บทที่ 336 หยางเชียนฮ่วนพ้นโทษ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 336 หยางเชียนฮ่วนพ้นโทษ

เบื้องล่างหอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูงแห่งนี้ มุมชายคาโค้งขึ้น ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ราวกับเจดีย์

ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไป มีทางเดินสำหรับชมทิวทัศน์อยู่ทุกชั้น ตอนนี้ตรงกับช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี ทัศนียภาพจากชั้นเจ็ดนั้นงดงามดั่งภาพวาด

เขาไม่ได้ขึ้นไปชั้นบนในทันที แต่กลับยืนเหม่อลอยอยู่นาน จากนั้นจึงจัดหมวกขนมิ้งค์ มองทหารยามด้วยสีหน้าเรียบเฉย และพูดเสียงเคร่งขรึม “ไปรายงานด้วย”

หลังจากที่ทหารยามกลับลงมารายงานแล้ว สวี่ชีอันก็ขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็ว เจ้าพนักงานที่เดินสวนไปมาโค้งคำนับทักทาย เขาเพียงแต่พยักหน้า และส่งเสียงตอบรับสั้นๆ เพียง ‘อืม’

เมื่อก้าวเข้ามาในห้องน้ำชา เท้าก็เหยียบลงบนเสื่อต้นกกนุ่มๆ สวี่ชีอันทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างโต๊ะน้ำชา เบื้องหน้ามีกาน้ำชาร้อนๆ ที่เตรียมไว้ล่วงหน้า และเว่ยเยวียนที่อ่านหนังสือด้วยใบหน้าเรียบสงบ

“เว่ยกง ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงาน”

“ว่ามา”

“การที่ข้าน้อยแทรกแซงศึกสวรรค์มนุษย์นั้นมีสาเหตุอยู่ขอรับ…”

เขารายงานเว่ยเยวียนเกี่ยวกับเรื่องที่นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบหมายให้ทำ และของตอบแทนเป็นยาชิงตัน

เว่ยเยวียนพยักหน้าช้าๆ ใบหน้าของเขาอ่อนลงเล็กน้อย และพูดว่า “ข้าเดาไว้อยู่แล้ว”

สวี่ชีอันทำท่าตั้งอกตั้งใจฟังทันที “ข้าน้อยใจร้อนผลีผลามเช่นนี้ จะต้องทำให้เหล่าบัณฑิตผู้จงรักภักดีในราชสำนักขุ่นเคืองเป็นแน่”

เขามาหาเว่ยเยวียนก็เพื่อสอบถามเรื่องราวสงครามด่านซานไห่ แต่ทำแบบนั้นก็เหมือนกับปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชาเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาฉลาดๆ พึงกระทำ

ลองสลับขั้นตอนนิดหน่อย คราวนี้สวี่ชีอันมาที่หอเฮ่าชี่ก็เพื่อมารายงานสถานการณ์ เรื่องสอบถามก็แค่เปรยๆ ขึ้นมา

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

เว่ยเยวียนส่ายหน้า “แม้ว่าเจ้าจะเข้าไปแทรกแซงในศึกระหว่างสวรรค์มนุษย์ แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งการต่อสู้ พวกคนที่อยากเห็นลั่วอวี้เหิงตาย อย่างมากก็แค่รู้สึกโกรธเคืองเจ้าเท่านั้นเอง”

แล้วท่านโกรธข้าหรือไม่เว่ยกง…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดต่อ “เป็นเพราะฤทธิ์ยาชิงตันแท้ๆ พลังเทพวชิระของข้าน้อยจึงสำเร็จได้โดยง่าย”

เว่ยเยวียนไม่ได้สนใจเรื่องนี้ จึงส่งเสียง ‘อืม’ ตอบกลับสั้นๆ

สวี่ชีอันรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรต่อ จึงเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยอยากรู้ว่าขั้นที่ห้าสลายแรง ต้องฝึกฝนอย่างไรบ้างขอรับ”

เว่ยเยวียนวางม้วนหนังสือลง จิบน้ำจากถ้วยน้ำชาหนึ่งอึก นั่งตัวตรง และมองไปยังสวี่ชีอัน “ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจก่อนว่า การสลายแรงคืออะไร อืม ชกไปทางซ้ายหนึ่งทีซิ”

