ตอนที่ 280 แผนแก้ไขอุทกภัย / ตอนที่ 281 นามของหรงฉู่

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 280 แผนแก้ไขอุทกภัย 

 

 

หรงจิงพูดเรื่องวิธีป้องกันอุทกภัยขึ้น เซียงฉือก็หน้าแดง ถึงนางจะเป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้น แต่เซียงฉือก็รู้ว่าเป็นเพราะตนต้องการที่จะไม่ให้หรงจิงคุ้ยลึกลงในเรื่องนั้นต่อไป 

 

 

“วิธีของเจ้าหากเอาไปวางไว้บนโต๊ะ จะเป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว ซึ่งวิธีการนี้จะต้องเป็นวิธีที่บัณฑิตคงแก่เรียนเท่านั้นที่จะเสนอขึ้นมา แต่เจ้าเป็นหญิงที่อยู่แต่ในห้องหับกลับพูดขึ้นมาได้” 

 

 

หรงจิงพูดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือไม่เข้าใจจึงได้ถามขึ้น 

 

 

“ฝ่าบาท ทรงหมายความเช่นไรเพคะ ขอทรงประทานคำชี้แนะ หม่อมฉันเบาปัญญา ไม่เข้าใจพระดำริเพคะ” 

 

 

หรงจิงฟังแล้วยิ้ม แล้วพูดต่อว่า 

 

 

“วิธีที่เจ้าว่ามาไม่ผิดเพี้ยนจากตรรกะ ปัญหาเดียวคือเจ้าไม่เข้าใจสภาพของพื้นที่ บนแผนที่ฝั่งตะวันออกมีผืนนาที่ไม่ใหญ่นักอยู่จริง ตามวิธีคิดคือระบายน้ำเข้ามาในที่นี้ แล้วให้หายเข้าไปในหลังเขา ซึ่งวิธีนี้ไม่มีปัญหาอะไร” หรงจิงพูดความคิดของนางขึ้นอีกครั้ง เซียงฉือก็ได้คิดทบทวนตามไปด้วย 

 

 

หากเป็นคนอื่นหรงจิงย่อมไม่มีความอดทนเช่นนี้ แต่คืนนี้เขาต้องการจะพูดคุยกับนางมากขึ้นซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าทำไม 

 

 

“แต่ครั้งที่ข้าท่องเที่ยวศึกษาไปเคยผ่านที่นั่น ด้านหลังท้องนาตรงนั้นเป็นป่าเขาสูงชันซึ่งไม่ปรากฏออกมาในแผนที่ หากดำเนินการตามแผนนี้ เกรงว่าน้ำจะไหลย้อนเข้าอำเภอหล่งในมณฑลเสฉวน ที่ตรงนั้นพื้นที่ไม่สูง น้ำจะท่วมเมือง ดินโคลนถล่มอำเภอเป็นอันตราย ที่นั่นผู้คนอยู่กันหนาแน่น ทั้งยังเป็นแหล่งทำกิจการการค้าที่รุ่งเรืองอีกด้วย” 

 

 

“เจ้าเรียนมามากแต่ควรรู้ว่า อ่านตำราหมื่นเล่ม มิสู้การเดินทางหมื่นลี้ ถึงความรู้ในตำราจะสำคัญ แต่จำเป็นต้องให้กลมกลืนกับสภาพของท้องที่ด้วย” 

 

 

หรงจิงพูดจบเซียงฉือก็อับอายจนหน้าแดง ถึงแม้นางจะรู้ว่าความคิดของตนไม่ใช่นโยบายที่ไร้ช่องโหว่ แต่ไม่รู้เลยว่าจะมีผลเช่นนี้ 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ เหงื่อเย็นจึงไหลโทรมกายเซียงฉือ ถ้าหากหรงจิงไม่เคยไปที่นั่นแล้วสั่งการให้ขุนนางระดับล่างรับไปดำเนินการตามวิธีที่นางพูดไปตามตำรา ผลลัพธ์ที่ออกมาคงจะเลวร้ายจนไม่กล้าจะคิด 

 

 

เซียงฉือมองดูใบหน้ายิ้มแย้มของหรงจิง ในใจราวคลื่นซัดกระหน่ำ นางคิดว่าเป็นเพียงคำพูดคำหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับฮ่องเต้แล้ว คือระดับความเป็นตายของชีวิตประชาชนทั้งเมือง 

