บทที่ 105 ขอความช่วยเหลือ
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลซูแล้ว ซูเฉินก็เดินทางไปพบถังหงรุ่ยก่อนเป็นคนแรก หลังจากสอบถามนางเกี่ยวกับความเป็นไปในคฤหาสน์เพื่อยืนยันว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ไม่เกิดปัญหาใดแล้ว จากนั้นเขาถึงได้วางใจ
หลังจากซูเฟยหูเข้ามาจัดการตระกูลแล้ว บรรยากาศในตระกูลซูก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ในวันนี้ไม่มีผู้ใดในตระกูลซูกล้าหาเรื่องซูเฉินดั่งแต่ก่อน
แต่ถึงไม่มีการสนับสนุนของซูเฟยหู ตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดกล้า
ซูเฉินเป็นนายน้อยประวัติดุร้าย เคยตีข้ารับใช้จนตาย ทำลายโฉมแม่เลี้ยง ทั้งยังต่อต้านบิดาตนเอง อีกทั้งยังเดินทางไปกลับจากเทือกเขาสีเลือดสามครั้งติดต่อกัน
หากกล่าวว่าในอดีตยังมีผู้ที่ไม่รู้ฐานะของเขา ในตอนนี้ก็นับได้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหลายปีมานี้ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินซูเฉินอีกต่อไป
หลังจากไปเยี่ยมเยียนมารดาตนแล้ว ซูเฉินก็กลับเรือนตน
หมิงชูและโจวหงต่างตื่นเต้นกับการกลับมาของซูเฉิน เมื่อเด็กหนุ่มกลับมาแล้ว เขาก็ทำการตรวจดูการฝึกตนของคนทั้งคู่ในทันที
หมิงชูเพิ่งเริ่มทำการบ่มเพาะพลัง ยังอยู่เพียงด่านหลอมกายาชั้นแรก การบำเพ็ญของเขาไม่รวดเร็วนัก ส่วนโจวหงเคยฝึกตนมาก่อน แต่ขาดทรัพยากรและการชี้แนะที่ดีพอเพราะถูกลดขั้นเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นจึงติดอยู่ที่ด่านหลอมกายาชั้นแปดมาโดยตลอด หลังจากซูเฉินมอบวิชาและเงินให้ การบ่มเพาะพลังของโจวหงจึงรุดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานมานี้เพิ่งทะลวงผ่านชั้นเก้าได้
ซูเฉินพึงพอใจเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มได้ให้กำลังใจโจวหง บอกกับอีกฝ่ายว่าเมื่อเขาทะลวงเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณแล้วจะมอบทักษะต้นกำเนิดให้สักหลายวิชา โจวหงได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก
หลังจากชี้แนะคนทั้งสองแล้ว เขาก็บอกให้ทั้งคู่ออกไป เมื่อซูเฉินเดินกลับไปยังห้องตนเอง เขาก็กล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะ คนอื่นไปกันแล้ว เจ้าเผยตัวออกมาได้แล้ว”
เงาร่างเยี่ยเม่ยค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
นางจ้องซูเฉินด้วยความตกตะลึง “วิชาซ่อมลมหายใจของข้าฝึกจนถึงขั้นสูง ตอนซ่อนตัวข้าก็ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ข้ากระทั่งปรับอุณหภูมิในร่างและการหายใจด้วยซ้ำ คนตาดียังไม่อาจจับสังเกตได้ แล้วเจ้าทำได้อย่างไร ? ”
ซูเฉินตอบเสียงเรียบ “อ้อ ก็ทุกครั้งที่ข้ากลับมา เจ้ามักจะรออยู่ในห้องข้าเช่นนี้ ดังนั้นข้าก็เพียงเรียกไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าเจ้าจะอยู่จริง ๆ”
“เจ้า……” เยี่ยเม่ยเกือบกระอักเลือดออกมา