สวี่ชีอันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายเท่าไร แต่ก็กำหมัดและชกไปทางซ้ายตามคำสั่งแต่โดยดี

เว่ยเยวียนหยิบม้วนหนังสือ และตบไปที่บ่าและปลายแขนของเขา พลางกล่าวยิ้มๆ “ตรงนี้สั่นสะเทือนอย่างชัดเจนเลย”

“ก็…มันต้องแบบนั้นอยู่แล้วนี่ขอรับ” สวี่ชีอันตอบกลับ

เจ้าเป็นมนุษย์โบราณ ข้าจะไม่เอาความรู้ชั้นสูงอย่างการกระทำของแรงมาพูดกับเจ้าหรอกนะ

เวลาที่ปล่อยหมัดออกไป ไม่ว่าจะกระทบกับเป้าหมายหรือไม่ ก็จะเกิดแรงส่งไปที่แขนอยู่แล้ว ซึ่งทำให้บ่าและกล้ามเนื้อสั่นสะเทือนเป็นธรรมดา

หากต่อยเข้าที่วัตถุ แขนก็จะได้รับปฏิกิริยากลับมาเช่นกัน

“การสลายแรงต้องไม่ให้เกิดการสั่นสะเทือน ทหารที่ฝึกในขั้นนี้ ต้องสามารถควบคุมพลังของตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ให้สูญเสียพลังไปแม้แต่น้อย”

เว่ยเยวียนหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง และเอ่ยอย่างใจเย็น “เหตุใดบรรดาระบบหลักถึงเกรงกลัวทหาร สิ่งที่พวกเขากลัวคือทหารระดับห้าขึ้นไป สิ่งที่กลัวก็คือทหารขั้นสลายแรง เข้าใจหรือไม่”

ทหารที่ทรงพลังสามารถกำจัดผู้ฝึกตนในระบบใดๆ ได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียวงั้นหรือ แต่ แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่เป็นไปตามหลักกลศาสตร์เลยนะ…เดี๋ยวก่อน ข้าจำได้แล้ว เมื่อก่อนหยางเยี่ยนและเจียงลวี่จงเคยต่อสู้กันในที่ทำการปกครองเพื่อชิงตัวชายงามล่มเมืองเช่นข้านี่หว่า

สวี่ชีอันจำการต่อสู้ครั้งนั้นได้ การต่อสู้ระหว่างฆ้องทองคำทั้งสองไม่มีการสะท้อนแรง ไม่มีปฏิกิริยาโต้กลับ ผิดหลักการกลศาสตร์อย่างร้ายแรง เขายังประหลาดใจในตอนนั้น แต่แอบคาดเดาว่าคงเป็นระดับขั้นใดสักขั้นของระบบทหารที่นำเวทมนตร์มาใช้

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็คือขั้นห้าสลายแรงนั่นเอง

“ในเมื่อเจ้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าจะให้ความรู้เกี่ยวกับระบบทหารสักหน่อย” เว่ยเยวียนกล่าว ขณะอ่านหนังสือ

“ก่อนจะถึงขั้นที่ห้านั้น พรสวรรค์มีบทบาทเพียงสามส่วน ความมานะสามส่วน และกายภาพสี่ส่วน หลังจากผ่านขั้นที่ห้า พรสวรรค์คิดเป็นหกส่วน ความมานะสองส่วน และกายภาพสองส่วน”

“เพราะเหตุใดขอรับ” สวี่ชีอันงงงวย

“หากเจ้าต้องการควบคุมพลังทุกส่วนของเจ้า เจ้าต้องอาศัยความแตกฉานในตัวทหาร ปัจจัยภายนอกนั้นไม่มีส่วนช่วย ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีเพียง ตำราเคลื่อนชีพจร ชิ้นเดียวเท่านั้น ที่พอจะประโยชน์ใกล้เคียงกับสิ่งที่เจ้าต้องการ แต่จะฝึกฝนการแสลายแรงสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

