ภาคที่ 1 บทที่ 107 แขก (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 107 แขก (1)

 

 

ภายในห้องศิลา ซูเฉินและกังเหยียนกำลังนั่งเท้าคางมองหลินเย่เม่าที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง

 

 

สถานการณ์ที่กลายเป็นเช่นนี้นับได้ว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ทีเดียวสำหรับซูเฉิน

 

 

ตระกูลหลินย่อมไม่อาจรับเรื่องนี้ได้แน่ สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่เพียงหลินเย่เม่า หากแต่เป็นหลินเย่เม่าที่มีสายเลือดอสรพิษทะยานที่สามารถช่วยให้ตระกูลหลินแข่งขันกับตระกูลอื่น ๆ ในอนาคตได้

 

 

หากไร้ซึ่งสายเลือดอสรพิษทะยานแล้ว คุณค่าของหลินเย่เม่าจะหดหายไปมาก

 

 

มองจากมุมหนึ่ง ราวกับส่วนหนึ่งของเขาได้ตายจากไปแล้ว

 

 

หลินเย่เม่าจะถูกลดระดับความสำคัญไปเทียบเท่ากับซูเฉินในสายตาซูเฉินอัน

 

 

หากเป็นไปได้ ซูเฉินอันย่อมไม่ปล่อยให้ขอทานเฒ่าที่ทำให้ซูเฉินตาบอดหลบหนีไปได้

 

 

และหลินซิงหรงก็คงเป็นเช่นนั้นไม่ต่างกัน

 

 

ซูเฉินรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที

 

 

เขานั่งลงกับพื้นเงียบ ๆ มองหลินเย่เม่าที่นอนอยู่

 

 

เมื่อกังเหยียนเห็นใบหน้าเรียบเฉยเช่นนั้นของเด็กหนุ่ม ชายร่างใหญ่จึงไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมา

 

 

ทำให้บรรยากาศภายในห้องเริ่มเคร่งเครียดขึ้น

 

 

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ ในที่สุดซูเฉินก็ลุกขึ้นยืน

 

 

เขาเดินไปจับชีพจรหลินเย่เม่า หลังจากมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก จึงเอ่ยขึ้นว่า “กังเหยียน บอกหมิงชูให้ไปคฤหาสน์วายุเหนือน้ำแล้วซื้อเมามายเจ็ดวันมา”

 

 

“ยานั่นสามารถช่วยเขาได้หรือ ? ” กังเหยียนสีหน้าสับสน

 

 

“ช่วยไม่ได้ แต่มันสามารถทำให้เขานอนหลับพักผ่อนไปเจ็ดวันได้ ตราบเท่าที่เขายังไม่ฟื้น ตระกูลหลินก็จะยังไม่รู้เรื่องที่สายเลือดเขาหายไป”

 

 

“แต่เดี๋ยวอีกเจ็ดวันให้หลังพวกเขาก็จะรู้อยู่ดี”

 

 

“ดังนั้นเราจึงต้องจัดการปัญหานี้ก่อนหน้านั้น”

 

 

“แล้วเราจะจัดการอย่างไร ? ”

 

 

ซูเฉินไม่ตอบ แต่นัยน์ตากลับส่องประกายวาบขึ้น

 

 

——————————————

 

 

สามวันหลังจากนั้น

 

 

เมื่อหลินหย่วนเฉียวเห็นหลินเย่เม่านอนกรนอยู่ เขาก็ชะงักไป

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองซูเฉิน “เจ้าบอกว่าเขาเป็นแขกของคฤหาสน์ตระกูลซู ทำเช่นนี้เรียกว่าแขกได้หรือ ? ”

 

 

“พี่หลินกับข้าเจอหน้ากันก็นับเป็นสหาย ดังนั้นหลังจากกลับมาจึงดื่มกันไม่หยุด โชคร้ายที่พี่หลินเมามายยังไม่สร่าง ข้าเป็นเจ้าบ้านได้ไม่ดีพอ ขออภัยด้วย”

 

 

ซูเฉินเอ่ยเรื่องโกหกออกมาอย่างหน้าตาเฉย กระทั่งหลินหย่วนเฉียวได้ยินยังไม่อยากเชื่อ

 

 

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เชื่อคำซูเฉิน ดังนั้นหลินหย่วนจึงได้ไปเรียกตัวผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนมาคนหนึ่ง

 

 

หลินหย่วนเฉียวโบกมือ เป็นสัญญาณบอกให้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดผู้นั้นเข้าไปตรวจอาการหลินเย่เม่า เมื่อตรวจเสร็จ อีกฝ่ายจึงกลับมารายงานว่า “เขาถูกยาเมามายเจ็ดวัน จะตื่นขึ้นอีกครั้งในอีกเจ็ดวันให้หลัง ไม่ได้ถูกพิษขอรับ คงเป็นเพราะไม่ต้องการให้รับรู้ความลับตระกูลซู ดังนั้นจึงจงใจให้ยานี้แก่เขา”