นางจ้องเขาเขม็ง “กลิ่นอายพลังต้นกำเนิดจากร่างเจ้าเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว ดูท่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อยแล้ว”
“หากข้าไม่แข็งแกร่งขึ้น เช่นนั้นข้าจะเดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือดเพื่ออันใดเล่า ? ”
“หึ” เยี่ยเม่ยนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ของซูเฉิน มันทำจากไม้เนื้อแดง มีอสูรเก้าตนแกะสลักไว้บนเนื้อไม้ “ข้ามาหาเจ้าเพราะพวกข้ามีเรื่องต้องการให้เจ้าช่วย”
“ไม่แปลก หากไม่ใช่เจ้าช่วยข้า ก็เป็นข้าช่วยเจ้า แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลงเดิม อยากให้ข้าช่วยต้องมีของแลกเปลี่ยน”
“เจ้าต้องการสิ่งใด ? ”
“ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าต้องการให้ข้าทำเรื่องอะไร”
เยี่ยเม่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ยินว่าเจ้าอยากรับการทดสอบเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นใช่หรือไม่ ? ”
เมื่อได้ยินชื่อ ‘สถาบันมังกรซ่อนเร้น’ ซูเฉินก็ยิ้มกว้างมีความนัย
สถาบันมังกรซ่อนเร้นเป็นสถาบันผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอันดับหนึ่งในแผ่นดินหลงซาง ตั้งอยู่ที่เมืองฉางผาน ผู้ที่จบมาจากสถาบันแห่งนี้อาจกล่าวว่าเป็นผู้ที่สวรรค์ชั้นฟ้าชี้นิ้วเลือกมาแล้ว อนาคตไกลและรุ่งโรจน์นัก
ในทุกปี สถาบันมังกรซ่อนเร้นจะรับลูกศิษย์ไม่มากนัก แผ่นดินกว้างขวางหากแต่รับคนเข้าสถาบันเพียงหนึ่งพันคน นี่ย่อมหมายถึงศิษย์ที่รับเข้าไปแต่ละคนคือยอดฝีมือ อำนาจของเมืองหลินเป่ยในแผ่นดินหลงซางมีไม่มาก ได้รับโอกาสจากสถาบันเพียงสิบปีครั้ง ทั้งยังรับคนเพียงสี่คน
ไม่ว่าจะเป็นซูเฉิน หลินเย่เม่า หรือคนอื่น ๆ ต่างมีจุดประสงค์หมายเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นกันทั้งนั้น
หากแต่ดูจากที่เยี่ยเม่ยเอ่ยถามเช่นนี้ ซูเฉินจึงพอคาดเดาได้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง
ซูเฉินพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ถูกต้อง มีเรื่องอันใดหรือ ? ”
“จำตอนที่เจ้าพบพวกเราครั้งแรกได้หรือไม่ ? ” เยี่ยเม่ยถาม
“ย่อมต้องจำได้ ข้าจะลืมลงได้อย่างไร ข้าเผลอไปได้ยินบทสนทนาของตาแก่ซางกับหลินเซี่ยเข้า” ซูเฉินตอบ
“ถูกต้อง เช่นนั้นเจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อ ‘เนินกลบวิญญาณ’ ถูกต้องหรือไม่ ? ”
ซูเฉินพยักหน้า
เยี่ยเม่ยจึงกล่าวต่อ “เนินกลบวิญญาณเป็นสถานที่ลับที่ทางองค์กรพยายามตามหาและเปิดทางเข้ามานานแล้ว เดิมทีเป็นเพราะเราไม่อยากให้เรื่องนี้ถูกเปิดเผย ทางองค์กรจึงส่งข้ามาสังหารเจ้า แต่เจ้ากลับฉลาดนัก ทั้งยังหาทางลงเอาไว้ สุดท้ายข้าจึงไม่อาจสังหารเจ้า แต่กลับคบเป็นสหาย ตั้งแต่นั้นก็ร่วมมือช่วยเหลือกันเรื่อยมา”