“ก่อนจะไปถึงขั้นที่ห้า ขอแค่มีเคล็ดวิชา มีปัจจัยส่งเสริม พรสวรรค์หากไม่ย่ำแย่จนเกินไป ยังไงก็สามารถบรรลุได้ ผู้ฝึกตนขั้นหกมีมากดั่งขนวัว พอก้าวสู่ขั้นที่ห้า จำนวนก็เริ่มลดลง พอถึงขั้นที่สาม…ในราชสำนักต้าฟ่ง ก็มีอ๋องสยบแดนเหนือเพียงคนเดียว” เว่ยเยวียนกล่าว

มีแต่อ๋องสยบแดนเหนือคนเดียวในราชสำนักต้าฟ่ง…สวี่ชีอันเข้าใจความหมายในคำพูดของเว่ยเยวียนอย่างถ่องแท้ เขาถามต่อ “แล้วในยุทธภพมีจอมยุทธ์ขั้นที่สามบ้างหรือไม่”

“ในยุทธภพมีราชามากมาย อย่าได้ประมาทพวกจอมยุทธ์เถื่อนเชียว” เว่ยเยวียนกล่าวยิ้มๆ “แต่ตอนนี้ยังหายาก และส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในกฎในเกณฑ์ ราชสำนักจึงมีท่าทีสนับสนุนพวกเขา อนุญาตให้เป็นจอมยุทธ์ได้ หากมีโอกาส เจ้าก็ลองไปเจี้ยนโจวสักครั้งก็ได้ การฝึกทหารของที่นั่นเจริญรุ่งเรืองที่สุดในต้าฟ่งแล้ว”

มิน่าเว่ยเยวียนถึงได้คะยั้นคะยอให้ข้าไปท่องยุทธภพตลอด ยุทธภพดูน่าสนใจไม่หยอก…สวี่ชีอันหยุดครุ่นคิด และเปรยถาม

“เว่ยกง ไม่นานมานี้ข้าน้อยเพิ่งศึกษาประวัติศาสตร์มา…”

ทันทีที่พูดจบ เขาถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงประชดประชันแกมด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้มของเว่ยเยวียน “เจ้าอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ได้ด้วยหรือ”

ข้ารู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่นจากปัญญาชนเลย…สวี่ชีอันยิ้มฝืนๆ “บางครั้งข้าน้อยก็อ่านหนังสือได้นะขอรับ อย่างไรเสียข้าก็ถือว่าเป็นปัญญาชนครึ่งตัว”

คิดถึงสมัยนั้นที่เขาเองก็เป็นวีรบุรุษผู้ฝ่าฟันระบบการศึกษาภาคบังคับเก้าปีมาได้ เพียงแต่เมื่ออายุมากขึ้น ความอยากเรียนก็ถดถอยลง

เมื่อเห็นว่าเว่ยเยวียนไม่แย้ง สวี่ชีอันก็ตรงเข้าประเด็น และเอ่ยถามอย่างสงสัย “ข้าน้อยพบว่านอกจากการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีของสำนักพุทธและอาณาจักรหมื่นปีศาจแล้ว สงครามด่านซานไห่ก็เป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์จิ่วโจว

“สงครามนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรหรือขอรับ ในหนังสือประวัติศาสตร์ไม่ได้ระบุไว้แน่ชัด ข้าน้อยคิดว่าเว่ยกงเป็นบัญชาการห้าเหล่าทัพในขณะนั้น ท่านน่าจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี”

เว่ยเยวียนครุ่นคิดอยู่นาน ราวกับกับระลึกถึงอดีต ดวงตาฉายแววผันผวน ก่อนจะเอ่ยช้าๆ

“รัชศกหยวนจิ่งที่สิบสาม ชนเผ่าเถื่อนตอนใต้นำโดยเผ่าพันธุ์กู่ จู่โจมชายแดนทางใต้ของต้าฟ่ง ตีเมืองยึดดินแดน วางยาพิษไปไกลร้อยลี้ หลังจากที่ราชสำนักได้รับรายงานจากทัพหน้า ก็รีบจัดทัพเพื่อขับไล่ชนเผ่าเถื่อนโดยทันที

