ภาคที่ 1 บทที่ 106 อุปสรรคใหม่

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 106 อุปสรรคใหม่

 

 

ในเรือนของเขามีห้องศิลาอยู่ห้องหนึ่ง ซูเฉินเคยใช้ห้องนั้นเป็นสถานที่ฝึกทักษะวิชาการดูดซับ ในปัจจุบันห้องแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ใช้ลงโทษเหล่าข้าทาสบริวารของเขา

 

 

หลินเย่เม่าถูกนำมาไว้ที่ห้องแห่งนี้

 

 

เมื่อเข้าห้องไป ซูเฉินก็พบหลินเย่เม่าที่นอนอยู่บนเตียง ร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

 

ทั่วทั้งร่างมีขนสีดำขึ้นมา นัยน์ตาปูดโปนออกมาดั่งปลา แขนขาบิดเบี้ยวผิดรูป ราวกับมีบางสิ่งกำลังดึงพวกมันไว้

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” ซูเฉินเห็นภาพแล้วแทบพูดไม่ออก

 

 

กังเหยียนส่ายหัว “ข้าก็ไม่มั่นใจ หลังจากพาเขากลับมาไม่นานก็เป็นเช่นนี้”

 

 

“ตอนพามา เจ้าพบผู้ใดบ้างหรือไม่ ? ”

 

 

“ไม่ขอรับ ข้าใส่เขาไว้ในถุงกระสอบแล้วแบกกลับมา ระหว่างทางไม่ได้หยุดพักเลย”

 

 

“ช่วย……อึก……ช่วยข้า……อึก” หลินเย่เม่าพยายามร้องออกมา หากแต่น้ำเสียงออกมาไม่ชัดเจนนัก ถึงกระนั้นซูเฉินก็ยังฟังออกอยู่คำหนึ่ง “ช่วยด้วย”

 

 

หลินเย่เม่ามองซูเฉินนัยน์ตาหวาดกลัวนัก

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ” เมื่อเห็นสภาพหลินเย่เม่า กังเหยียนก็เริ่มตื่นตกใจมากขึ้น

 

 

“ข้าต้องตรวจอาการเขาก่อน กังเหยียน เฝ้าประตูไว้ อย่าให้ผู้ใดเข้ามาเด็ดขาด” ในตอนที่ซูเฉินเอ่ยขึ้น เขาก็ดึงแท่นประดิษฐ์ ถ้วยแก้ว และเครื่องมือทดลองต่าง ๆ ออกมาจากแหวนกักเก็บเรียบร้อยแล้ว

 

 

เขาดึงหลอดฉีดยาขึ้นมาดูดเอาเลือดจากหลินเย่เม่า

 

 

หลังจากส่งพลังต้นกำเนิดไปที่นัยน์ตาทั้งสองข้างแล้ว ซูเฉินก็เห็นว่าเลือดของหลินเย่เม่าเปลี่ยนไปเป็นแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

สสารต้นกำเนิดชนิดใหม่ถูกสร้างขึ้นในเลือดของหลินเย่เม่า

 

 

ซูเฉินไม่เคยเห็นสสารต้นกำเนิดตัวนี้ในร่างหลินเย่เม่ามาก่อน

 

 

เช่นนั้นมันมาจากไหน ?

 

 

ซูเฉินไม่เข้าใจ

 

 

เขาทำการสังเกตต่อไปและพบว่าสสารต้นกำเนิดตัวนี้ถูกสร้างขึ้นเองในเลือดของหลินเย่เม่า

 

 

ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างถูกซุกซ่อนเอาไว้ในเลือดของหลินเย่เม่า อยู่ลึกมากจนตาซูเฉินไม่อาจมองเห็น……

 

 

ราวกับภูตผีที่เผยร่างขึ้นมาจากใต้ทะเลลึก มันบุกรุกและเปลี่ยนแปลงสายเลือดของหลินเย่เม่า ในตอนที่กำลังเปลี่ยนแปลงนั้นก็นำมาซึ่งความเจ็บปวดให้เจ้าของร่าง

 

 

เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ?

 

 

ซูเฉินตะลึงไป

 

 

สสารต้นกำเนิดนี่มันคืออะไรกันแน่ ? เหตุใดจึงเพิ่งมาปรากฏเอาตอนนี้ ?

