ตอนที่ 715 กระหม่อมทราบโทษดี
สีหน้าของป๋ายไต้ซือที่คุกเข่าลงคล้ำเขียวไปหมดแล้ว
เขาคิดไม่ถึงซูหลีเปิดโปงเขาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ นางแทบจะชี้จมูกเขาแล้วกล่าวว่า เขาคบพรรคสร้างพวก กล่าวว่าเขาใช้ประโยชน์จากผู้อื่น
กล่าวว่าเขาทำร้ายขุนนางมือสะอาด!
ทว่านี่ไม่ใช่เช่นนั้นหรือ!?
คำพูดแต่ละคำ แต่ละประโยชน์ของซูหลีล้วนกล่าวว่านางถวายความจงรักภักดีให้แด่ฮ่องเต้และราชวงศ์ อีกทั้งยังคำนึงถึงราษฎรอีก
มิหนำซ้ำยังเอ่ยว่ากระทำผิด ทว่านางมิได้เอ่ยตนเป็นคนผิด ทว่านางกลับพูดเสียดสีคนเหล่านี้ เสมือนเป็นการตบหน้าเขาอย่างจังๆ
“ปัง!” ในขณะที่ป๋ายไต้ซือพิจารณาคำพูดของซูหลี กลับถูกเสียงนี้ทำให้ตกใจ
“ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เขาพลันเห็นฮ่องเต้ที่มิได้แสดงท่าทางอารมณ์ใดๆ มาโดยตลอด ทุบแท่นฝนหมึกตรงหน้าพระพักตร์ของพระองค์จนแตก
ในเวลานี้บรรยากาศภายในท้องพระโรงนั้นก็แปลกประหลาดและราวกับถูกแช่แข็งไว้
“กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!”
…
ขุนนางในท้องพระโรงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคุกเข่าลงพร้อมกัน
พวกเขายังจำได้ว่าคราก่อนที่ฮ่องเต้ทรงกริ้วโกรธขนาดนี้ เป็นช่วงที่เขาเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ ในเวลานั้น คนของไท่จื่อพระองค์ก่อนยังอยู่ในราชสำนัก และคนผู้นั้นยังต้องการต่อต้านฮ่องเต้
ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ได้เพียง 3 วัน และในวันที่สามพระองค์ก็ทรงบันดาลโทสะ หลังจากนั้น…
เหล่าขุนนางที่หวนคิดถึงเรื่องในอดีต ถึงกับหนาวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
หลังจากที่ราชสำนักถูกชำระล้างอย่างใสสะอาด คนที่ถูกผลักออกจากตำหนักอวิ๋นเซียวไปตัดศีรษะนั้น มีจำนวนไม่น้อย กลิ่นโลหิตที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทั้งยังมีเสียงร้องร่ำไห้ที่ผ่านไปนานก็ยังไม่จางหายไป ดังวนเวียนอยู่ภายนอกตำหนักอวิ๋นเซียวถึง 3 วัน
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขุนนางเหล่านี้ล้วนเก็บอาการของพวกเขาเอาไว้ และจัดการเรื่องต่างๆ อย่างว่านอนสอนง่าย
อีกทั้งไม่มีใครกล้าตั้งข้อกังขากับจักรพรรดิองค์ปัจจุบันอีก
มีข่าวลือในหมู่ของผู้คนว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั้นเป็นผู้ใจคอโหดเ**้ยมและกระหายเลือด เขามิใช่องค์จักรพรรดิที่มือสะอาด
หลังจากนั้น 2 ปีที่ผ่านมาฮ่องเต้มิเคยกริ้วอีกเลย อีกทั้งยังทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อให้ราชวงศ์ต้าโจวก้าวสู่ช่วงที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุด
เป็นเพราะยุคที่เจริญรุ่งเรืองนี้ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างหลงระเริงอยู่ในช่วงความคิดที่ก้าวไกลของฮ่องเต้พระองค์นี้ จนหลงลืมภาพต่างๆ ที่ทำให้เกิดการนองเลือดในราชสำนักในปีนั้น
บัดนี้ถูกซูหลีใช้คำพูดสั้นๆ กระตุ้นเขาเช่นนี้ คนเหล่านั้นจะไม่กลัวได้อย่างไร
โดยเฉพาะป๋ายไต้ซือที่เป็นผู้นำของพวกเขา ที่มักจะถือว่าตนเป็นผู้อาวุโสและเที่ยวดูถูกขุนนางคนอื่นมาโดยตลอด ก็ยังมีสีหน้าและท่าทีที่เปลี่ยนไป
และในขณะที่ขุนนางคนอื่นๆ เงียบกริบ มีเพียงคนผู้หนึ่งที่ยังยืนตัวตรงเช่นนี้