 

 

นางคิดแล้วต้องถอนใจ โชคดีที่หรงจิงเป็นประมุขที่ทรงปรีชาและเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน หากมิใช่เช่นนั้น นางแม้ตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจหลุดพ้นความผิดพลาดได้ 

 

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสอนสั่งเพคะ หม่อมฉันเกือบจะก่อภัยพิบัติใหญ่เสียแล้ว ความคิดอ่านหม่อมฉันตื้นเขินนัก ที่ผ่านมาเป็นเพียงกบในกะลา จากนี้ไปรับใช้อยู่ข้างฝ่าบาท จะได้เปิดหูตาให้กว้างขึ้น จะพูดและปฏิบัติให้รอบคอบยิ่งขึ้นเพคะ” 

 

 

เซียงฉือตัดสินใจจะถอยออก หรงจิงยิ้ม มองดูนางอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า 

 

 

“เจ้าฉลาดและมีเมตตา แต่เสียดายที่เกิดมาเป็นหญิง” 

 

 

เซียงฉือได้แต่ก้มหน้าตอบไม่ถูก ยังดีที่หรงจิงเพียงแต่ถอนใจไม่ได้ต้องการคำตอบ นางได้ยินแล้วเห็นด้วยอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไร 

 

 

หรงจิงเดินเข้าไปนั่งลงที่ด้านข้าง มองดูเซียงฉือแล้วเขาพบว่ามุมปากของตนเองยกขึ้นอย่างไม่ตั้งใจจึงรีบหุบยิ้มกลับไปเย็นชาดั่งที่เคยเป็นอยู่ 

 

 

เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดวันนี้จึงได้ช่างยิ้มนัก ปกติยามเขาจัดการราชกิจมักจะสุขุมเคร่งขรึม วันนี้เหตุใดพูดจามากมายเช่นนี้ หรือว่าเพราะรู้จักกับนางมาก่อนจึงผ่อนคลายเป็นพิเศษยามอยู่ต่อหน้านาง 

 

 

หรงจิงมองดูใบหน้าเหลอหลาของเซียงฉือ เขารู้สึกว่าเวลาที่อยู่กับนางนั้นให้ความรู้สึกสบายใจเหมือนกับช่วงเวลาที่อยู่กับหรงเฉิงเยี่ยที่ผ่านมา 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 281 นามของหรงฉู่ 

 

 

เมื่อคิดว่าคืนนี้ผิดปกติเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่สู้ให้ผิดปกติมากอีกสักหน่อยดังนั้นจึงพูดต่อว่า “เซียงฉือ เจ้าไม่ถามหรือว่าเหตุใดข้าจึงได้ปลอมใช้ชื่อหรงฉู่เพื่อพบกับเจ้า” 

 

 

จู่ๆ หรงจิงก็พูดถึงคำถามที่เซียงฉือคิดมานานแต่ไม่กล้าถามออกมา นางเบิ่งตาโตทันทีด้วยยังไม่รู้จักเก็บอารมณ์ ดังนั้นทุกข์โศกดีใจเสียใจอย่างไรล้วนแสดงออกอยู่บนใบหน้า 

 

 

ในสายตาคนอื่น ในเวลาปกตินางดูเหมือนผู้ใหญ่ที่สุขุม ทำอะไรน่าเชื่อถือ ดูหนักแน่นเกินวัย 

 

 

แต่ในสายตาหรงจิง ดวงตาเซียงฉือในยามนี้เป็นประกาย กำลังมีท่าทางสนใจใคร่รู้ ดูเหมือนแมวที่ได้พบของกินถูกใจและอยากกิน แต่ต้องสงวนท่าที 

 

 

เมื่อหรงจิงถามเช่นนี้ เซียงฉือจึงรีบพูดต่อ 

 

 

“หม่อมฉันก็มีความคลางแคลงใจอยู่เพคะ แต่ฝ่าบาทเป็นถึงเจ้าแผ่นดิน สิ่งที่ทรงพูดทรงทำหาใช่สิ่งที่หม่อมฉันจะเข้าใจได้ ดังนั้นถึงหม่อมฉันจะสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามเพคะ” 

 

 

หรงจิงฟังคำพูดประจบประแจงของเซียงฉือออกอย่างชัดเจน หากแต่เขาไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับนาง 

 

 