“ผลก็คือ ในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน กลุ่มชนเผ่าเถื่อนทางเหนือและเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ร่วมมือกันจัดกองกำลังทหารม้าและปีศาจจำนวนสองแสนนาย เคลื่อนพลลงใต้เข้าโจมตีต้าฟ่งราวกับสิงโตตะครุบกระต่าย

“ต้าฟ่งถูกโจมตีทั้งหน้าทั้งหลัง หลังจากสงครามผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งปี ในปีรัชศกหยวนจิ่งที่สิบสี่ ก็มีการสละดินแดนสองเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นอาณาบริเวณหลายหมื่นลี้ และมุ่งความสนใจมาต่อสู้กับชนเผ่าเถื่อนตอนใต้แทน

“ในฤดูใบไม้ร่วงของปีเดียวกัน อาณาจักรหมื่นปีศาจได้ยึดครองเมืองทั้งสอง และประกาศว่าจะฟื้นฟูอาณาจักรของพวกมัน”

เว่ยเยวียนลุกขึ้นเดินไปยังแผนที่อาณาเขตแนวตั้ง ใช้นิ้วชี้วาดวงกลมขนาดใหญ่ตรงบริเวณตะวันตกของต้าฟ่ง และกล่าว

“เมื่อฉู่โจวและจิงโจวถูกแยกออกจากกัน พวกชนเผ่าเถื่อนทางเหนือ เผ่าพันธุ์ปีศาจ และอาณาจักรหมื่นปีศาจ ก็ร่วมมือกันเป็นสามพันธมิตร ไม่ว่าจะลงใต้ไปโจมตีต้าฟ่ง หรือเคลื่อนทัพไปรุกรานดินแดนพุทธ ทั้งสามฝ่ายล้วนช่วยเหลือ ร่วมมือกันจู่โจมศึกที่อยู่ใกล้ที่สุด

“ดังนั้น เมื่อถึงปีรัชศกหยวนจิ่งที่สิบห้า ดินแดนพุทธประจิมทิศก็เข้าร่วมสงคราม สถานการณ์การรบพลิกผันในช่วงสั้นๆ ดินแดนพุทธร่วมมือกับต้าฟ่ง ชิงฉู่โจวและจิงโจวกลับคืนมาได้ภายในสามเดือน ต้าฟ่งที่พอจะหายใจหายคอได้บ้าง ก็ยิ่งส่งกองกำลังลงใต้มากขึ้น เพื่อต่อกรกับชนเผ่าเถื่อนนำโดยเผ่าพันธุ์กู่”

ในสงครามด่านซานไห่ในปีนั้น มีกากเดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจเข้าร่วมตามคาด นั่นคือบุตรกำพร้าของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง องค์หญิงแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ เป้าหมายสูงสุดของนางคือฟื้นฟูอาณาจักร…ความพ่ายแพ้ในสงครามด่านซานไห่ทำให้นางตระกนักได้ว่า สำนักพุทธนั้นแข็งแกร่งเกินไป หากคิดจะฟื้นฟูอาณาจักรต้องทำให้สำนักพุทธอ่อนแอลงเสียก่อน…เพราะฉะนั้นนางจึงเริ่มวางแผนชิงเสินซูที่ผนึกอยู่ใต้ซังผองั้นหรือ?

สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ ตราบใดที่รู้เป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน ย่อมมีร่องรอยเอาไว้ให้ติดตาม สามารถโต้ตอบได้อย่างสบายๆ

เขาคิดถึงอีกคำถามตามมาติดๆ การเกิดขึ้นของพุทธศาสนานิกายมหายาน ย่อมนำมาซึ่งความโกลาหลในดินแดนประจิมทิศ การต่อสู้ทางความคิดย่อมเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากสำนักพุทธแตกแยกกันในเวลานั้น

จิ้งจอกเก้าหางจะมีความคิดเช่นไรหนอ?