เขาเชิดหน้าขึ้นสูงใบหน้ายังกับคนไร้ความกังวลต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
ภายในดวงตาสีดำดุจน้ำหมึกไม่มีความขี้ขลาดและท้อถอยเลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่ปิงก็คุกเข่าตามขุนนางคนอื่นๆเช่นกัน ทว่าสายตาของเขาคล้ายกับติดอยู่ที่ร่างของซูหลีมิปาน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิอาจละสายตาออกจากซูหลีได้
คนผู้นี้…
เกรงว่าหากเขาโพล่งออกไปว่าซูหลีเป็นสตรี ก็คงไม่มีใครเชื่อ
ความสามารถที่ไม่เป็นสองรองใครเช่นนี้ อีกทั้งยังมีท่าทางโอหังของนาง หากกล่าวว่านางจะได้เป็นหัวหน้าคณะเสนาบดีอาวุโสคนต่อไป นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว
ในสายตาของฉินมู่ปิงมีความซับซ้อนเกินจะเปรียบเปรย สกุลป๋ายนั้นประมาทศัตรูเกินไปแล้ว เขาก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วมิใช่หรือ
วิธีที่ดีก็คือถอยออกมาตั้งหลัก เพื่อรอคอยโอกาสใหม่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปในราชสำนักยังจะมีใครกล้าเกิดข้อกังขากับซูหลี แม้ครึ่งประโยคกัน
นี่เป็นการผลักนำตัวเองเข้าไปสู่การสร้างพรรคสร้างพวกอย่างที่ซูหลีกล่าวไว้ว่า เป็นคนคดโกงโดยไม่คำนึงถึงราชสำนัก ราษฎรและฮ่องเต้!
ถ้านฮวาที่อายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ กลับยืนอยู่ในราชสำนักได้อย่างมั่นคงเป็นอย่างมาก!
“ซูหลี! เจ้ารู้ความผิดของตนหรือไม่” คล้ายกับกำลังเป็นการยืนยันในความคิดของฉินมู่ปิงทั้งหมดมิปาน เขาได้ยินฉินเย่หานที่อยู่บนพระที่นั่ง ใช้น้ำเสียงเย็นยะเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา
“กระหม่อมทราบโทษของกระหม่อมดี” เมื่อฮ่องเต้ทรงถาม นางก็แค่ตอบและก้มศีรษะลง
ตอนที่ 716 การสรรเสริญของขุนนางทั้งราชสำนัก
นางก้มศีรษะลง เผยให้เห็นลำคอที่งามลออและละเอียดอ่อนของนาง
ผิวขาวดุจกระเบื้องเคลือบนั้นทำให้ฉินมู่ปิงที่จ้องมองอยู่ถึงกับใจเต้นรัว ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพลันพลุกพล่านออกมาในทันที
“โทษอยู่ที่ใด” ฉินเย่หานจ้องมองตาไม่กะพริบ สายตาของเขานั้นมีความกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทว่าร่างของซูหลีกลับไม่ขยับเขยื้อน คนรอบข้างนั้นคิดว่านางมีแผนอยู่ในใจอยู่แล้ว ไฉนจะรู้ว่าสายตาดุจดาบที่แหลมคมมิปานจะจดจ่ออยู่ที่ร่างของนาง ทำให้แผ่นหลังของนางถึงหนาววูบ เนื้อตัวเกิดความเย็นยะเยือกไปหมด
แต่นางทราบดีว่า วันนี้นางไม่สามารถถอยออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว มิเช่นนั้นต่อไปหากนางต้องการกระทำสิ่งใด คงจะดำเนินไปอย่างยากลำบาก
“กระหม่อมทราบดีว่าท้องพระโรงเป็นสถานที่ซับซ้อนนัก ก็ยังมุมานะกระทำเรื่องอย่างเงียบๆ แม้จะรู้ว่ากระทำไม่ได้ แต่ก็ยังฝืนกระทำต่อไป แม้จะรู้ดีว่า…”
“บังอาจนัก!” ซูหลียังไม่ทันจะเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงตบโต๊ะเสียงดังจากเบื้องบนและน้ำเสียงที่เย็นยะเยียบไปถึงกระดูก
ซูหลีเลิกชายชุดขุนนางขึ้น คุกเข่าลงอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยว่า “ฮ่องเต้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดประโยคนี้อีกแล้ว!