 

 

หลังจากมั่นใจแล้วว่าหลินเย่เม่าไร้สิ่งผิดปกติใด หลินหย่วนเฉียวจึงเอ่ยขึ้น “ดูท่าข้าคงต้องจัดงานเบี้ยงสักหนึ่งงานให้นายน้อยซูเสียแล้ว ไม่เมาไม่เลิก”

 

 

ซูเฉินยิ้มตอบ “ข้าขออถัยที่ทำให้พี่หลินเมามายเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจะไม่แตะเหล้าอีก หวังว่าตระกูลหลินจะมีเมตตาพอ ไม่รบกวนข้าจนเกินไป…… ท่านหลิน ที่กล่าวว่าหากข้าไม่เมาไม่เลิก คงจะไม่ใช่เพื่อชำระแค้นในใจท่านใช่หรือไม่ ? ”

 

 

“หากข้าทำเจ้าเมาจริง ๆ มันคงได้เกิดข่าวลือแพร่ออกไปว่าคนตระกูลหลินมีความอดทนต่ำ แม้เรื่องเล็กน้อยยังเก็บมาเจ้าคิดเจ้าแค้น ? ใช่หรือไม่”

 

 

ซูเฉินยิ้มไม่เอ่ยคำใด หากแต่ดูจากท่าทีแล้วคงจะเป็นเช่นนั้น

 

 

หลินหย่วนเฉียวคำรามต่ำ “ช่างเรื่องนั้นเถอะ หากตระกูลหลินให้สัญญาแล้วย่อมไม่ตระบัตสัตย์ ในเมื่อเจ้าต้องการเข้าไปยังสวนสัตว์อสูร จะได้สิ่งใดกลับมานั่นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้า แต่ตระกูลหลินเชิญเพียงเจ้า คนอื่นไม่เชิญ”

 

 

แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่ที่สุดแล้วตระกูลหลินก็ตอบตกลง

 

 

ซึ่งเหตุที่ตระกูลหลินยอมให้ซูเฉินเวยนั้น มันก็เป็นเพราะเหตุผลดังนี้ หนึ่ง สมบัติที่สืบทอดกันมาในตระกูลได้ใช้ไปกับหลานเยว่จนสิ้นแล้ว ดังนั้นค่าของสวนสัตว์อสูรจึงลดต่ำลงมาก ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าซูเฉินจะชิงสิ่งใดไป สอง พวกเขายังเชื่อว่าซูเฉินตาบอด แม้จะมีของมีค่า แต่อีกฝ่ายก็คงไม่อาจรู้ได้

 

 

แต่กระนั้น นอกจากซูเฉินแล้ว พวกเขาก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าไปอีก

 

 

แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของซูเฉินไม่ใช่การเข้าไปในสวน

 

 

ซูเฉินยิ้มมองหลินหย่วนเฉียวจากนั้นเอ่ยขึ้น “แน่นอน”

 

 

——————————

 

 

เมื่อวันนั้นมาถึง ซูเฉินก็ได้เดินทางเข้าไปในสวนสัตว์อสูรตระกูลหลิน

 

 

เด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อย่างครั้งก่อนอีก ครั้งนี้เขาเข้ามาอย่างถูกต้อง

 

 

เขาทำท่าราวกับเดินอยู่ในสานหลังเรือนตน ซูเฉินเดินทอดน่องไปเรื่อย ใช้มือคลำทางไปตลอดทาง

 

 

เขาได้ยินเสียงเห่าหอนคำรามของอสูรร้าย ทั้งยังได้กลิ่นสาปอันเป็นเอกลักษณ์ของอสูรร้าย

 

 

ที่ด้านหลังมีคนอยู่สองคน เป็นศิษย์รุ่นที่สามของตระกูลหลิน คนหนึ่งชื่อหลินเยว่หาน อีกคนชื่อหลินโส่วเยี่ย

 

 

สำหรับพวกเขาสองคนแล้ว การพาคนตาบอดเดินรอบสวนสัตว์อสูรเป็นเรื่องน่าเบื่อยิ่ง หากแต่ตระกูลสั่งมา พวกเขาจำต้องรับหน้าที่

 

 

ตลอดการเดินทาง พวกเขาไม่เห็นซูเฉินทำสิ่งใด หลังจากเดินวนรอบสวนสัตว์อสูรรอบหนึ่ง เขาก็ค่อย ๆ เดินออกมาเอง

 

 

หลินโส่วเยี่ยกล่าว “ที่ตรงนั้นไม่ใช่ส่วนของสวนสัตว์อสูร”