นางเพียงพยายามมาหลายร้อยปี แต่กลับไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ฆ้องเงินตัวเล็กๆ คนหนึ่งในต้าฟ่ง กลับแบ่งแยกสำนักพุทธได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ…

เว่ยเยวียนกล่าวต่อ “ปีรัชศกหยวนจิ่งที่สิบหก ทั้งชนเผ่าเถื่อนตอนใต้ เผ่าพันธุ์ปีศาจตอนเหนือ รวมถึงสำนักพ่อมดจากตะวันออกเฉียงเหนือต่างเข้าร่วมกองทัพที่ด่านซานไห่ ปะทะกับสำนักพุทธแดนประจิมและต้าฟ่งในสงครามชี้ชะตา ทุกฝ่ายเกณฑ์ไพร่พลมามากกว่าล้านนาย สงครามกินเวลายาวนานถึงครึ่งปีโดยไม่หยุดพัก จนท้ายที่สุดต้าฟ่งและดินแดนพุทธก็ได้มาซึ่งชัยชนะอันน่าสลดใจ ที่ประวัติจารึกไว้ว่า สงครามซานไห่”

“เว่ยกง เหตุใดจู่ๆ สำนักพ่อมดถึงได้เข้าร่วมสงครามละขอรับ” สวี่ชีอันถาม

“เพราะเห็นผลประโยชน์น่ะสิ สำนักพ่อมด…เกลียดชังต้าฟ่งมาโดยตลอด เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องไปถึงตอนแรกเริ่มก่อตั้งต้าฟ่ง” เว่ยเยวียนตอบกลับ

เรื่องนี้ข้ารู้ ปฐมจักรพรรดิผู้ก่อตั้งต้าฟ่งหลอกใช้สำนักพ่อมด ยามต้องการก็ยกยอปอปั้น ครั้นก่อตั้งอาณาจักรได้แล้วก็ผลักไสไล่ส่ง พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า…สวี่ชีอันบ่นอุบในใจ

“หากสำนักพ่อมดโจมตีฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือจะดีกว่าหรือไม่ขอรับ” สวี่ชีอันสงสัย

“แม้แต่ในยามยากลำบากจนถึงที่สุด ราชสำนักก็ยังยินยอมสละดินแดนสองเมืองทางเหนือ มากกว่าจะผ่อนปรนกำลังทหารที่ส่งไปยังตะวันออกเฉียงเหนือ หากสำนักพ่อมดโจมตีภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่ไม่สามารถยึดเมืองได้ในเร็ววัน เมื่อสงครามด่านซานไห่สงบลง ต้าฟ่งก็จะมีเวลาและกำลังพลเหลือเฟือที่จะส่งไปช่วยเหลือชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ยืมมือชนเผ่าเถื่อนทางเหนือและเผ่าพันธุ์ปีศาจยังดีเสียกว่า จึงมุ่งหน้าไปยังด่านซานไห่ และร่วมศึกครั้งเดียวตัดสินแพ้ชนะไปเลย”

สวี่ชีอันถือถ้วยน้ำชาและตกอยู่ในห้วงคำนึง

สงครามด่านซานไห่เริ่มต้นขึ้นจากพันธมิตรชนเผ่าเถื่อนแดนเหนือและใต้ แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้นเผ่าพันธุ์กู่นำกำลังชนเผ่าเถื่อนทางใต้โจมตีชายแดนต้าฟ่งก่อน จากนั้นชนเผ่าเถื่อนทางเหนือก็รุกรานชายแดนต้าฟ่งตาม

เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นฝีมือผู้นำเผ่าเทียนกู่คนก่อนที่ยุแยง ปลุกระดมเผ่าพันธุ์กู่ให้ลุกขึ้นก่อสงคราม ซึ่งเป็นไปตามแผนของโจรทั้งสอง

โจรอีกคนหนึ่งเป็นโหร และระบบโหรถือกำเนิดขึ้นจากระบบพ่อมด ย้อนกลับไปเมื่อครั้งสำนักพ่อมดเข้าแทรกแซงในการต่อสู้ในด่านซานไห่ โหรลึกลับต้องคอยเติมเชื้อไฟและสร้างตัวเร่งปฏิกิริยาอย่างแน่นอน

สวี่ชีอันสามารถจินตนาการได้ว่าตอนนั้นสองโจรเกลี้ยกล่อมทุกฝ่ายให้มาเป็นพันธมิตร และเปิดศึกครั้งใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ได้อย่างไร

ดังนั้นกากเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจจึงรับรู้ถึงโชคชะตาในร่างของข้า ผ่านเหตุการณ์ในครั้งนั้นสินะ? ไม่ ไม่สิ แผนการช่วงชิงโชคชะตาเป็นแผนลับของโจรสองคนนั้น ก่อนที่โชคชะตาของข้าจะตื่น แม้แต่ท่านโหราจารย์ไม่เคยล่วงรู้…แล้วองค์หญิงแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจค้นพบโชคชะตาในร่างข้าผ่านช่องทางใดกันแน่?