“อย่าใช้คำพูดแบบพวกชอบสอพลอเลย ข้าชอบที่เจ้าเรียกข้าว่าพี่หรงฉู่ ต่อไปหากในตำหนักเจิ้งหยางไม่มีใครเจ้าก็เรียกข้าแบบนี้ ข้าอยากให้เจ้าเรียกเช่นนี้ เรื่องนี้ฟ้ารู้ดินรู้เจ้ารู้ข้ารู้ แต่หากมีบุคคลที่สามรู้เข้า ข้าจะตีเจ้า” 

 

 

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หรงจิงก็ทำหน้าดุ แต่พอพูดว่าจะตีเซียงฉือ ทั้งคู่ก็ยิ้มอย่างรู้กัน 

 

 

เซียงฉือย่อกายพูดกับหรงจิงว่า “เพคะ พี่หรงฉู่!” 

 

 

เซียงฉือยิ้มแลดูงดงามยิ่งใต้แสงจันทร์ หรงจิงหันหน้ากลับไม่มองนาง แต่มองดูสายฝนบางเบาที่ยังคงตกเปาะแปะไม่หยุดอยู่ด้านนอก 

 

 

เสียงฝนเบาลงเรื่อยๆ เวลานี้จึงได้ยินเพียงเสียงน้ำกระทบกระเบื้องและระเบียง 

 

 

แต่ฟังไปเช่นนี้ก็เพลิดเพลินยิ่งนัก ไม่ต้องถูกเสียงฝนห่าใหญ่รบกวน เสียงฝนพรำๆ พาให้คนทั้งคู่จมลงสู่ความสุขสงบ 

 

 

วันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้ตื่นบรรทมยามอิ๋นสามเค่อ 

 

 

เซียงฉืออยู่ยามกลางคืนแทนซูกงกงจึงไม่ต้องตื่น แต่พอเที่ยงคืนนางก็ทนไม่ไหวจึงฟุบลงบนกองรายงานหนาๆ นั้นแล้วหลับสนิทไป 

 

 

หรงจิงเมื่อตื่นขึ้นมาเห็นภาพนั้นแล้วจึงนำผ้าคลุมบนกายห่มลงบนร่างนาง แล้วออกไปประชุมราชสำนัก 

 

 

เซียงฉือหลับสายไปจนถึงเวลาหรงจิงเลิกประชุม นางบิดขี้เกียจมองเห็นแสงแดดสดใสที่ด้านนอกแล้วเดินไปทำความสะอาดร่างกายที่ด้านข้าง เมื่อคืนนี้นางจำได้เพียงว่าตนเองดื่มเป็นเพื่อนหรงจิงในศาลาห้าเหลี่ยม แต่ไม่รู้ว่าตนเองกลับมาได้อย่างไร แล้วทำไมหลับถึงป่านนี้ 

 

 

ยังดีที่ตนเป็นคนตื่นเช้าตลอดมาจึงไม่ถึงกับเสียงานเสียการ ก่อนถึงเวลาหรงจิงกลับมา มีขันทีน้อยวิ่งเข้าตำหนักเซวียนฉินในตำหนักเจิ้งหยางเพื่อทำความสะอาด เซียงฉือจึงจะใช้เวลานี้จัดการตนเอง แต่ไม่คิดว่าจะได้พบกับเซียงซือที่นี่ 

 

 

เซียงฉือเพิ่งมาถึงตำหนักเจิ้งหยางเพียงวันเดียวเซียงซือก็ตามมาแล้ว เซียงฉือไม่อาจรู้ได้ว่านางจะทำอะไร แต่ว่านางได้แจ้งต่อคนเฝ้าประตูข้างนอกแล้ว นางจึงต้องไปพบ 

 

 

เมื่อสูดลมหายใจเข้าแล้ว เซียงฉือก็ออกไปพบเซียงซือ 

 

 

เซียงซือแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบข้าราชสำนักสตรีสีฟ้าครามของกองราชเลขา บนศีรษะเกล้ามวยสูงมุ่นไว้ด้วยปิ่นหยกสีเขียวเข้ม ในมือถือกล่องอาหารใบหนึ่งข้างเสาต้นใหญ่สีแดงของประตูหน้าตำหนักเจิ้งหยาง ร่างสีเขียวสดนุ่มนวลยืนเป็นสง่าราวกับต้นหลิวเขียวขจีอาบอยู่ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นในยามรุ่งอรุณ