 

 

มีอะไรเป็นตัวเร่งปฏิกิริยากัน ?

 

 

ซูเฉินไม่รู้ หากแต่รู้แน่ชัดว่าเช่นนี้ไม่ใช่ยาพิษ

 

 

ระหว่างการทดลองบนเทือกเขาสีเลือด ซูเฉินทำการสังเกตยาพิษที่แตกต่างกันถึงสามสิบตัวว่าพิษเหล่านี้ทำลายร่างกายมนุษย์ได้อย่างไร

 

 

กล่าวได้ว่าหากการไหลเวียนของเลือดสามารถแบ่งออกได้หลายชั้น พิษทั้งหลายล้วนไหลเวียนอยู่ที่ชั้นนอกสุด เป็นสิ่งที่สามารถใช้นัยน์ตาคู่นี้ของเขาสังเกตได้ง่ายที่สุด

 

 

ในเมื่อสสารต้นกำเนิดนี้ไม่ใช่พิษ เช่นนั้นมันเป็นอะไรกันแน่ ?

 

 

ซูเฉินพยายามค้นสมองหาคำตอบ

 

 

ก่อนหน้านี้หลินเย่เม่าไม่เคยมีโอกาสได้พบใครมาก่อน

 

 

ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องเกิดจากสิ่งที่ซูเฉินทดลองกับเขาเป็นแน่

 

 

แต่ในหนึ่งร้อยวันที่ผ่านมา เขาทดลองหลายสิ่งมาก เช่นนั้นเป็นอะไรกันแน่ ?

 

 

อาจไม่ได้เกิดจากสิ่งเดียวเสียด้วยซ้ำ

 

 

หลินเย่เม่าถูกทดลองมาแล้วตั้งนาน หากแต่อาการเพิ่งปรากฏขึ้นในวันนี้ เช่นนี้หมายความว่าอาจจะไม่ใช่อาการฉับพลัน น่าจะเป็นสิ่งกระตุ้นที่เข้าร่างมานานแล้วมากกว่า

 

 

สิ่งกระตุ้นงั้นหรือ ?

 

 

ซูเฉินตกตะลึง

 

 

ในหัวเด็กหนุ่มคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นรีบผสมยากระตุ้นสายเลือดโบราณขึ้นในพลัน

 

 

หลังจากลองเทยานั่นลงในหลอดแก้วที่เต็มไปด้วยเลือดแล้ว เขาก็ส่งพลังต้นกำเนิดไปที่นัยน์ตาก่อนจะเริ่มทำการสังเกตุการณ์

 

 

ซูเฉินพบว่าสสารต้นกำเนิดชนิดใหม่นี้มีอัตราการเกิดมากขึ้น

 

 

“เป็นยากระตุ้นสายเลือดโบราณ ! ” ซูเฉินชะงักไปในพลัน

 

 

“อะไรนะ ? ” กังเหยียนไม่เข้าใจ

 

 

ซูเฉินจ้องหลินเย่เม่าด้วยนัยน์ตาตกตะลึง “สายเลือดของเขากำลังหวนคืนยุคบรรพบุรุษ”

 

 

————————————————

 

 

“นายท่านหมายความว่า ยากระตุ้นสายเลือดโบราณสามารถทำให้สายเลือดของเขากลับคืนสู่สภาพก่อนกาลได้สำเร็จงั้นหรือ ? แท้จริงแล้วไม่ใช่สูตรยาที่ทดลองไม่สำเร็จหรอกหรือ ? ” กังเหยียนถามซูเฉิน

 

 

“ถูกต้อง สายเลือดเขา ดูแล้วกำลังจะเปลี่ยนแปลงกลับไปเป็นสายเลือดในสมัยก่อนกาล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวยาสำเร็จ” ซูเฉินตอบ พยายามคุมอาการหลินเย่เม่าให้ทรงตัว

 

 

“อูเอ่อร์หลี่หวังไว้ว่าการพลิกสายเลือดนี้ ก็เพื่อใฝ่หาพลังขั้นสุดของสายเลือดในร่างตนเอง หากแต่การพลิกกลับในตอนนี้นั้นมันเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายภายนอกและภายในเสียมากกว่า จึงนับว่าเป็นการพลิกกลับที่ผิดพลาด”

 

 

