบคิดอยู่นั้น ร่างกายของเด็กหนุ่มก็เคลื่อนไปข้างหน้าโดยที่เขาไม่รู้ตัว ใบหน้าอันหล่อเหลาแสดงออกถึงความอำมหิตเด่นชัด

ค่ำคืนนี้ เขาอยากจะทำอะไรสักอย่าง

ทำสิ่งที่ทุกคนจะลืมไม่ลง

เหล่าแขกผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงล้วนพากันตกตะลึงหมดแล้ว

อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป แววตาเหยียดหยามชำเลืองมองเด็กหนุ่มที่นอนแขนหักอยู่บนพื้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า “ใช้การไม่ได้”

“เดี๋ยวข้าน้อยจะจัดการมันเองพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าน้อยจะหักขาของมันซะ”

ชายหนุ่มอีกสองคนตะโกนขึ้นมา

พวกเขาโผพุ่งกายด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด แยกย้ายซ้ายขวาบุกเข้าโจมตีประชิดตัวหลินเป่ยเฉิน

“พวกเจ้ารนหาที่ตายเองนะ”

หลินเป่ยเฉินสะอึกกายไปข้างหน้าเหมือนสัตว์ป่าผู้บ้าคลั่ง กำปั้นซ้ายขวาแยกย้ายต่อยใส่ผู้โจมตีทั้งสองข้าง

พรึบ!

เสียงพลังลมปราณระเบิดตัวในอากาศ

“อ๊าก…”

“ฟู่!”

ชายหนุ่มทั้งสองคนนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในขณะที่ตัวคนลอยกระเด็นกลับไปด้วยความรวดเร็วเท่ากับตอนที่กระโดดเข้ามาโจมตี

ผลั่ก!

ชายหนุ่มทั้งสองแผ่นหลังกระแทกพื้น เสื้อผ้าฉีกขาด แขนหักงอผิดรูป เลือดไหลทะลักออกปากออกจมูก ชักกระตุกอยู่เพียงเล็กน้อย ก็นอนแน่นิ่งไปตรงนั้นเอง

สีหน้าของบรรดาเด็กหนุ่มคนอื่นๆ กำลังแสดงออกถึงความตกตะลึงที่สุด

ว่ากันตามข่าวลือ เด็กหนุ่มซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเลือกประจำเมืองหยุนเมิ่ง บัดนี้ไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้ไม่ใช่หรือ?

แล้วเหตุไฉนทำไมหลินเป่ยเฉินถึงใช้พลังลมปราณได้เล่า?

“ไม่นะ”

เมื่อฉุยหมิงโหลวเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หัวใจของเขาก็กระตุกวูบ

หลินเป่ยเฉินจะฆ่าคนอีกแล้วหรือ?

หลินเป่ยเฉินเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?

“ทุกท่านใจเย็นก่อน ได้โปรดฟังข้าน้อยสักนิด…”

เขาพูดออกมาเสียงดัง

ฉุยหมิงโหลวอยากทำหน้าที่เป็นทูตสันติภาพ

“ฟังมารดาเจ้าเถิด ไสหัวไปซะ!”

หลินเป่ยเฉินไม่ไว้หน้าบุตรชายท่านเจ้าเมืองเลยแม้แต่น้อย

พื้นห้องถึงกับสะเทือนเมื่อหลินเป่ยเฉินสะกิดปลายเท้าดีดตัวขึ้นกลางอากาศและพุ่งเข้าไปหาสวีหวั่นหลัวที่ยังคงนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

วูบ!

หลินเป่ยเฉินต่อยกำปั้นออกไป

มวลพลังงานโปร่งแสงหมุนควงสว่านออกจากหมัดของเด็กหนุ่ม สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันเหมือนกับพลังงานที่ถูกยิงออกจากปืนเลเซอร์ สามารถโจมตีได้แม้ศัตรูจะอยู่ห่างออกไปหลายวา

“ท่านอ๋องน้อยระวัง”

หนี่ฟู่กวงตะโกนร้องเตือน แต่ตนเองรีบกระโดดหลบหนีเป็นคนแรก

จังหวะนั้น หญิงสาวผู้นั่งอยู่ทางซ้ายมือของสวีหวั่นหลัวพลันเลื่อนมือจับด้ามกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอว

แต่ทว่า…

สวีหวั่นหลัวกลับส่งเสียงหัวเราะในลำคอ

เขายกมือขึ้นมาดีดนิ้วอย่างเกียจคร้าน ปรากฏลำแสงสีม่วงสว่างวูบวาบที่ปลายนิ้วของเขา

พรึบ!