“ถูกต้อง ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะสวรรค์ลิขิตให้เป็นเช่นนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องจะดำเนินมาเช่นนี้ได้” ซูเฉินทำทีเป็นถอนหายใจ แม้ในใจจะเดาได้ว่านางจะพูดสิ่งใดต่อไป แต่ก็ยังเอ่ยถามขึ้น “เช่นนั้นอย่างไรต่อ ? ”
“เดิมทีทางองค์กรต้องการเปิดเนินกลบวิญญาณเพื่อนำของบางอย่างด้านในออกมา เช่นนั้นก็จบเรื่อง หากแต่ทางองค์กรไม่คิดว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น”
“เหตุไม่คาดฝัน ? ” ซูเฉินท่าทางตกตะลึงนัก “เหตุไม่คาดฝันอันใด ? เกี่ยวกับข้าหรือไม่ ? ”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” เยี่ยเม่ยส่ายหน้า จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโห “สถาบันมังกรซ่อนเร้น…… มีเจ้าบัดซบผู้หนึ่งเปลี่ยนแปลงสถานที่ลงชื่อเข้ารับการประลองในปีนี้เป็นที่เขายอดแดง”
ซูเฉินได้ยินเช่นนั้นก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ
โยกย้ายการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นไปยังเขายอดแดงเช่นนี้ ต้องเป็นฝีมือกู่ชิงลั่วเป็นแน่
พี่ชายของกู่ชิงลั่ว กู่เวยเฉิน เป็นแม่ทัพกองทหารม้าของแผ่นดินหลงซาง หัวหน้าค่ายทหารหุบเขาหยก ทั้งยังเป็นศิษย์อัจฉริยะของสถาบันมังกรซ่อนเร้น คนคนนี้นั้นเคยเป็นศิษย์สายตรงของเหออวี้ชูแห่งสถาบันมังกรซ่อนเร้น ตัว “หยก” ในค่ายทหารหุบเขาหยกมีความเกี่ยวข้องกับเหออวี้ชู (1)
ด้วยเส้นสายเช่นนี้ หากกู่เวยเฉินบอกให้สถาบันมังกรซ่อนเร้นเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดการประลองเข้าสถาบันในเมืองหลินเป่ยแล้ว สำหรับเขานับว่าไม่ใช่เรื่องยาก
หากแต่สำหรับอารามนิรันดร์แล้ว เรื่องนี้นับว่าสร้างปัญหาเป็นอย่างมาก
ยามที่สถานที่การประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นเปลี่ยนไปเป็นที่เขายอดแดง สิ่งแรกที่เมืองหลินเป่ยทำย่อมเป็นการปิดพื้นที่โดยรอบเขา กันไม่ให้คนนอกเข้าหรือออกได้โดยง่าย ทั้งนี้ก็เพื่อจัดการอสูรกายที่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการสอบ และเป็นการควบคุมคน เพื่อไม่ให้ผู้ใดขึ้นเขามาเตรียมการในพื้นที่ก่อนได้
บังเอิญว่าเนินกลบวิญญาณตั้งอยู่ใกล้กับเขายอดแดง สถาบันมังกรซ่อนเร้นทำเช่นนี้ แผนของอารามนิรันดร์ที่คิดจะเข้าไปยังเนินกลบวิญญาณจึงถูกทำลายโดยพลัน
เมื่อเยี่ยเม่ยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ซูเฉินก็ทำเป็นประหลาดใจ “เป็นเช่นนี้เองหรือ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องบังเอิญมาก…… พวกเจ้ารอจนการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นจบลงแล้วค่อยไปไม่ได้หรือ ? ”
“ไม่ได้” เยี่ยเม่ยส่ายหน้า “เนินกลบวิญญาณเต็มไปด้วยกับดักมากมาย และค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่ทำให้สามารถเดินทางเข้าไปในเนินกลบวิญญาณอย่างปลอดภัยจะเปิดออกในวันเวลาเฉพาะเท่านั้น มิเช่นนั้นความลับภายในจะไม่เผยตนออกมา เวลาช่วงนั้นดันทับซ้อนกับช่วงการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นพอดิบพอดี หากเราพลาดโอกาสนี้ไป ก็ต้องรอไปอีกหนึ่งพันปี”
