ตอนที่ 713 ฝ่าบาทได้โปรดเพิกถอนพระราชโองการ / ตอนที่ 714 ลาออกจากตำแหน่งขุนนาง!

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 713 ฝ่าบาทได้โปรดเพิกถอนพระราชโองการ

 

 

“เรื่องของผงฝิ่นเจ้าเป็นคนพบ คุณชายเฉิงก็เป็นเจ้าที่จับกุมเอาไว้ได้ บัดนี้แม้กระทั่งคนที่อยู่ควบคุมเรื่องทั้งหมดเอาไว้ถูกยังถูกคว้าเอาไว้ได้อีก!” ป๋ายไต้ซือเห็นความเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งในสายตาของซูหลีอย่างบอกไม่ถูก

 

 

“ใต้เท้าซูกล่าวว่าตนเพิ่งจะเข้ามาเป็นขุนนาง ทว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยมีขุนนางที่เพิ่งเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก ที่จะสามารถมีโชคและความใจกล้าเหมือนกับใต้เท้าซูกัน เพิ่งจะเข้ามาในราชสำนักก็ประสบกับเรื่องต่างๆถึงขนาดนี้แล้ว!”

 

 

“อย่าโยนโทษจอมปลอมให้กับผู้อื่น เพื่อเอาคุณงามความดีใส่ตัว!”

 

 

หากเป็นเมื่อก่อน ป๋ายไต้ซือคงจะสนใจในเกียรติของตนแล้ว ทว่าหลังจากที่ซูหลีเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมา เขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

 

 

แม้กระทั่งใช้ท่าทีเถียงข้างๆคูๆที่เขาเคยใช้ในยามสมัยก่อน

 

 

พูดจากดำกลายเป็นขาวอย่างทนโท่ อีกทั้งยังโยนโทษทั้งหมดให้กับซูหลี

 

 

ทันทีที่เขาพูดจบ โดยรอบก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ

 

 

คำพูดนี้มีน้ำหนักเกินไปแล้ว ใครก็ไม่กล้าเข้าช่วยซูหลีในทันที ที่เขากล่าวมาทั้งหมดก็เป็นความจริงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่ทำคุณงามความดีและได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ก็มีไม่น้อย ทว่าซูหลีกลับสามารถไต่ขึ้นมาในตำแหน่งที่สูงในระยะเวลาอันสั้น

 

 

นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่มากโดยแท้

 

 

อย่าว่าแต่ป๋ายไต้ซือเกิดความฉงนสงสัยเลย แม้แต่ขุนนางเหล่านี้ก็ยังเกิดความกังขาอยู่ในใจไม่น้อย

 

 

บัดนี้เมื่อถูกป๋ายไต้ซือพูดออกมา คนเหล่านี้ก็มองไปที่ซูหลีอย่างห้ามไม่ได้ มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังหนุ่ม ทว่าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ นางจะสามารถแบกรับภาระนี้ได้หรือ

 

 

ซูหลีได้ยินคำพูดของป๋ายไต้ซือแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็เริ่มจางหายไปอย่างหมดจด

 

 

ที่จริงแล้ว หากคนที่รู้จักนางดี ในเวลานี้คงจะทราบดีแล้ว

 

 

ภายในตำหนักนี้ ล้วนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ แม้แต่ฉินมู่ปิงที่ใกล้ชิดกับนางเพียงประมาณ 1 ปีก็ถือว่ารู้จักนางยังไม่ดีพอ

 

 

มีแต่เสิ่นฉางชิงที่อยู่ข้างกายของซูหลี ที่เห็นความประพฤติและท่าทีของซูหลีแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจจึงเกิดความรู้สึกสับสนเเละคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด

 

 

ความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ คล้ายกับ…

 

 

เหมือนกับยามที่สตรีผู้นั้นยังไม่ตาย!

 

 

สีหน้าของเสิ่นฉางชิงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก คนผู้นั้นตายไปนานแล้ว อีกทั้งซูหลีกล่าวว่า นางเป็นสหายคนสนิทของคนผู้นั้น เพียงแต่ในใต้หล้านี้จะมีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ ที่สหายคนสนิทคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดี จะมีอากัปกิริยาต่างๆที่ละม้ายคล้ายกันเป็นอย่างมาก

 

 

หากไม่ใช่เพราะคนตรงหน้ามีใบหน้าที่ชั่วร้าย เขาคงคิดว่าคนตรงหน้าคือหลี่จื่อจินแน่แท้

 

 

ทว่าหลี่จื่อจินในความทรงจำเขานั้น ถือว่ามีรูปโฉมที่ไม่ได้งดงามนัก แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนัก และนางผู้นั้นมีใบหน้าที่สามัญดาษดื่นเป็นอย่างมาก

 

 

ทว่าไม่เหมือนกับคนตรงหน้า…

 

 

ที่มองดูแล้วเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวน เป็นเสมือนดังปีศาจร้ายที่ดึงดูดสายตาผู้คนแทบทุกอิริยาบถ!

