ตอนที่ 717 ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ชั่วกาลนาน / ตอนที่ 718 เจตนาแก้เผ็ด

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 717 ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ชั่วกาลนาน 

 

 

ในชั่วขณะนี้ซูหลีกลับกลายเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงดีเป็นอันดับต้นๆ แห่งยุคไปเสียแล้ว 

 

 

เกรงว่าหากเป็นไปตามที่พวกเขาพูดชมเชยนางจริงๆ นางคงจะมีชื่อเสียงอันดีงามไปตลอดกาล 

 

 

สีหน้าของนางไม่วูบไหวเลยแม้แต่น้อย แต่มือที่อยู่ข้างใต้นั้นกลับคลายลง 

 

 

นางนั้นชมดูอากัปกิริยาของคนสกุลป๋ายที่ชอบเข้ามาให้นางเหยียบถึงที่ 

 

 

สกุลป๋ายนั้นไม่ชื่นชอบนาง และยังอยากจะใช้วิธีเช่นนั้นลากนางมาเป็นพวก บัดนี้นางเหยียบคอพวกเขาปีนขึ้นไปด้านบนแล้ว พวกเขารู้สึกอย่างไรบ้าง 

 

 

คงจะดีเยี่ยมจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้กระมัง 

 

 

“ทูลฝ่าบาท เรื่องผงฝิ่นที่จัดการในมือของใต้เท้าซู เดิมเป็นคำพูดที่ขาดหลักฐานที่มา บัดนี้กลับมีหลักฐานอย่างชัดเจนแล้ว คนที่ได้รับโทษไม่ใช่ใต้เท้าซู ทว่าเป็นคนอื่นพ่ะย่ะค่ะ” บัณฑิตเซี่ยที่อยู่ในความเงียบมาโดยตลอด ในเวลาเขากลับยืนขึ้นมองเอ่ยคำพูดที่ยุติธรรมออกมา 

 

 

ซูหลีกวาดตามองเขาปราดหนึ่ง คำพูดประโยคนี้ดูเหมือนจะช้าไปบ้าง ทว่าก็เป็นประจวบที่จะหาทางลงให้นางพอดี 

 

 

บัณฑิตเซี่ยเป็นบิดาของเซี่ยอวี่เสียน เขาไม่ค่อยลงรอยกับสกุลป๋ายนัก ศัตรูของศัตรูก็คือว่าเป็นสหาย 

 

 

ซูหลีนั้นคล้อยตามที่เขาพูด นางหมอบลงไปแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมอายุยังน้อย ไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ใช้ปณิธานความตั้งใจจัดการเรื่องนี้ กระหม่อมมิเคยคิดจะใส่ร้ายป้ายสีราชสำนัก หากทำให้ฮ่องเต้รู้สึกรำคาญพระทัย เช่นนั้นก็หวังว่าฮ่องเต้จะทรงลงโทษกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ในเมื่อผู้อื่นขั้นบันไดมาให้แล้ว นางก็ลงไปตามขั้นบันไดที่มอบให้ไว้ 

 

 

ในเวลานี้สายตาที่ถูกคนมองที่ซูหลี ล้วนมีความประหลาดใจเป็นอย่างมาก 

 

 

คนผู้นี้ทำให้ทุกคนที่กำลังปรบมืออยู่นั้น…อยู่ในความเกลียดแค้นเป็นอย่างมาก! ทว่าบัดนี้พวกเขาไม่สามารถเอ่ยออกมาว่าเกลียดได้ ซ้ำยังต้องช่วยเหลือและพูดชื่นชมคนผู้นี้ด้วยเสียอีก 

 

 

ความรู้สึกเช่นนี้…ช่าง…! 