เป็นไปอย่างที่คิด ซูเฉินเอ่ยในใจ
ก่อนหน้าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่การประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น ซูเฉินและกู่ชิงลั่วคาดเดากันว่าเวลาเปิดเนินกลบวิญญาณอาจจะมีช่วงเวลาจำกัด ไม่เช่นนั้นคงไม่รอมาเป็นพันปีเพื่อเปิดเข้าไป และคงไม่ยอมปล่อยให้ซูเฉินขูดรีดเช่นนั้น
แต่คำถามสำคัญคือเนินกลบวิญญาณจะเปิดขึ้นในตอนไหนกันแน่ เพื่อไขปัญหานี้ ซูเฉินและกู่ชิงลั่วจึงค้นหาตำราโบราณหลากหลายเล่ม สุดท้ายก็ได้คำตอบว่าเนินกลบวิญญาณก่อสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 22 ของเดือน 7 วันเดียวเดือนเดียวกันของปีนี้นับเป็นปีที่เจ็ดพันตั้งแต่เนินกลบวิญญาณก่อสร้างเสร็จสิ้น เมื่อนำมาควบรวมกับการที่อารามนิรันดร์เข้ามาเกี่ยวพันในเวลาเช่นนี้ แล้วยังข้อมูลที่เขาแอบได้ยินมาโดยบังอิญ หลังจากนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์รวมกัน คนทั้งคู่จึงได้ข้อสรุปว่าเนินกลบวิญญาณน่าจะเปิดออกในวันนั้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นอารามนิรันดร์จึงถูกซูเฉินและกู่ชิงลั่วคาดเดาการกระทำไว้แล้ว
ในตอนนั้นเอง ซูเฉินกล่าวขึ้นว่า “เป็นเช่นนี้เอง อย่างนั้นเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลืออย่างไร ? การประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่ใช่การประลองแข่งขันธรรมดา หากเจ้าต้องการให้ข้าพาเจ้าเข้าไปด้วย ข้าคงไร้ความสามารถ”
“เราไม่ต้องการให้เจ้าพาใครเขาไป แต่ต้องการให้เจ้าเข้าไปแทนเรา”
“เข้าไปแทนพวกเจ้า ? ”
“ถูกต้อง เข้าไปแทนพวกข้า หากเจ้าสามารถเข้าไปในเนินกลบวิญญาณในระหว่างการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นและนำสิ่งที่เราต้องการภายในออกมาได้”
“เรื่องนี้……” ซูเฉินลังเลเล็กน้อย “สถาบันมังกรซ่อนเร้นสำคัญกับอนาคตข้ามาก หากข้าแพ้…… ไม่ ข้าไม่ตกลง”
เยี่ยเม่ยได้ยินดังนั้นก็โมโหนัก
นั่นคือเนินกลบวิญญาณเชียวนะ ! ด้านในมีแต่โอกาสอันดีมากมายซุกซ่อนอยู่
อารามนิรันดร์ลงแรงไปมากมายกว่าจะหาสถานที่และวิธีเปิดพบ ตอนนี้พวกเขาขอให้เจ้าเข้าไปแทน แต่เจ้าไม่เต็มใจงั้นหรือ ?
แม้ท่าทางไม่เต็มใจของเขาจะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับเรื่องนี้ เยี่ยเม่ยก็อดกลอกตาใส่เขายามได้ยินเช่นนั้นไม่ได้ “ของที่อยู่ในสถานที่นั้นมีค่ามากมายกว่าสถาบันมังกรซ่อนเร้นนัก ไม่อาจรู้ได้ว่ามีมูลค่าสูงกว่ากี่เท่า”
“หึ ก็แค่ของที่ฝังอยู่ในดิน จะไปมีประโยชน์อันใด ? ที่ข้าต้องการคือการเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น ข้าไม่สนเรื่องทางโลกอย่างเงินหรือทองแม้แต่น้อย”
เจ้ากล้าพูดเช่นนี้หรือ ? เยี่ยเม่ยเกือบแผดเสียงออกมา
ใครที่ขูดรีดเอาเครื่องมือต้นกำเนิดไปจากองค์กรอย่างไม่กลัวตายกัน ?