 

 

“ทูลฝ่าบาท!” ในขณะที่ตกอยู่ในบรรยากาศที่เงียบงัน ซูหลีพลันลุกยืนยกมือขึ้นและโค้งคำนับ

 

 

สายตาทุกคนพลันหันเหไปที่ร่างของนาง พวกเขาใคร่อยากเห็นว่านางจะรับมือกับความสงสัยเช่นนี้ได้อย่างไร!

 

 

“กระหม่อมอยากจะขอให้ฝ่าบาททรงเพิกถอนพระราชโองการที่ให้กระหม่อมตรวจสอบเรื่องผงฝิ่นพ่ะย่ะค่ะ!” คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ซูหลีพูด นางกลับพูดคำพูดที่น่าตกใจเช่นนี้ออกมา

 

 

แม้แต่ฉินมู่ปิงที่มีสีหน้านิ่งเฉยมาโดยตลอด ก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าที่เคร่งขรึม

 

 

“ไยเจ้าถึงต้องการให้เราเพิกถอนพระราชโองการ” ดวงตาเย็นชาของฉินเย่หานที่อยู่เบื้องบน กลับมองซูหลีอย่างเรียบเฉย แม้น้ำเสียงของเขาจะมีความเย็นยะเยือก ทว่ากลับไม่มีโทสะเหมือนดั่งเมื่อครู่นี้

 

 

ในเวลานี้ผู้คนต่างไม่เข้าใจว่า ฝ่าบาททรงมีความคิดเห็นอย่างไร

 

 

ซูหลีกลับไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 714 ลาออกจากตำแหน่งขุนนาง!

 

 

“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมอายุเพียงยี่สิบปี ก็แค่เพิ่งสอบติดราชการเท่านั้น สำหรับใต้เท้าในที่นี้ทุกคน ข้าก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น” สีหน้าของซูหลีเรียบเฉย ขณะที่เอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมาก็มิเผยอารมณ์ใดๆ ออกมา และไม่มีแม้กระทั่งความหมายโดยนัยอื่นๆ ที่แฝงอยู่

 

 

ทว่ากลับสามารถทำให้เหล่าขุนนางที่อยู่โดยรอบต่างพากันก้มศีรษะ

 

 

หมู่นี้ซูหลีมีชื่อเสียงที่โด่งดังไม่น้อย อีกทั้งภายในใจของขุนนางจำนวนมากก็รู้สึกอย่างที่นางเอ่ยมา

 

 

ทว่าก็แค่ครุ่นคิดก็เท่านั้น ทว่าเมื่อถูกนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ นี่ก็กลายเป็นเรื่องอื่นแล้ว

 

 

“กระหม่อมทราบดีว่า หากพูดถึงคุณสมบัติและประสบการณ์ กระหม่อมนั้นสู้ใต้เท้าท่านไหนมิได้ทั้งนั้น ดังนั้นยามที่ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้กระหม่อม ภายในใจของกระหม่อมเต็มไปความตื่นตระหนกและหวาดกลัวมาก”

 

 

“ทว่ากระหม่อมยังมิลืมการสอบหน้าพระที่นั่งในวันนั้น ที่กระหม่อมกล่าวกับฝ่าบาทว่า ‘ในเมื่อรับบำเหน็จจากจักรพรรดิ ก็จักต้องเป็นทหารที่ภักดีต่อจักรพรรดิ’ กระหม่อมนั้นเป็นขุนนางของฝ่าบาท แม้ฝ่าบาทจะทรงสั่งให้กระหม่อมไปตาย กระหม่อมก็มิอาจหลบหนีได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้”

 

 

“การที่กระหม่อมพบกับคุณชายเฉิงในวันนั้น เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง การพบผงฝิ่นก็ยิ่งเป็นเรื่องบังเอิญ หากป๋ายไต้ซือใช้เรื่องนี้โจมตีกระหม่อม แม้กระหม่อมมีร้อยปากก็เถียงไม่ขึ้น กระหม่อมไม่ใช่ขุนนางคนไหนในราชสำนัก”

 

 