 

 

ทว่าใครใช้ผู้นี้มีความสามารถเช่นนี้กัน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ฮ่องเต้ไม่สามารถรับได้ก็คือการถูกขุนนางใต้อาณัติหลอกลวงพระองค์เอง 

 

 

เรื่องนี้เช่นนี้ แม้แต่ทรราชเหล่านั้นก็ยังทนไม่ได้ นับประสาอะไรกับจักรพรรดิผู้ปรีชาญาณองค์ปัจจุบันกัน 

 

 

หากอยากมีชีวิตต่อไป ก็ต้องเดินตามไปทางเดียวกันกับนาง นี่ถึงเป็นสิ่งที่น่าโมโหที่สุด 

 

 

แม้เวลาที่ฮ่องเต้ผู้นี้ขึ้นครองราชย์จะไม่ยืนยาวนัก ทว่าอุปนิสัยที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่มั่นคง เรื่องในวันนี้ขุนนางยังคิดว่าจะต้องพูดโน้มน้าวเขาอีกนาน คิดไม่ถึงว่า… 

 

 

“เจ้ามักเป็นคนที่รู้จักยอมรับผิด ฝีปากลื่นไหล ทว่าในใจมักไม่เป็นไปตามที่คนคาดไว้” ฉินเย่หานเอ่ยปากเช่นนี้ อีกทั้งน้ำเสียงยังมีความเย็นชาอยู่บ้าง 

 

 

ทว่าดูท่าทีของเขาแล้ว กลับดูเหมือนว่าจะคืนสู่ความสงบแล้ว 

 

 

เขาทำเหมือนกับว่า คนที่โมโหจนโยนแท่นฝนหมึกลงมาข้างล่าง ไม่ใช่เขามิปาน 

 

 

ใบหน้าที่งดงามดุจเทพบุตรเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เขายืนอยู่บนพระที่นั่งแล้วมองซูหลีด้วยความเย็นชา ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นมีความใกล้ชิดอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

“กระหม่อมทางถึงความผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้จะโมโหถึงเพียงใด ก็ไม่ควรพูดจาซี้ซั้วเช่นนั้นจนทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลีในเวลานี้ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าจะแสดงท่าทีเหิมเกริมเหมือนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย 

 

 

และไม่มีท่าทีเสียสติที่คิดจะลาออกจากตำแหน่งขุนนางต่อหน้าขุนนางในราชสำนักแล้ว 

 

 

นี่ช่าง… 

 

 

ช่างเป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเคียดแค้นจนเข็ญเขี้ยวเคี้ยวฟันและจนปัญญาโดยแท้ 

 

 

“ครานี้ถือแล้วผ่านไปแล้ว เราเห็นแก่คุณูปการหลายๆ คราของเจ้า ไม่อยากจะถือสาเจ้าอีก ทว่าหากคราหน้ายังเป็นเช่นนี้ เราจะไม่ยกโทษให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของฉินเย่หานเต็มไปด้วยความเย็นยะเยียบ ทว่าขุนนางที่คุ้นเคยกับอารมณ์เช่นนี้ของเขากลับเข้าใจดี 

 

 

สถานการณ์ในเวลานี้ดีขึ้นมากแล้ว 

 

 

ทุกคนต่างพากันถอนหายใจ สายตาที่มองซูหลีนั้นแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อน 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีเอ่ยขานรับอย่างว่าง่าย 

 

 

นี่แม้เป็นการเตือนซูหลี ทว่าในใจขอคนเหล่านี้ล้วนประจักษ์อย่างชัดเจนประหนึ่งกระจกใสมิปาน 

 

 

ฮ่องเต้นั้นทรงโปรดซูหลี อีกทั้งยังทรงโปรดจนเกินไป มองดูอย่างใส่ใจและประคบประหงมเช่นนี้ นี่เป็นท่าทีที่จักรพรรดิปฏิบัติต่อขุนนางเสียที่ไหนกัน หากไม่รู้พวกเขายังจะคิดว่า… 

 

 

แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องนี้พวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ส่งเดชได้ 

 

 

ทว่าท่าทีของฮ่องเต้ แค่มองปราดเดียวก็ทราบแล้ว 

 

 