“แน่นอน ไม่ว่าจะอย่างไรผลที่เกิดขึ้นก็แสดงให้เห็นว่ามันสามารถพลิกสายเลือดกลับไปเป็นสมัยก่อนกาลได้ ซึ่งนับว่าเป็นความสำเร็จในขั้นแรก หากเราค้นคว้าต่อไปตามเส้นทางนี้ ไม่แน่ว่าอาจะได้ตัวยาที่เขาต้องการ”

 

 

อูเอ่อร์หลี่คงไม่คิดว่ายาสูตรนี้ของตนไม่ใช่สูตรที่ผิดพลาดไปเสียทั้งหมด แท้จริงแล้วยังมีผลทำให้สายเลือดพลิกกลับไปยังสมัยก่อนกาลได้ แต่จำต้องกลืนยาลงไปมากถึงสามร้อยขวดก่อนที่ตัวยาจะออกผล

 

 

หากซูเฉินไม่ได้ใช้ยาตัวนี้ในการวิเคราะห์สายเลือดของหลินเย่เม่า เขาก็คงไม่รู้ว่ายาชนิดนี้ให้ผลแบบนี้ด้วยเช่นกัน

 

 

การค้นพบและการสร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่ยิ่งใหญ่ หลายครั้งเกิดจากความบังเอิญเช่นนี้

 

 

ไม่ว่าจะได้มาด้วยปาฏิหาริย์หรือเป็นผลพลอยได้จากการทดลองใด ๆ ……

 

 

อาจกล่าวได้ว่าซูเฉินเพียงโชคดีมากเท่านั้น

 

 

เขาได้สสารต้นกำเนิดสายเลือดอสรพิษทะยานมาโดยบังเอิญ และยังรู้ผลของยากระตุ้นสายเลือดโบราณผ่านการทดลองของตนโดยบังเอิญเช่นนี้อีก

 

 

หากแต่โชคดีเช่นครั้งนี้ต้องใช้เวลาเป็นตัวพิสูจน์คุณค่า

 

 

แต่ในตอนนี้ ‘โชค’ ครั้งนี้นับว่าเป็นปัญหาใหญ่

 

 

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรกับเขา ? ” กังเหยียนถาม

 

 

เห็นหลินเย่เม่าที่นอนร้องครวญครางอยู่เช่นนี้ ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ถ่ายเลือดออกมาบางส่วน ป้อนยาและสมุนไพรที่ข้ามีให้เขา ข้าจะได้รู้ว่ายาหรือสมุนไพรตัวไหนสามารถต้านผลของสสารต้นกำเนิดชนิดนี้ได้”

 

 

ซูเฉินเริ่มลงมือทำการทดลองในทันที ใช้ยาหลายชนิดหวังหยุดยั้งสสารต้นกำเนิดชนิดใหม่นี้

 

 

หลินเย่เม่ายังคงส่งเสียงร้องเจ็บปวดไม่หยุด การถ่ายเลือดช่วยลดการเปลี่ยนแปลงในร่างลงได้ก็จริง หากแต่สายเลือดในร่างยังไม่ได้หยุดพลิกกลับไปยังยุคก่อนกาล หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาต้องสิ้นใจเป็นแน่

 

 

“เขาเกือบทนไม่ไหวแล้ว” กังเหยียนพูดขึ้น เขาอุ้มอ่างที่เต็มไปด้วยเลือดสด ๆ ไว้ “เริ่มกระอักเลือดออกมาแล้วด้วย…… ให้ข้าถ่ายเลือดในร่างเขาออกมามากกว่านี้หรือไม่ ? ”

 

 

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่ง ! ” ซูเฉินยังคงลองตัวยาหลากหลายชนิดอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สายตาก็สังเกตสายเลือดในร่างไปด้วย

 

 

เคราะห์ดีที่ครั้งนี้เขาพกสมุนไพรและตัวยาหลายชนิดมาเพียงพอ เพราะก่อนหน้านี้เขาใช้พวกมันในการทดลองไปเยอะมาก ในตอนนี้จึงมีตัวยาที่ปรุงแล้วเหลือให้ใช้เป็นจำนวนมาก

 

 

เด็กหนุ่มใช้นัยน์ตาทั้งสองข้างไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้พวกมันล้านัก แต่ซูเฉินไม่อาจหยุดมือตอนนี้ได้

 

 

เขาปล่อยให้หลินเย่เม่าตายไม่ได้ อย่างน้อย ๆ จะให้เจ้านี่มาตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด !

 

 

ซูเฉินทำการทดลองอย่างบ้าคลั่งต่อไป

 

 

ในที่สุด หลังจากผ่านการทดลองตัวยานับครั้งไม่ถ้วน ซูเฉินก็เห็นว่าสสารต้นกำเนิดตัวใหม่ค่อย ๆ ลดลงอย่างมีนัยยะ และหายไปในที่สุด ราวกับถูกศัตรูคู่อ่ฆาตทำลายเสียสิ้น

 

 

“เจอแล้ว ! ” ซูเฉินร้องขึ้นด้วยความดีใจ “เป็นหญ้าหินคราม ! ป้อนหญ้าหินครามให้เขาเสีย ! ”

 

 

กังเหยียนไม่สนอีกต่อไปว่ายานี้จะมีผลข้างเคียงร้ายแรงหรือไม่ เขาคว้าตัวยามาหนึ่งกำมือแล้วยัดเข้าปากหลินเย่เม่าในทันที “กินเสีย หากเจ้ายังไม่อยากตายก็กินมันลงไป”

 

 

หลินเย่เม่ายังคงส่งเสียงร้องโอดโอยไม่หยุด หากแต่ก็พยายามกลืนมันลงไป

 

 

“เช่นนั้นไม่ได้ ! ” ซูเฉินรีบพุ่งเข้ามา คว้าหญ้าหินครามมาบดจนละเอียด “เจ้าต้องบดมันให้ละเอียดแล้วป้อนน้ำของมันให้เขา”

 

 

ตัวยาสีครามหยดลงไปในปากหลินเย่เม่า ในที่สุดหลินเย่เม่าก็สงบลง

 

 

ในตอนที่หญ้าหินครามกำลังเริ่มออกฤทธิ์ ร่างของเขาก็หยุดสั่น ลมหายใจค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ

 

 

ขนสีดำทั่วร่างพลันจางหายไป ตาที่ปูดถลนออกจากเบ้าค่อย ๆ กลับไปเป็นดังเดิม กระทั่งแขนขาที่บิดเบี้ยวผิดรูปก็กลับไปเป็นสภาพปกติ

 

 

“สำเร็จหรือไม่ ? ” กังเหยียนถามน้ำเสียงตื่นเต้น

 

 

“อืม” ซูเฉินตอบเสียงเย็นชา หากแต่บนใบหน้าไร้ซึ่งความยินดี

 

 

กังเหยียนเห็นว่าซูเฉินดูอารมณ์ไม่ดีนัก ดังนั้นจึงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอยถามขึ้น “ยาชนิดนี้…… มีผลข้างเคียงหรือไม่ ? ”

 

 

กังเหยียนติดตามซูเฉินมานาน ดังนั้นจึงเข้าใจคำว่า “ผลข้างเคียง”

 

 

ซูเฉินตอบ “หญ้าหินครามใช้ทำผงชะงักเลือด”

 

 

“ผงชะงักเลือดคืออะไร ? ” กังเหยียนไม่เข้าใจ

 

 

“เป็นยาพิษสายเลือดชนิดหนึ่ง ผู้ที่กินยาชนิดนี้เข้าไปจะทำให้สายเลือดในร่างเสื่อมลง สายเลือดผสมจะหายไป ส่วนสายเลือดที่ได้รับสืบทอดมาจะเข้าสู่สภาวะจำศีล”

 

 

“ไม่แปลกที่ให้ผลเร็วเช่นนี้…… เดี๋ยวก่อนนายท่าน เช่นนี้…… หมายความว่าสายเลือดอสรพิษทะยานของเขา……” กังเหยียนเบิกตากว้าง

 

 

“หายไปแล้ว” ซูเฉินตอบ “เราป้อนหญ้าหินครามให้เขามากเกินไป ตอนนี้ไม่เพียงสายเลือดอสรพิษทะยานในร่างเขาหายไป แต่จากนี้ต่อไปร่างกายเขาไม่อาจรับสายเลือดใดเข้ามาอีก”

 

 

กระทั่งผู้ที่ซื่อตรงเปิดเผยอย่างกังเหยียนยังเข้าใจความนัยเบื้องหลังประโยคนี้

 

 

ใบหน้าชายร่างโตเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “เรามีปัญหาแล้ว”