ได้ยินเสียงการระเบิดตัวแผ่วเบา

แล้วมวลพลังงานจากหมัดของหลินเป่ยเฉิน ก็ถูกลำแสงสีม่วงของอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวสลายหายไปสิ้น และที่น่ากลัวมากกว่านั้นก็คือ ลำแสงจากปลายนิ้วของอ๋องน้อยยังคงพุ่งทะลวงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินไม่หยุดยั้ง

“เจ้าช่างบังอาจนัก”

รอยยิ้มเจือจางปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา

ดวงตาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความดุร้ายเหมือนเห็นเหยื่อที่ตกลงสู่กับดัก

สุนัขจนตรอกที่กำลังตื่นกลัว ต่อให้เสียสติ ก็ยังกัดคนได้

แต่สุนัขจะอย่างไรก็เป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ

สุนัขจะดุร้ายได้ถึงขนาดไหนกันเชียว?

สุดท้าย เมื่อสุนัขตกอยู่ในกับดัก ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว

จริงหรือไม่?

หลินเป่ยเฉินตีลังกากลับหลังและทิ้งตัวกลับลงมายืนอยู่บนพื้นได้ โดยรอดพ้นลำแสงของฝ่ายตรงข้ามอย่างหวุดหวิด

เขาถึงกับประหลาดใจไม่น้อย

คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าชายหนุ่มเสื้อคลุมม่วงท่าทางเจ้าสำอางคนนี้ จะมีพลังสูงส่งไม่ใช่เล่นเหมือนกัน

“นี่หรือผู้ที่ถูกเลือก? ไม่เห็นจะวิเศษอะไรเลย”

สวีหวั่นหลัวพูดเสียงเรียบ

สีหน้าแสดงความผิดหวังเล็กน้อย

“เจ้าเป็นถึงผู้ชนะการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง และยังสามารถทำคะแนนในการสอบได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของมณฑล มิหนำซ้ำ ยังมีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ แต่ฝีมือที่แท้จริงของเจ้านั้น… เจ้านำพาตนเองไปอยู่ใน 20 อันดับแรกของมือกระบี่รุ่นใหม่ได้อย่างไร? เฮ้อ ข้าผิดหวังในตัวเจ้าเหลือเกิน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะมาปะทะฝีมือกับข้าด้วยซ้ำ”

สวีหวั่นหลัวยกมือโบกสะบัดเหมือนไล่แมลงวัน เป็นความหมายว่าเขาไม่สนใจที่จะต่อสู้กับหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป

ก่อนเดินทางมายังเมืองหยุนเมิ่ง อ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวได้ตรวจสอบรายชื่อผู้ทำคะแนนสอบสูงสุดประจำมณฑลเฟิงอวี่ 20 อันดับแรก ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินมีชื่อติดอยู่ในอันดับที่ 17 เมืองบ้านนอกติดชายทะเลเล็กๆ แห่งนี้ จึงดึงดูดความสนใจของเขาได้ในพริบตา

แต่โลกนี้มียอดอัจฉริยะอยู่มากมาย

มือกระบี่รุ่นใหม่อีก 16 คนที่มีลำดับคะแนนสูงกว่าหลินเป่ยเฉิน ไม่ทราบเลยว่าต้องแข็งแกร่งระดับไหนแล้ว?

ชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย มือของเขาเลื่อนแตะด้ามกระบี่พร้อมกับพูดว่า “กราบเรียนท่านอ๋องน้อย เดี๋ยวข้าน้อยจะจัดการมันผู้นี้ให้แก่ท่านเอง ไม่ทราบว่าท่านอ๋องน้อยอยากให้มันเป็นหรือตายขอรับ?”

“แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน”

สวีหวั่นหลัวพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

รอยยิ้มอำมหิตปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่มชุดขาว เขาส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “ถ้าอย่างนั้นให้มันได้เป็นคนตายก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”

เช้ง!

กระบี่ถูกชักออกมาจากฝักแล้ว

ชายหนุ่มสะกิดปลายเท้าลงบนพื้นห้อง ดีดตัวถลาร่อนเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน กระบี่ในมือตวัดเร็วไว มองเห็นเป็นเพียงลำแสงสีขาวกระจ่างตา

นับเป็นเพลงกระบี่ที่ดีเยี่ยม!

นั่นคือคำชื่นชมในหัวใจของทุกคน

นี่แสดงให้เห็นว่าฝีมือกระบี่ของชายหนุ่มชุดขาวย่อมไม่ธรรมดา

เมื่อเปรียบเทียบกับชายหนุ่มสามคนที่แพ้ไปก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มชุดขาวก็มีฝีมือสูงล้ำมากกว่ากันหลายส่วน

“บัดซบ… ข้านี่แหละที่จะทำให้เจ้าเป็นคนตาย”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ

เขาดาวน์โหลดดาบศีลธรรมออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ ก่อนระเบิดพลังลมปราณตามหลัง ต่อจากนั้น เด็กหนุ่มก็เริ่มร่ายรำเพลงกระบี่สามสัณฐานออกมาทันที!

เช้ง! เช้ง!

เสียงคมกระบี่ปะทะกัน

เปลวไฟสาดกระจายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า

ฟู่!