 

 

“เป็นเขตหวงห้ามงั้นหรือ ? ” ซูเฉินถาม

 

 

หลินโส่วเยี่ยเกาหัว “ไม่ใช่”

 

 

“เช่นนั้นก็ดี” ซูเฉินหัวเราะ ก้าวเท้าเดินต่อไป

 

 

ทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไปนั้นใกล้กับลำธารสายเล็กสายหนึ่งซึ่งกู่ชิงลั่วพักอาศัยอยู่

 

 

ในตอนนั้นกู่ชิงลั่วกำลังนั่งอยู่ในศาลาริมลำธารเล็ก เมื่อเห็นเงาร่างซูเฉินปรากฏ นัยน์ตานางก็พลันส่องประกาย

 

 

คนผู้นี้ สามารถทำได้จริง ๆ ด้วย

 

 

ถูกต้อง จุดประสงค์ที่แท้จริงของซูเฉินในการเดินทางมายังสวนสัตว์อสูรในครั้งนี้คือเพื่อมาหากู่ชิงลั่ว

 

 

ที่ผ่านมา ซูเฉินและกู่ชิงลั่วเป็นสหายลับ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่

 

 

แต่พวกเขาก็เหมือนคู่รักคู่อื่น ซูเฉินและกู่ชิงลั่วที่ได้พบกันน้อยครั้งย่อมไม่พอใจเพียงเท่านี้

 

 

พวกเขาหวังว่าจะมีโอกาสที่คนทั้งสองได้ ‘พบกัน’ อย่างเปิดเผย ไม่ใช่ทำทีเป็นเหมือนญาติห่าง ๆ ที่แม้จะรู้จักแต่ก็ต้องทำเป็นไม่รู้จักไม่สนิทสนมกัน

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ซูเฉินจึงพยายามหาโอกาสมาโดยตลอด

 

 

ทำให้หลินเย่เม่ากลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้พบกู่ชิงลั่ว

 

 

เมื่อกู่ชิงลั่วเห็นซูเฉิน นัยน์ตาเรียวก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

 

นางเดินออกมาจากศาลาหลังน้อย เดินตรงมาทางพวกเขา

 

 

หลินเยว่หานและหลินโส่วเยี่ยเดินขึ้นไปด้านหน้า คำนับให้กู่ชิงลั่ว

 

 

หลินเยว่หาน “รบกวนคุณหนูสองแล้ว”

 

 

“คนผู้นี้……” กู่ชิงลั่วรู้คำตอบอยู่แล้ว หากแต่ทำทีเป็นเอ่ยถามอย่างมีมารยาท

 

 

หลินเยว่หานแนะนำซูเฉินก่อน จากนั้นอธิบายสถานการณ์ให้นางฟัง “ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองตกลงให้นายน้อยสี่ตระกูลซูเดินทางท่องเที่ยวในตระกูลหลินได้อย่างอิสระ ไม่คิดว่าเขาเดินวนในสวนสัตว์อสูรไม่เท่าไหร่ กลับเดินมาถึงที่นี่ จนรบกวนคุณหนูสองเข้า”

 

 

“เป็นเช่นนี้” กู่ชิงลั่วทำหน้าประหลาดใจ “ไม่เป็นไร ข้าได้ยินชื่อนายน้อยสี่ตระกูลซูมานาน ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พบกันในวันนี้ ในเมื่อพบกันแล้วไม่เข้ามาพูดคุยกันด้านในเล่า ? เซียงอวี่ เตรียมชา ! ”

 

 

หลินเยว่หานและหลินโส่วเยี่ยที่ได้ยินแบบนั้นก็พลันชะงักไปพร้อมกัน

 

 

กู่ชิงลั่วพำนักอยู่ที่ตระกูลหลินมาเกือบสองปีแล้ว หากแต่พวกเขานั้นกลับไม่เคยได้รับท่าทีเป็นมิตรเช่นนี้จากนางมาก่อน

 

 

ไม่คิดว่านางจะไว้หน้าซูเฉินมากเช่นนี้

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน ตระกูลหลินมีบุรุษหน้าตาดีมากมาย หากแต่ไม่มีใครสามารถเทียบซูเฉินได้เลยงั้นหรือ ?

 

 

คนทั้งคู่ได้แต่เก็บความคับข้องไว้ในใจ

 

 

แต่แม้จะไม่พอใจเท่าไร โอกาสได้ดื่มกับกู่ชิงลั่วนั้นก็หายากนัก ผู้คนมากมายต้องการหากแต่ไม่อาจได้มา ดังนั้นคนทั้งคู่จึงรีบเดินตามไปในทันที

 

 

กู่ชิงลั่วหันมามองพวกเขา “ข้าไม่ได้เชิญพวกเจ้าสองคน”