ตอนที่ 645

Alchemy Emperor of the Divine Dao

‘ตูมตูมตูม’ เมื่อการต่อสู้ที่รุนแรงเริ่มขึ้น สายฟ้าก็ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ดังนั้นคนอื่นๆถึงล่าถอยออกไป มีเพียงฮูหนิวคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่เดิม คลื่นสายฟ้าที่ไหลผ่านร่างของนางไปนั้นไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อนางแม้แต่น้อย

การที่จ้าวเชาเหิงกล้าที่จะให้หลิงฮันโจมตีสามกระบวนท่า ได้ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งและกระหน่ำหมัดราวกับห่าฝนใส่หัวของมังกรคชสาร

“หรือว่านี้จะเป็นมังกรคชสารคลั่งสงครามของนิกายมังกรปฐพี?” เขารอบรู้เป็นอย่างมากและรู้ตัวว่านี้คือทักษะหมัดมังกรคชสารคลั่งสงคราม

มันไม่ใช่ทักษะลับของนิกายมังกรปฐพี มีลูกศิษย์มากมายที่ฝึกฝนทักษะนี้ เพราะงั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จ้าวเชาเหิงจะจำมันได้

จ้าวเชาเหิงถอนหายใจ แม้เขาจะไม่กล้าดูถูกหลิงฮัน แต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวเช่นกัน พลังต่อสู้ของเขาเองก็ไม่ได้อ่อนแอ หมัดทั้งสองข้างของเขาสั่นไหวและโจมตีเจ้าปะทะกับหลิงฮัน

เขามีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นเก้าและได้ติดอยู่ในระดับพลังนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นรากฐานของเขาจึงมั่นคงอย่างมาก ดังนั้นด้วยความได้เปรียบของระดับพลังที่มากกว่า หมัดของเขาจึงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหลิงฮัน

แต่มันก็ทำให้เขาตกตะลึงเช่นกัน เพราะว่าพลังต่อสู้ของเขานั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นหัวกะทิในหมู่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแน่นอน แต่ตอนนี้กลับมีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่สามารถสู้ได้อย่างทัดเทียมกับเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป

“น้องชาย เจ้าเป็นศิษย์ของนิกายมังกรปฐพี?” จ้าวเชาเหิงถาม หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากสู้กับหลิงฮันอีกต่อไป เพราะอย่างไรนิกายมังกรปฐพีก็เป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังกว่าขุมอำนาจของจอมยุทธระดับสวรรค์ของเขา

“เปล่า!” หลิงฮันยิ้ม “เจ้าลองเดาดูซิ”

เดาน้องสาวเจ้าสิ!

จ้าวเชาเหิงไม่พูดพล่ามอีกต่อไป เขาตั้งใจจะหยุดการต่อสู้นี้เมื่อเขาเป็นฝ่ายกลับมาได้เปรียบ หากทำเช่นนี้เขาก็ไม่ได้ไม่ต้องล่วงเกินหลิงฮัน แถมยังรักษาหน้าได้ด้วย

ส่วนหลี่หยวนหมิงน่ะรึ? บัดซบ มันจะเป็นยังไงก็ช่าง

ทั้งสองคนเข้าปะทะกัน เป็นเรื่องยากอย่างมากที่จะดูว่าฝ่ายใดกันแน่ที่เหนือหรืออ่อนแอกว่ากัน

จ้าวเชาเหิงต้องการจะหยุดการต่อสู้นี้โดยไว เขานำกระบี่ยาวออกมาพร้อมกับอักขระบนใบกระบี่ที่ส่องแสงสว่าง กระบี่เล่มนี้คืออาวุธวิญญาณที่เขาสร้างขึ้นมาเอง แต่ก่อนมันเป็นเพียงอาวุธที่ทำจากแร่เหล็กระดับเจ็ด แต่หลังจากการฟูมฟักหลายสิบปี มันก็เลื่อนระดับกลายเป็นอาวุธวิญญาณ

หลิงฮันมองไปยังกระบี่และอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าต้องการปะทะกับข้าด้วยอาวุธวิญญาณ?”

