ตอนที่ 414 ก็เพราะปากหวาน
ป้าโจวตอบกลับอย่างเริงร่า พูดจบก็เริ่มงานทันที นางคล่องแคล่วมาก ไม่นานกลิ่นกับข้าวหอมๆ ก็โชยออกมาจากห้องครัว หลิงอวี้จื้อที่เฝ้าอยู่ข้างๆ ก็ดูอย่างตั้งใจ อยากจะเรียนรู้ฝีมือ เพียงแต่ป้าโจวเคลื่อนไหวว่องไวมาก เธอยังไม่ทันได้มองดูชัดๆ กับข้าวแต่ละจานต่างก็ทำเสร็จแล้ว
แครอทผัดไข่ ต้นหอมผัดไข่ ผัดผักกาดขาว และยังมีผัดมันฝรั่งหั่นเส้นอีกจาน ล้วนเป็นกับข้าวสามัญประจำบ้าน ด้วยฝีมือของป้าโจวทำให้กลิ่นหอมยวนใจฟุ้งกระจาย หลิงอวี้จื้ออดใจไม่ไหวต้องยกนิ้วหัวแม่มือให้
“ท่านป้า ฝีมือทำครัวของท่านดีเหลือเกิน ครัวทั้งห้องมีแต่กลิ่นหอมอบอวล”
“พวกเจ้ารีบกินข้าวสักหน่อยเถิด ข้ากลับก่อนแล้ว หลานข้าไม่สบายเล็กน้อย เอาแต่ร้องโวยวายไม่หยุด ยังรอข้าอยู่เลย”
พูดจบป้าโจวก็ไปก่อนแล้ว หลิงอวี้จื้ออดทอดถอนใจไม่ได้
“ป้าโจวใจดีจริงๆ ข้าชิมก่อนล่ะ”
พูดจบก็ชิมอาหารแต่ละจานรอบหนึ่ง ชมไม่หยุดปาก
“หอมมาก ป้าโจวเป็นแม่ครัวจริงๆ ทำกับข้าวอร่อยกว่าในจวนมหาเสนาบดีเสียอีก”
“เจ้านี่นะ ก็เพราะปากหวาน ป้าโจวถูกเจ้าชมจนใจพองโตเป็นดอกไม้บานแล้ว”
มู่หรงนี่อวิ๋นส่ายหน้าติดกัน
“การชมเชยผู้อื่นเป็นคุณธรรมที่ดีงามอย่างหนึ่ง เจ้าเรียนรู้ไว้หน่อย ต่อไปแต่งงานมีเมียแล้ว ชมนางทุกวัน ข้ารับรองเลยว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าจะดีมากราวกับเป็นแฝดสยาม”
“แฝดสยามคืออะไร”
มู่หรงนี่อวิ๋นถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไร ยกอาหาร”
หลิงอวี้จื้อยกอาหารขึ้นมาสองจานก็ออกไปก่อน มั่วชิงกับมู่หรงนี่อวิ๋นต่างก็ยกคนละสองจาน อยู่ในจวน มู่หรงนี่อวิ๋นไม่เคยทำเรื่องเหล่านี้เลย และไม่เคยคิดจะทำสิ่งเหล่านี้ด้วย ต่อหน้าหลิงอวี้จื้อกลับทำอย่างเป็นธรรมชาติมาก ขนาดลืมฐานะของตนเองไปแล้ว ทำเหมือนว่าตนเองเป็นคนธรรมดา
อาหารวางบนโต๊ะแล้ว หลิงอวี้จื้อก็ให้มั่วชิงไปตามเซียวเหยี่ยน เห็นอู่จิ้นกลับมา ก็เรียกอู่จิ้นมาตรงหน้า ถามว่า
“อู่จิ้น มีชาวบ้านติดเชื้อทั้งหมดเท่าไรหรือ”
“ตรวจสอบแล้ว มีผู้ติดเชื้อนักรบไร้ชีพทั้งหมดห้าร้อยห้าสิบสามคนขอรับ”
อู่จิ้นยืนอยู่ตรงหน้าหลิงอวี้จื้อ รายงานตามความจริง
ได้ยินตัวเลขนี้ หลิงอวี้จื้อก็รู้สึกหนักใจทันใด
“เยอะขนาดนี้เชียว บริเวณบาดแผลของพวกเขามีผื่นแดงขึ้นกันหมดหรือยัง”
“ขอรับ เพียงได้รับเชื้อ ก็จะมีผื่นแดงปรากฏหมดขอรับ ห้าร้อยกว่าคนนี้ถูกพาออกนอกเมืองแล้ว มีเด็กน้อยที่ติดเชื้อคนหนึ่งหายตัวไป ตอนนี้กำลังค้นหาตัวอยู่ น่าจะจับได้ในอีกไม่นาน
คนบาดเจ็บที่เหลือทำแผลเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ ตอนนี้ได้รับการดูแลชั่วคราว อีกสองวันหากบาดแผลไม่มีปัญหาก็จะปล่อยกลับบ้าน คุณหนู วางใจเถิด สี่ร้อยกว่าคนนี้ แม่ทัพจางจะจัดการอย่างถูกต้องเหมาะสม”