นางต้องรู้แน่ มิฉะนั้นคงจะปล่อยภิกษุเสินซูเข้ามาเป็นปรสิตเกาะติดร่างของข้าไม่ได้

เฮ้อ…เรื่องนี้ช่างมันก่อนเถอะ มาตั้งเป้าหมายระยะยาว และสืบหาสาเหตุที่โหรลึกลับต้องช่วงชิงโชคชะตาดีกว่า หัวหน้าเผ่าเทียนกู่ช่วงชิงโชคชะตาเพื่อผนึกเทพเจ้ากู่ แล้วโหรลึกลับมีเป้าหมายอะไร

ขณะที่จมจ่อมอยู่ในห้วงความคิด เว่ยเยวียนก็ถามขึ้น “ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่”

สวี่ชีอันส่ายหน้า “ไม่มีแล้วขอรับ”

เขาตัดสินใจไม่บอกเว่ยเยวียนเกี่ยวกับโชคชะตาของเขา แม้ว่าท่านโหราจารย์และนักบวชเต๋าจินเหลียนจะรู้เรื่องนี้ก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพราะสองเฒ่าเหรียญปากผีนั้นล่วงรู้ด้วยตนเอง

สวี่ชีอันไม่เคยคิดที่จะบอกคนอื่น

ที่ไม่ได้บอกเว่ยเยวียนเพราะสวี่ชีอันมีความกังวลอยู่ในใจ เว่ยเยวียนเป็นถึงอัจริยบุคคลของดินแดน ในใจของเขาย่อมยกราชวงศ์ต้าฟ่งขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ก็สอง

สวี่ชีอันไม่คิดว่าในใจของเว่ยเยวียนนั้นเขาจะสำคัญมากกว่าต้าฟ่ง หากเว่ยเยวียนรับรู้สาเหตุว่าที่พลังแผ่นดินของต้าฟ่งอ่อนแอลงนั้น เป็นเพราะโชคชะตาของแผ่นดินถูกช่วงชิงและส่งต่อมาสู่ตัวของเขา

เว่ยเยวียนจะเลือกอย่างไร

เขายังคงเป็นที่พึ่งพาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า แต่ข้าไม่อาจเดิมพันชีวิตของข้าได้ สวี่ชีอันคิดในใจ

“ลองคิดดูอีกที ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” เว่ยเยวียนจ้องเขาตาเขม็ง

“ไม่มีแล้วขอรับ” สวี่ชีอันสบตาเขาและส่ายหน้า

ในห้องที่มีแสงสลัว มือขาวนวลถือพู่กันเขียนจดหมายลับ มีเนื้อความว่า

‘เรียนนายท่าน

เมื่อไม่นานมานี้ เกิดเรื่องราวมากมายขึ้นในต้าฟ่ง หลังจากการตรวจสอบข้าราชสำนัก การต่อสู้ระหว่างพรรคก็ค่อยๆ สงบลง เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางร่วมมือกันริเริ่มแก้ไขปัญหาจุดอ่อนของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว

ข้าได้ยินข่าวลือมาว่า เป้าหมายต่อไปของพวกเขาคือการตรวจสอบการยักยอกที่ดินของเหล่าทหารและการลดหย่อนภาษีอย่างถี่ถ้วน เฮ้อ ทั้งสองคนร่วมมือกันคงกวาดล้างท้องพระโรงได้หมดเป็นแน่

แต่ตราบใดที่จักรพรรดิหยวนจิ่งยังไม่ลดละในการฝึกตน เขาก็เป็นเพียงเทาเที่ย[1]ที่ไม่รู้จักพอ คอยดูดกลืนพลังแผ่นดินของต้าฟ่ง นโยบายการลดหย่อนภาษีจะต้องถูกขัดขวาง