เมื่อถือกระบี่อยู่ในมือ ความมั่นใจของจ้าวเชาเหิงก็ทะทานสูงขึ้นเสียดฟ้า ด้วยอาวุธวิญญาณระดับเจ็ดนี้ มันจะช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ให้เอาถึงสิบหรือสิบสองเปอร์เซ็นต์เลยเลยทีเดียว

ดาบกำเนิดมารปรากฏขึ้นที่มือขวาของหลิงฮัน ‘ฟรุบ’ รูปแบบอักขระสามตัวปรากฏขึ้นมา กลิ่นของดาบดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก นี่คืออาวุธวิญญาณระดับสิบ ถึงแม้หลิงฮันจะยังใช้พลังของมันออกมาได้ไม่เต็มที่ แต่อาวุธวิญญาณเล่มนี้จะอ่อนด้อยกว่าอาวุธวิญญาณระดับเจ็ดรึ?

“อาวุธวิญญาณชิ้นนั้นคืออะไรกัน!” ใบหน้าของจ้าวเชาเหิงเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลของจอมยุทธระดับสวรรค์ สายตาของเขาย่อมไม่แย่ เขามองความน่าสะพรึงกลัวของดาบกำเนิดมารออกทันที

“เจ้าจะสู้หรือไม่?” หลิงฮันถือดาบและยิ้ม “บางทีกระบี่ของเจ้าอาจจะถูกข้าตัดขาดก็ได้!”

จ้าวเชาเหิงแสดงท่าทางลังเลทันที

ถ้าหลิงฮันเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานทั่วไป ถึงแม้เขาจะถืออาวุธวิญญาณระดับสิบเอาไว้ในมือ เขาก็คงไม่หวาดกลัว แต่โชคร้ายที่พลังต่อสู้ของหลิงฮันกลับสามารถทัดเทียมกับเขาได้ ดังนั้นจ้าวเชาเหิงจึงคิดหนักอย่างมาก

กระบี่ของเขาเป็นอาวุธวิญญาณที่เขาฟูมฟักมาหลายสิบปี แม้จะเกิดรอยบิ่นนิดเดียวจิตใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว

“ข้าขอไม่สู้!” เขาตัดสินใจเลือกทางออกที่ปลอดภัยไว้ก่อน เพราะอย่างไรเขากับหลี่หยวนหมิงก็ไม่ได้มีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นต่อกัน จ้าวเชาเหิงคุร่นคิดอยู่ชั่วขณะและพูดออกไป “น้องชาย หลี่หยวนหมิงคือทายาทของตระกูลหลี่ ซึ่งตระกูลหลี่มีตัวตนระดับสวรรค์คอยดูแลอยู่ ข้าแนะนำว่าเจ้าไม่ควรทำมากเกินไป”

หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าไม่ได้ทำมากเกินไป ข้าแค่จะสังหารมันก็เท่านั้น”

ใบหน้าของจ้าวเชาเหิงกระตุก นี่น่ะรึไม่ทำเกินไป? แต่เขาจะทำอะไรได้หากหลิงฮันจะสังหารหลี่หยวนหมิง เพราะอย่างไรเขากับหลี่หยวนหมิงก็ไม่ใช่พี่น้องกันเสียหน่อย

หลี่หยวนหมิงค่อยๆเดินถอยหลังด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นมันก็หันหลังและวิ่งหนีทันที แน่นอนว่ามันย่อมไม่อยากตาย

หลิงฮัไนม่ไล่ตาม เขานำคันศรตะวันยอแสงออกมาใส่ลูกศรเข้าไป ‘ฟุบ’ ลูกศรที่โอบล้อมไปด้วยประกายสายฟ้าถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็ว ‘ตูม’ ลูกศรเข้าทุละผ่านหัวใจของหลี่หยวนหมิงจากด้านหลัง