หลิงอวี้จื้อไม่ได้พูดอะไร ที่บอกว่าจัดการอย่างถูกต้องเหมาะสมก็คือฆ่าพวกเขาทั้งหมด ซ้ำยังไม่สามารถเก็บศพเอาไว้ได้ เธอไม่ได้ถามต่อ เพียงแต่ตอบรับว่าอืมหนึ่งคำ เป็นสัญญาณให้อู่จิ้นไปได้
ตอนนี้เองที่ป้าโจววิ่งโซซัดโซเซเข้ามา อุ้มเด็กผู้ชายตัวน้อยในมือ เมื่อเห็นหลิงอวี้จื้อก็วางเด็กลง แล้วคุกเข่าดังตึง กอดขาหลิงอวี้จื้อเอาไว้
“แม่นาง ขอร้อง ช่วยเจ้าเสือด้วย ขอร้อง ช่วยเขาหน่อย เขาเพิ่งจะสี่ขวบเอง ขอร้องนะ ตอนนี้มีเพียงเจ้าที่ช่วยเจ้าเสือได้”
ป้าโจวโขกหัวดังปึงปัง โขกไปพลางพูดซ้ำๆ ไปพลาง
ส่วนเด็กชายที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องไห้ไม่หยุด
“ท่านย่า ข้ากลัว…”
หลิงอวี้จื้อเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่อู่จิ้นบอกว่าเด็กติดเชื้อคนหนึ่งหายตัวไป เด็กที่หายไปก็คือเจ้าเสือ บังเอิญเป็นหลานชายของป้าโจวด้วย
เธอก้มตัวลงจะประคองป้าโจวขึ้นมา เพียงแต่ทำอย่างไรป้าโจวก็ไม่ยอมลุก คว้ากระโปรงของหลิงอวี้จื้อไว้แน่น
“พวกเขาจะเอาเจ้าเสือไป แม่นาง เจ้าเป็นคนดี เจ้าช่วยเจ้าเสือเถิดนะ”
ตอนที่ 415 วอนขออย่างโศกเศร้า
ตอนนี้เองข้างนอกมีทหารวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เห็นหลิงอวี้จื้อก็ทำความเคารพทันที
“คุณหนู เด็กคนนี้อาจจะติดเชื้อแล้ว พวกเราต้องพาไปทันที”
พูดจบก็เข้าคว้าเจ้าเสือ ป้าโจวปล่อยกระโปรงหลิงอวี้จื้อ กอดเจ้าเสือไว้แน่นแนบอกอย่างมั่นคง
“เจ้าอย่าขยับ ข้ามศพข้าไปก่อน มิเช่นนั้นข้าจะไม่มีทางมอบเด็กให้พวกเจ้า”
ผมป้าโจวยุ่งเหยิง กรีดร้องเสียงดัง เสียสติไปโดยสิ้นเชิง มั่วชิงกลัวว่าจะไปทำร้ายหลิงอวี้จื้อเข้า จึงคอยมองป้าโจวอย่างระแวดระวัง
หลิงอวี้จื้ออารมณ์เสียเต็มที่แล้ว สั่งพลทหารว่า
“พวกเจ้าถอยไป เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
“แต่…”
พลทหารลังเล ไม่กล้าถอยไป หากหลิงอวี้จื้อบาดเจ็บขึ้นมา พวกเขาไม่สามารถรายงานท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ นี่เป็นถึงว่าที่พระชายาท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
“ถอยไป”
หลิงอวี้จื้อพูดเสียงแข็งขึ้น ถึงแม้ว่าเธอจะมีหน้าตุ๊กตา แต่เมื่อโกรธจริงๆ แล้ว ก็มีพอมีพลังยับยั้งอยู่ ประกอบกับเธอเป็นนักแสดง สายตาจึงแหลมคมถึงอารมณ์มาก
ความน่าเกรงขามของหลิงอวี้จื้อทำให้พลทหารนิ่งตะลึง อึ้งอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอยไป
ป้าโจวคลายกังวลลงอย่างเห็นได้ชัด เอาความหวังทั้งหมดฝากไว้ที่หลิงอวี้จื้อ ดึงเจ้าเสือวิ่งไปด้วยกัน น้ำเสียงลนลาน