มีประกายความเข้มงวดพาดผ่านในดวงตาของฉินเย่หาน นางอยู่ต่อหน้าฉินเย่หานนั้น เพราะมีคนหนุนหลังนางจึงไม่รู้สึกเกรงกลัวเป็นอย่างมาก หลายคราที่เขาตำหนินาง ทว่าเขากลับมิเคยลงโทษนางมาก่อน
“ดี! ดี!” ฉินเย่หานลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นฝ่าบาททรงลุกขึ้นยืน เหล่าขุนนางก็ต่างพากันทรุดตัวคุกเข่าลง ก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นสบตากับฝ่าบาท
มีเพียงซูหลีที่คุกเข่าลำตัวเหยียดตรง และใบหน้ายังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ฉินเย่หานโมโหจนแค่นเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “จากที่เจ้าพูดมาทั้งหมด นี่จะเป็นความผิดของเจ้าได้อย่างไร ขุนนางล้วนต้องปกป้องขุนนางด้วยกัน ขุนนางมือสะอาดนั้นยากที่จะเป็นได้ นี่กลับเป็นความผิดของเราแล้วมิใช่หรือ!”
“ฝ่าบาททรงระงับความโกรธลงเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านล่างแทบจะเสียสติแล้ว เบื้องล่างนั้นมีแต่เสียงขอร้องอ้อนวอน
ใบหน้าของป๋ายไต้ซือซีดขาว แข้งขานั้นเริ่มอ่อนแรง เขาแทบจะทำความเคารพแล้วสลบไสลไปทันที!
ซูหลีกระทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเลยสักนิด ดูจากอากัปกิริยาของฮ่องเต้แล้ว สกุลป๋ายเกรงว่า…
“ทะ ทูลฝ่าบาท!” ศีรษะของป๋ายไต้ซือเต็มไปด้วยเหงื่อ ในเวลานี้เขามิอาจแสร้งโง่ต่อไปได้ หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคนที่ต้องตายในวันนี้จักต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน ทว่าไม่ใช่ซูหลีที่กล่าวว่าจะลาออกจากตำแหน่งและกลับบ้าน!
“ใต้เท้าซูนั้นคำนึงถึงแว่นแคว้นและราษฎร เป็นกระหม่อมที่ใช้จิตใจต่ำช้ามาวัดจิตใจวิญญูชน ที่จริงแล้วเป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลีที่อยู่ด้านข้างกลับไม่พูดไม่จา ป๋ายไต้ซือก็มิได้จัดการยากกว่าพ่อลูกสกุลเฉิงมากนัก
ดูเหมือนว่าวันนี้แม้จะอยากโค่นสกุลป๋าย ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
แน่นอนว่า นางก็ไม่คิดว่าจะสำเร็จในครานี้ นางก็แค่อาศัยเหตุผลนี้โจมตีพวกเขาคำรบหนึ่ง ถือโอกาสสร้างชื่อเสียงเสียหน่อย
หากนางสามารถข่มขู่ขุนนางที่โอ้อวดที่มีบารมีสูงส่งเหล่านั้นได้ จากนี้ต่อไปพวกเขาก็ไม่กล้าตอบโต้นางอย่างง่ายๆ
เช่นนี้ก็นางถึงสามารถตรวจสอบเรื่องสกุลหลี่ในอดีตได้
บัดนี้ เรื่องนี้นางทำสำเร็จแล้ว!
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าซูเป็นผู้ที่สามารถแบกรับภาระหน้าที่ที่สำคัญได้ วิธีรักษาโรคระบาดนั้น สามารถช่วยเหลือขุนนางและราษฎรได้จำนวนไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ…”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าซูก็แค่เด็กหนุ่มที่มีโทสะมากไปเท่านั้น ทนแบกรับความไม่เป็นธรรมไม่ได้ และพูดจาเถรตรงไปบ้าง! พ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาทโปรดให้อภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
…
ทันทีที่ป๋ายไต้ซือเปิดประเด็น ในเวลานี้ทุกคนต่างพากันวิงวอนร้องขอแทนซูหลี
แม้แต่เหล่าขุนนางที่ไม่ค่อยชอบนางนัก ก็ยังกระทำตาม
ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ในเวลานี้หากพูดช้าไปก้าวเดียว หากโทษนี้ตกอยู่บนร่างของฮ่องเต้จริงๆ เช่นนั้นก็จะต้องตายสถานเดียว!
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนฉลาด รักชีวิตและกลัวตายเป็นอย่างมาก
ไยจะสามารถปล่อยให้ตนเองถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่มีความผิดได้กัน
แน่นอนว่าจักต้องร้องขอความเมตตาเพื่อนาง อีกทั้งต้องพูดว่านางยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง ไม่หวาดหวั่นต่ออำนาจบาตรใหญ่ เป็นขุนนางเนื้อดีที่ภักดีอย่างหนักแน่น!
ในขณะนี้บนท้องพระโรงช่างครึกครื้นเป็นอย่างมาก ชีวิตทั้งสามชาติของนางรวมกันแล้วยังไม่เคยได้ยินคำพูดสรรเสริญมากมายขนาดนี้
แต่นี่กลับทำให้พ่อลูกสกุลป๋ายมีสีหน้าเขียวคล้ำ