แล้วใครที่จ้างทหารรับจ้างไปบุกกองกำลังหุบเขาเงา ?
แล้วตอนนี้เจ้ากลับบอกว่าเจ้าละทิ้งเงินตราทางโลก มุ่งบำเพ็ญเพียรตนอย่างเดียวแล้วงั้นหรือ ?
แต่ถึงแม้ในใจจะเดือดดาลนัก เยี่ยเม่ยก็ทำได้เพียงเอ่ยเสียงลอดไรฟันอย่างอดทน “เจ้าเชื่อข้า ด้านในมีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น หากเข้ายินดีช่วยเหลือ ข้ารับประกันได้ว่านอกจากสิ่งของที่เราต้องการไม่กี่อย่างแล้ว ที่เหลือเป็นของเจ้าทั้งหมด”
อย่างเจ้าหรือจะรับประกันได้ ! ซูเฉินแอบสบถอยู่ในใจ
คำที่ว่า “นอกจากสิ่งของที่เราต้องการไม่กี่อย่างแล้ว ที่เหลือเป็นของเจ้าทั้งหมด” คงจะเป็นข้อเสนอสุดท้ายที่หัวหน้าองค์กรเจ้าบอกเจ้ามาใช่หรือไม่ ?
แต่เปิดการต่อรองมา เจ้ากลับโยนข้อเสนอสุดท้ายให้เช่นนี้เลย
หากทางองค์กรปล่อยให้คนอย่างเจ้าที่มีความสามารถทางการต่อรองต่ำเตี้ยเรี่ยดินมารับปากเรื่องเช่นนี้คงจะแปลกนัก
ซูเฉินเอ่ยสีหน้าไม่เปลี่ยน “แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามีสิ่งใดในนั้นบ้าง ? หากว่านอกจากสิ่งที่พวกเจ้าต้องการแล้ว ที่นั่นไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่เลยเล่า ? เช่นนั้นข้าก็เสียแรงเปล่า”
“ไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่นอน……” เยี่ยเม่ยรีบเอ่ย
หากแต่ซูเฉินพูดขัดนาง “การประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นครั้งนี้ สำหรับข้าสำคัญยิ่ง ข้าไม่แบ่งความสนใจไปทำสิ่งอื่นเพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ไม่แน่ว่าอาจจะได้มาเล็กน้อยหรอก กลับไปบอกพวกเขาว่าข้าไม่อาจช่วยได้”
“ก็ได้” เยี่ยเม่ยรู้ว่านางไม่อาจเกลี้ยกล่อมซูเฉินในตอนนี้ได้ ดังนั้นจึงเอ่ยเพียง “ข้าจะกลับไปรายงานพวกเขา แต่เราไม่มีทางยอมแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้แน่”
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะยอมแพ้หรือไม่ ข้าบอกไปอย่างชัดเจนแล้ว อีกทั้ง…… กลับไปบอกนายเจ้า ว่านอกจากเจ้าแล้วข้าจะไม่คุยกับคนอื่น”
“เจ้าไว้หน้าข้าเช่นนี้เลยหรือ ?” เยี่ยเม่ยได้ยินแล้วดีใจนัก
“แน่นอน” ซูเฉินตอบพร้อมเสียงหัวเราะ
ไว้หน้าบ้านเจ้าสิ ! หากครั้งหน้าเปลี่ยนคนเก่งกว่านี้มา ไม่ใช่คนบื้อเช่นเจ้าอีก ข้าจะทำอย่างไรเล่า ?
——————————
หลังจากส่งเยี่ยเม่ยกลับ กังเหยียนก็เดินเข้ามา โดยที่ซูเฉินยังไม่ทันได้นั่งพักด้วยซ้ำ
สิ่งแรกที่เขาเอ่ยคือ “มีเรื่องเกิดขึ้นกับหลินเย่เม่า”
“เกิดอะไรขึ้น ? ” ซูเฉินชะงักไป
“ท่านมาดูเองจะดีกว่า”
เชิงอรรถ
ตัว “อวี้” ในชื่อเหออวี้ชู (玉) แปลว่าหยก