หลังจากนี้จะมีใครกล้าใช้ความสามารถและประสบการณ์มาข่มขู่ซูหลีกัน 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 718 เจตนาแก้เผ็ด 

 

 

นั่นไม่ต่างอะไรกับการเข้าไปยุแหย่ฮ่องเต้และรนหาที่ตายหรือ 

 

 

“ฝะ ฝ่าบาท!” เรื่องที่เปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิด ทำให้ในที่สุดป๋ายไต้ซือก็สงบลง เขาคิดถึงคำพูดเมื่อวานที่ฉินมู่ปิงเอ่ยกับเขามาก่อน เขาหมอบตัวลงแล้วเอ่ยว่า 

 

 

“กระหม่อมพลันฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ บุตรชายของกระหม่อมมีข้ารับใช้ที่ติดตามข้างกาย นามว่า ฝูวั่ง ข้ารับใช้ผู้นั้นติดตามบุตรชายของกระหม่อมตั้งแต่ยังเด็ก การฝึกเขียนตัวหนังสือตัวแล้ว ก็เป็นบุตรชายที่เป็นผู้สอน ฝูวั่งผู้นี้เป็นคนในหมู่บ้านปี้สุ่ย เรื่องนี้จักต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้ารับใช้ผู้นี้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

สำหรับการประณามของซูหลี ไม่อาจพูดถึงได้อีกแล้ว ทว่าเรื่องของผงฝิ่นยังต้องคงแก้ปัญหาต่อไป 

 

 

บัดนี้ในมือของซูหลีมีหลักฐานจำนวนมาก แม้ป๋ายไต้ซือจะอยากหลุดจากเรื่องนี้อย่างหมดจดอย่างไร ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ 

 

 

เขาผงะไปวูบหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “ยังมีบางเรื่องที่ฝ่าบาทยังทรงมิทราบ หลายวันก่อนติ้งอันโหวถูกส่งไปเป็นนายอำเภอประจำอำเภอหลิงหนาน และเคยมาหากระหม่อม หวังว่ากระหม่อมจะไปติดต่อผู้อื่นให้แก่เขา ทว่าเรื่องอำเภอหลิงหนาน ฝ่าบาทเคยทรงรับสั่งด้วยตัวพระองค์เอง กระหม่อมมิบังอาจยุ่งกับเรื่องนี้” 

 

 

“คงจะเป็นหลังจากที่กระหม่อมปฏิเสธใต้เท้าเสิ่นไป ใต้เท้าเสิ่นคงจะรู้สึกเกลียดแค้นกระหม่อมอย่างมาก จึงแอบสมคบคิดกับฝูวั่งผู้นั้น และนำโทษที่ไม่มีจริงมาใส่ร้ายบุตรชายของกระหม่อม!” 

 

 

“ฝูวั่งผู้นั้นติดตามข้างกายบุตรชายของกระหม่อมตั้งแต่ยังเล็ก ยามอยู่ในจวนก็มีอำนาจคล้ายกับนายท่านคนหนึ่งมิปาน ใต้เท้าเสิ่นเพิ่งจะกลับเข้ามาในเมืองหลวงสักระยะหนึ่ง ก็คงจะแอบอาศัยอำนาจของสกุลป๋ายผ่านฝูวั่งผู้นี้ จึงได้กล้ากระทำเรื่องนี้บ้าบิ่นถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ ทูลฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

หลังจากซูหลีได้ยินคำพูดของป๋ายไต้ซือ ใบหน้าของนางถึงกับผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงมองป๋ายไต้ซือด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มปราดหนึ่ง 

 

 

ป๋ายไต้ซือมีท่าทางตอบสนองเร็วโดยแท้ หลังจากนำกลุ่มขุนนางร้องขอเมตตาให้แก่นาง นางก็ทราบแล้วว่า วันนี้หากต้องการกระทำสิ่งใดต่อคงไม่ได้แล้ว 

 

 