“เจ้าเสือ เจ้ารีบขอบคุณคุณหนู นางช่วยเจ้าเอาไว้ รีบโขกคำนับคุณหนูสิ”
เด็กตัวเล็กๆ ไม่รู้เรื่องอะไรมาก ถูกป้าโจวนำโขกหัวพูดขอบคุณ ภายในใจหลิงอวี้จื้อเศร้าโศกมาก เธอก็ช่วยเขาไม่ได้ นี่ทำให้เธอนึกถึงหนานเยียน ตอนนั้นหนานเยียนก็จากเธอไปเช่นนี้ เธอพยายามยื้อหนานเยียนสุดชีวิต สุดท้ายทำได้เพียงเห็นหนานเยียนจากไปต่อหน้าต่อตา
หลิงอวี้จื้อก้มลงประคองป้าโจวขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ป้าโจวไม่ได้ปฏิเสธ พาเจ้าเสือลุกขึ้น หลิงอวี้จื้อไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากบอกป้าโจวอย่างไร
ดูออกว่า ป้าโจวรักใคร่เอ็นดูหลานชายตนเองมาก สำหรับป้าโจวเรื่องนี้เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็โหดร้ายพอกัน เหมือนตอนแรกที่พวกเขากล่อมเธอให้ยอมสละหนานเยียน
ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หลิงอวี้จื้อก็ยังต้องเอ่ยปาก พยายามข่มอารมณ์ตนเองอย่างที่สุดกำลัง
“ป้าโจว เจ้าเสือบาดเจ็บตรงไหน ให้ข้าดูหน่อยสิ”
ป้าโจวเลิกแขนเสื้อของเจ้าเสือขึ้นมา แล้วยื่นแขนไปตรงหน้าหลิงอวี้จื้อ เธอเห็นหลังมือของเจ้าเสือมีรอยข่วนลึกมากสองรอย เหมือนโดนเล็บกรีดข่วน เลือดไหลซิบออกมา
รอบแผลมีรอยผื่นแดงขึ้นเต็ม รอยผื่นแดงนี้เธอคุ้นเคยดี เธอรู้ว่าผื่นแดงนี้หมายความว่าอย่างไร
“เจ้าเสือมีแผลเล็กน้อยเอง ทายาสักหน่อยก็หายแล้ว พวกเขาจะพาเจ้าเสือไปรักษา แล้วไม่พาข้าไปด้วย แต่เจ้าเสือยังเล็กนัก ข้าจะวางใจให้เขาไปรักษาแผลเพียงลำพังได้อย่างไร”
ป้าโจวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดี เห็นพลทหารตรวจดูบาดแผลทุกบ้าน บอกว่าจะพาไปรักษา
นางนึกได้ว่ามือของเจ้าเสือเป็นแผล รู้ว่าหากเจ้าเสือถูกพาไป อาจจะกลับมาไม่ได้แล้ว นางเป็นห่วงเจ้าเสือ ถึงได้ซ่อนเจ้าเสือเอาไว้ นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะมาตามหาอีก
“ป้าโจว เจ้าเสือป่วยแล้วจริงๆ ใส่ยาสักหน่อยก็ทำให้แผลหายดีได้ แต่ไม่สามารถกำจัดผื่นแดงบนมือของเขาได้ ต่อไปผื่นแดงจะมากยิ่งขึ้น ผื่นแดงเหล่านี้แพร่เชื้อได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพาเจ้าเสือไปรักษาโรค”
“ข้าไม่กลัวติดเชื้อ อย่างนั้นข้าไปดูแลเจ้าเสือก็ได้ จะไม่ทำให้คนอื่นลำบากเด็ดขาด หากว่าเจ้าเสือไม่มีทางรอดแล้ว ข้าก็จะตายกับเจ้าเสือ แม่นาง ขอร้อง เจ้าไปคุยกับคนข้างนอกหน่อย อย่าพาเจ้าเสือไปเลย
ไม่ว่าเขาจะเป็นโรคอะไร ข้าก็จะต้องดูแลเขา เด็กคนนี้ชีวิตลำบาก เพิ่งเกิดมาก็ไม่มีแม่แล้ว พ่อเขาไปเข้าร่วมกองทัพ บัดนี้ยังไม่กลับ ข้ามีเพียงเจ้าเสือคนเดียว เขาคือชีวิตของข้า”