ท่านโปรดวางใจ อีกสิบปีข้างหน้า พลังแผ่นดินของต้าฟ่งก็จะตกต่ำลงสู่ก้นเหว ดินแดนพุทธสูญเสียพันธมิตรที่ทรงพลังเช่นนี้ไป ต่อให้แข็งแกร่งมาจากไหน ก็ยากที่จะยืนหยัดเพียงลำพัง หากสงครามสงครามซานไห่ปะทุขึ้นอีกครั้ง ชัยชนะต้องเป็นพวกเราแน่

จริงสิ ข้ามีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ ระหว่างพิธีต้าวฮวดระหว่างสำนักโหราจารย์และสำนักพุทธ ฆ้องเงินสวี่ชีอันได้เสนอแนวคิดของพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งทำให้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เกิดการรู้แจ้ง ข้าน้อยคาดการณ์ว่าในปีนี้อาจเกิดกลียุคครั้งใหญ่ในประจิมทิศ นี่เป็นโอกาสของเราแล้ว

ช่างเป็นบุรุษผู้แสนอัศจรรย์อย่างแท้จริง อนาคตของเขายังยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด ข้าน้อยขอบังอาจถาม ท่านมีแผนการใดที่ตระเตรียมให้กับเขาหรือเจ้าคะ’

มือขาวนวลวางพู่กันลง มองดูจดหมายลับ และนิ่งเงียบอยู่นาน

สำนักโหราจารย์

ประตูหินที่นำไปสู่ชั้นใต้ดินถูกเปิดออกท่ามกลางเสียงตบเท้า โหรชุดขาวระดับเก้าคนหนึ่งตะโกนเข้าไปในชั้นใต้ดินที่ลึกและเงียบสงัด “ศิษย์พี่หยาง ผ่านมาห้าวันแล้ว ท่านออกมาได้แล้วล่ะ”

ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างในชุดสีขาวก็เดินถอยหลังออกมา หันหลังเผชิญกับคนทั้งโลกอย่างดื้อรั้น

“ข้าหยางเชียนฮ่วน ในที่สุดก็ได้หวนคืนสู่โลก ไม่มีใครหยุดยั้งข้าได้อีกต่อไป” ร่างในชุดสีขาวพูดช้าๆ

“เออๆๆ…” โหรระดับเก้าตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจและกล่าวเตือน

“ครั้งหน้าอย่าทำอะไรโง่ๆ อีกล่ะ ท่านโหราจารย์กล่าวว่า หากท่านเลียนแบบสวี่ชีอันอีกละก็ เจ้าจะถูกขังไว้ชั้นใต้ดิน อย่าหวังว่าจะได้ออกมาอีกชั่วชีวิต”

หยางเชียนฮ่วนพ่นลมหายใจ “เหตุใดคนแซ่หยางเช่นข้าต้องไปเลียนแบบเจ้านั่นด้วย” ‘เขาก็แค่ทำในสิ่งที่ข้าอยากทำก็เท่านั้น’

‘จะบ้าตายรายวัน’…โหรระดับเก้าก่นด่าในใจ

“ในช่วงเวลาที่ข้าถูกขังอยู่ในชั้นใต้ดิน โลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง” หยางเชียนฮ่วนเอามือไพล่หลัง น้ำเสียงราบเรียบ

…………………………………………………………….

[1] เทาเที่ย (饕餮) กล่าวกันว่าเป็นโอรสองค์ที่ห้าของมังกร เป็นสัตว์ประหลาดในจินตนาการชนิดหนึ่ง ใน “ซานไห่จิง” 《山海经》

บรรยายลักษณะเด่นของเทาเที่ยเอาไว้ว่า “ร่างแพะ นัยน์ตาอยู่ใต้รักแร้ เขี้ยวพยัคฆ์กรงเล็บมนุษย์ มีหนึ่งเศียรใหญ่กับหนึ่งปากใหญ่

ตะกละอย่างยิ่ง เห็นอะไรเป็นกิน เนื่องจากกินมากเกินไป สุดท้ายท้องอืดตาย” ต่อมาจึงบรรยายผู้ที่ละโมบโลภมากว่า “เทาเที่ย”