เพียงแต่ไม่คิดว่าป๋ายไต้ซือจะละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้ ยังมีการเตรียมการล่วงหน้าเช่นนี้ 

 

 

แน่นอนว่าเมื่อนำเรื่องข้ารับใช้คนหนึ่งมาพูด ก็เป็นการทำให้ดึงตัวเองออกจากการเป็นที่ต้องสงสัย 

 

 

ทว่าการที่เขาพูดอย่างเหตุมีผล กลับสามารถทำให้คนเชื่อถือขึ้นหลายส่วน 

 

 

“ใต้เท้าป๋ายนี่ช่างพูดจาส่งเดชโดยแท้!” หลังจากที่เสิ่นฉางชิงรู้สึกอึ้งไปเพราะซูหลี เขาก็พูดตอบโต้ป๋ายไต้ซือ 

 

 

“ใต้เท้าเสิ่น เจ้าเอ่ยออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่าบุตรชายของข้าไปมาหาสู่กันเจ้า นอกจากสมุดและจดหมายนี่แล้ว เจ้ายังมีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่ หรือว่าพยานบุคคลหรือไม่” แม้ป๋ายไต้ซือไม่กล้าที่จะปะทะฝีปากกับซูหลี มิได้หมายความว่าเขารู้สึกกลัว 

 

 

โดยเฉพาะคนอย่างเสิ่นฉางชิง เขายิ่งไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย 

 

 

หลังจากเสิ่นฉางชิงได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ข้างกายของเขาไม่มีพยานบุคคลอยู่จริง ทุกครั้งที่ป๋ายเฮ่อไปมาหาสู่กับเขานั้นจะรอบคอบเป็นอย่างมาก จึงไม่เคยให้ผู้อื่นอยู่ในนั้นมาโดยตลอด 

 

 

ก่อนป๋ายถานจะเข้ามาเป็นสนมในวัง ก็เคยเจอเจียงโม่อวี้คราหนึ่ง 

 

 

ทว่าเจียงโม่อวี้ไม่ทราบว่าเขาทำเข้าตกลงกับสกุลป๋าย เพียงแค่ทราบสกุลป๋ายช่วยเหลือพวกเขา ถึงทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากอำเภอหลิงหนานที่น่ากลัวแห่งนั้นได้ 

 

 

เจียงโม่อวี้ไปขอบคุณป๋ายถาน นี่ไม่ถือว่าเป็นหลักฐานอะไรได้ 

 

 

ป๋ายไต้ซือเห็นว่าเขาไม่พูดอะไรออกมา จึงอาศัยช่วงเวลานี้รีบเอ่ยต่อว่า “ทูลฝ่าบาท คำพูดของใต้เท้าเสิ่นเพียงคนเดียวไม่น่าเชื่อถือพอ นี่เป็นสมุดบันทึกที่ใต้เท้าเสิ่นเขียนด้วยตนเอง หากต้องการจะปลอมแปลงสักเล่มถึงว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก” 

 

 

“ทว่าฝูวั่งผู้นั้นอยู่กับบุตรชายของกระหม่อมตั้งแต่ยังเล็ก และสามารถเลียนแบบตัวหนังสือของบุตรชายได้ และนี่ถือเป็นเรื่องปกติ ทูลฝ่าบาท ไม่ว่าจะกระหม่อมหรือป๋ายเฮ่อมิกล้าแตะต้องของสิ่งนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ขอให้ฝ่าบาทโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

นี่ช่างเจ้าเล่ห์โดยแท้… 

 

 

ซูหลีเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน ในใจยิ่งเข้าใจดี ครานี้หากต้องการใช้เรื่องผงฝิ่นล้มสกุลป๋าย คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว 

 

 

“หากที่ป๋ายไต้ซือเอ่ยว่า เรื่องนี้เดิมเป็นข้ารับใช้ที่ชั่วร้ายผู้นั้น กับใต้เท้าเสิ่นเจตนาแก้เผ็ดท่านเช่นนั้นหรือ”