เลือดสาดกระเซ็น

โลหิตสีแดงสดพุ่งเป็นเส้นโค้งทั้งซ้ายทั้งขวา

กลิ่นคาวเลือดลอยตลบอบอวลในห้องรับประทานอาหารทันที

สิ่งที่ทุกคนได้เห็นต่อหน้าต่อตาก็คือ ชายหนุ่มชุดขาวยกกระบี่ขึ้นตั้งรับดาบในมือหลินเป่ยเฉิน แต่ไม่สามารถต้านทานอานุภาพการโจมตีของหลินเป่ยเฉินได้เลย

กระบี่ในมือของเขาแตกหัก

คนก็ตายแล้ว

ชุดเสื้อคลุมสีขาวที่สะอาดหมดจด ถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน

“ศิษย์พี่ซือเหวิน!”

“ไม่นะ เจ้าฆาตกร”

“แบบนี้มันมากเกินไปแล้ว”

ในห้องรับประทานอาหารพลันกึกก้องกังวานด้วยเสียงอุทานและเสียงกรีดร้อง

เดิมทีพวกเขาพยายามรักษากิริยาเยือกเย็น และไม่เคยเห็นหลินเป่ยเฉินอยู่ในสายตา ก่อนหน้านี้เพียงประหลาดใจเล็กน้อยที่เด็กหนุ่มมีฝีมือดีมากกว่าที่คิด

แต่บัดนี้เลือดไหลนองเต็มพื้นห้อง

ศพของซูซือเหวินชายหนุ่มในชุดขาวถูกแบะออกเป็นสองซีกจากคมดาบในมือหลินเป่ยเฉิน โลหิตยิ่งไหลทะลักออกมามากมายกว่าเดิม

ฉุยหมิงโหลวมองเห็นทุกอย่างก็ให้รู้สึกเวียนหัวตาลาย

มีคนตายจริงๆ ด้วย

สำหรับเขา

ฟ้ากำลังจะถล่ม แผ่นดินกำลังจะทลาย

“คุณชายหลิน ท่าน…”

ฉุยหมิงโหลวยังจะสามารถพูดคำใดได้อีก

แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังคงบุกโจมตีต่อไป

เขาเดินลากดาบศีลธรรมมาข้างหน้า เมื่อพบเจอชายหนุ่มผู้ติดตามอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัวยืนขวางทาง ดาบในมือก็ยกขึ้นหมุนวนเหมือนกังหันลม แล้วชายหนุ่มที่ขวางทางนั้นก็ล้มลงส่งเสียงร้องครางเหมือนวัวถูกเชือด สุดท้ายชีวิตก็ดับสิ้นไปในเวลาอันรวดเร็ว…

ฉุยหมิงโหลวรู้สึกอยากจะเป็นลม

นี่มัน…

การสังหารหมู่หรือไร

เพียงพริบตาเดียว สมาชิกผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ก็เสียชีวิตไปแล้วถึง 4 คน

จบสิ้นแล้ว

ทุกอย่างพังเละเทะไม่เหลือชิ้นดี

สมองของฉุยหมิงโหลวขาวโพลน

เขาไม่เหลือความสามารถที่จะขบคิดอะไรได้อีกต่อไป

“เหวอออ…”

หนี่ฟู่กวงอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงสุดขีด ตัวคนผงะถอยไปด้านหลัง สีหน้าปรากฏความตื่นกลัวชัดเจน

ถึงเขาจะมาจากตระกูลใหญ่ แต่ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก แม้รับประทานสมุนไพรวิเศษจำนวนมาก ระดับพลังก็เพิ่งอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนต้น และฝีมือการต่อสู้ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับเพื่อนร่วมรุ่นได้สักนิด

เป็นผู้อ่อนแอที่เสแสร้งแกล้งเป็นคนแข็งแกร่ง

นี่คือคำอธิบายลักษณะของหนี่ฟู่กวงได้อย่างครบถ้วน ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ต่อสู้ เขาไม่เคยช่วยเหลือพรรคพวกได้เลย

หนี่ฟู่กวงมักเป็นคนแรกที่ตื่นกลัวจนทำอะไรไม่ถูก

บัดนี้ สีหน้าของหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มแปรเปลี่ยนไป

นางไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าเด็กหนุ่มจากเมืองเล็กๆ ติดชายทะเลจะอำมหิตถึงเพียงนี้ หลินเป่ยเฉินสามารถฆ่าคนได้ตามอำเภอใจ ไม่สนว่าบ้านเมืองมีขื่อมีแป แม้พวกเขามีฐานะเป็นผู้ติดตามของอ๋องน้อยสวีหวั่นหลัว แต่หลินเป่ยเฉินก็หาได้ใส่ใจไม่

นี่คือความผิดที่ให้อภัยไม่ได้

“เจ้าเด็กชั่ว วันนี้คือวันตายของเจ้า”

หญิงสาวคำรามน้ำเสียงดุดันและแสดงออกถึงความกล้าหาญมากกว่าหนี่ฟู่กวง

เช้ง!