“ในใจของกระหม่อมมีเพียงฝ่าบาท อีกทั้งยังมีเรื่องที่ฝ่าบาททรงมอบหมายในไปกระทำ กระหม่อมมิกล้าใช้คุณสมบัติและประสบการณ์ถกเถียง ยิ่งไม่ต้องการให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งราชสำนักพูดจาโจมตีกระหม่อม ป๋ายไต้ซือมีศิษย์เต็มไปทั่ว ขุนนางในราชสำนักจำนวนไม่น้อยก็ออกมาจากสำนักของเขา หากเขาต้องการใส่ร้ายกระหม่อมเช่นนี้ กระหม่อมก็จนปัญญาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

คำพูดคำรบนี้ของซูหลี ดังกึกก้องไปทั่วตำหนักใหญ่

 

 

ทุกคำทุกประโยคล้วนกระแทกเข้าสู่หัวใจของทุกคนจังๆ

 

 

“กระหม่อมนั้นอายุน้อยไปจริงๆ ทั้งหัวใจของกระหม่อมคิดแค่เพียงว่า เรื่องของราชสำนักก็เป็นเพียงพระราชโองการของฝ่าบาทก็เท่านั้น เป็นข้าราชบริพารนั้นพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ในใจนั้นยังคาดเป็นห่วงราษฎร มุ่งมั่นและตั้งใจไปกระทำเรื่องนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทว่าดูเหมือนว่าวันนี้ กระหม่อมจะกระทำผิดเสียแล้ว”

 

 

ซูหลีพูดถึงตรงนี้พลันเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาของฉินเย่หาน แล้วเอ่ยว่า

 

 

“กระหม่อมผิดต่อฝ่าบาท และไม่อาจแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงเช่นนี้ต่อไปได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ควรให้กระหม่อมดำเนินการต่อแล้ว ดังนั้นกระหม่อมอยากจะขอความเมตตา โปรดฝ่าบาททรงนำเรื่องนี้ให้กรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้ง…”

 

 

นางพลันหยุดพูดกะทันหัน ใบหน้าเล็กจิ้มขาวดุจกระเบื้องมีประกายความวูบไหว อีกทั้งยังมีความซับซ้อน

 

 

“กระหม่อมอยากจะร้องขอให้ฝ่าบาททรงปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่งเซ่าซือขั้นหนึ่งระดับล่าง เพิกถอนตำแหน่งถ้านฮวา บัณฑิตที่สอบติดราชการอันดับ 3 ของการสอบเอินเค่อ และทรงอนุญาตให้กระหม่อมลาออกจากตำแหน่งขุนนางกลับไปบ้านด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ฮือฮา!

 

 

คนในราชสำนักล้วนเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมาก ยามที่ซูหลีเอ่ยขึ้นก็พอจะมีคนคาดคะเนได้ว่า นางพูดถ่อมตัว ดึงตัวออกจากเรื่องนี้ ทว่าคาดไม่ถึงว่าว่าทันทีที่คนผู้นี้เอ่ยปากพูด จะสามารถก่อความวุ่นวายทั่วทั้งราชวงศ์ต้าโจวถึงเพียงนี้!

 

 

นี่ก็ไม่ใช่การก่อความวุ่นวายหรือ!?

 

 

ตั้งแต่สถาปนาราชวงศ์ต้าโจวมา ยังไม่เคยมีขุนนางที่เพิ่งได้รับตำแหน่งไม่ถึง 1 ปีคนไหน ที่จะร้องของลาออกในท้องพระโรงเช่นนี้

 

 

ยิ่งไม่มีใครที่สอบติดราชการแล้ว ร้องขอให้ฝ่าบาททรงเพิกถอนตำแหน่ง

 

 

นะ นี่มัน…

 

 

อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่เหล่าขุนนางที่เป็นคณะเสนาบดีอาวุโสก็ยังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

 

 

อีกทั้งที่ซูหลีเอ่ยออกมานั้น มันคืออะไรกัน ทันทีที่ได้ยินคำพูดของนาง คล้ายกับกล่าวว่าตนไม่อาจแบกรับความหวังของฮ่องเต้ได้แล้ว ทว่าหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน จะพบว่าไม่ใช่เช่นนั้น…

 

 

อะไรที่กล่าวว่านางกระทำผิด นางไม่มีความสามารถ นี่ล้วนเป็นการด่าขุนนางทั้งรางสำนักแบบอ้อมๆ!

 

 

ด่าประฌามว่าพวกเขานั้นแบ่งกันเป็นพรรคเป็นพวก อีกทั้งยังด่าว่าสนามของขุนนางนั้นไม่เหมือนกับที่นางคิดเลยแม้แต่น้อย!

 

 

นี่…

 

 

นี่ซูหลีใจกล้าบ้าบิ่นโดยแท้

 

 

นางกลับกล้าพูดคำพูดที่ทำร้ายธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาโดยตลอดเช่นนี้ออกมา!