หลี่หยวนหมิงเดินต่อไปอีกสองสามก้าวก่อนที่ร่างของมันจะล้มลงกับพื้นพร้อมกับโลหิตที่ไหลนองออกมา สีหน้าของมันเป็นไปด้วยความสำนึกเสียใจ เขากับหลิงฮันไม่ได้มีความแค้นเคืองจนถึงขั้นจะฆ่ากันเลยแท้ๆ มันแค่ไปขวางทางหลิงฮันเท่านั้นเอง

ถ้ามันไม่ทำตัวหยิ่งยโสและใช้ชื่อเสียงของตระกูลหลี่ในการขู่เอาชีวิตหลิงฮัน ผลลัพธ์จะกลายเป็นเช่นนี้รึ?

แต่ถึงแม้จะมาเสียใจตอนนี้มันก็สายไปแล้ว ดวงตาของมันไม่ยินยอมที่จะปิดลง แต่หัวใจของมันก็ไร้วี่แววของพลังชีวิตไปแล้ว

หลิงฮันเดินตามไปเก็บลูกศรคืน เพราะอย่างไรมันก็เป็นถึงลูกศรที่สร้างขึ้นจากแร่เหล็กระดับเจ็ด

จ้าวเชาเหิงมองไปยังแผ่นหลังของหลิงฮันและเอ่ยถาม “น้องชาย เจ้ามีชื่อเรียกว่าอะไร?”

หลิงฮันหันมองกลับไปและกล่าว “หลิงฮัน”

“หลิงฮัน” จ้าวเชาเหิงหยักหน้าและกล่าวต่อ “ข้าจะเจ้าชื่อนี้ไว้! น้องชาย เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ทั้งๆที่ข้าบ่มเพาะพลังมานานกว่ากว่าหลายสิบปีแถมยังมีระดับพลังสูงกว่าเจ้ามากข้าก็ยังทำได้เพียงเสมอกับเจ้า แต่ยุคสมัยนี้มีอัจฉริยะโผล่ขึ้นมามากมายจริงๆ ตระกูลข้าวของข้าเองก็มีสุดยอดอัจฉริยะอยู่เช่นกัน ชื่อของเขาคือจื่อหยวน ตอนนี้เขามีอายุเพียงยี่สิบสามปี แต่บรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสองแล้ว พลังต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก”

หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ถ้ามีโอกาส ข้าก็จะประลองกับเขา”

จ้าวเชาเหิงพยักหน้า แต่ในใจของเขาก็มีความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย พรสวรรค์และศักยะภาพของเขาไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยใดก็นับว่าอยู่ในระดับหัวกะทิ แต่ยุคนี้สภาพแวดล้อมกลับเอื้ออำนวยต่อการฝึกฝนวรยุทธมากเกินไป เพราะพลังวิญญาณที่ถูกเก็บสะสมมานานกว่าหนึ่งหมื่นปีได้ทะลักออกมาอย่างไม่มีสิ้นสุด ยุคสมัยนี้จึงมีอัจฉริยะผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดและสามารถเหยียบย่ำรุ่นเยาว์ยุคก่อนได้อย่างง่ายดาย

มันจะยอดเยี่ยมขนาดไหนหากเขาเกิดช้ากว่านี้ซักห้าสิบปี

หลิงฮันเดินทางต่อ มือหนึ่งของฮูหนิวจับมือเขาเอาไว้ในขณะที่อีกมือถือขนมคบเคี้ยวกิน ส่วนเจ้ากระต่ายนั้นได้เดินตามเขาอยู่อีกด้าน เจ้ากระต่ายสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของพลังงานสายฟ้าที่น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

“ใกล้จะถึงแล้ว!” หลิงฮันมองไปด้านหน้าและแสดงท่าทีดีใจ อัสนีบาตเมฆาม่วงอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ถ้าหากเขาผสานกับมัน เขาจะสร้างกายาอัสนีได้สำเร็จ

ข้างหน้าเขา มีผู้คนมากมายกำลังเดินทางมาถึง ซึ่งที่นั่นมีบ่อน้ำอัสนีขนาดใหญ่ตั้งอยู่