บทที่ 337 เขา เขาใกล้จะทำสำเร็จแล้วหรือ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 337 เขา เขาใกล้จะทำสำเร็จแล้วหรือ

“มีขอรับ ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์สิ้นสุดลงแล้ว” โหรชุดขาวพูด

เขามองไปยังใต้ดินที่ลึกและเงียบสงบทันที เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่หญิงห้าไม่ได้ขึ้นมา เขาก็รีบดึงกลไกลงทันทีและปิดประตูหินช้าๆ

ใต้ดินของหอดูดาวมีค่ายกลที่ท่านโหราจารย์จัดเตรียมไว้ด้วยตัวเองและศิษย์พี่จงก็อยู่ภายในนั้น จึงสามารถปิดกั้นความโชคร้ายได้ แต่หายนะเป็นสิ่งที่ต้องผ่านพ้นไปให้ได้ในท้ายที่สุด เว้นเสียอยากจะอยู่ใต้ดินไปชั่วชีวิต

‘ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์สิ้นสุดลงแล้วหรือ’ หยางเชียนฮ่วนพยักหน้าอย่างเสียดาย “พลังต่อสู้ของฉู่หยวนเจิ่นแข็งแกร่งมาก แม้ว่าข้าจะไม่เคยพบหลี่เมี่ยวเจิน แต่คิดว่าก็คงไม่ใช่คนอ่อนแอเช่นกัน ไม่ได้เห็นทั้งสองคนประมือกัน ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

เขาขยับท้ายทอยและถามว่า “ใครชนะหรือ”

ในฐานะโหรระดับสี่ บุตรแห่งสวรรค์ เขาค่อนข้างสนใจผลแพ้ชนะของศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์

“ทั้งสองคนต่างก็ไม่ชนะ” ศิษย์น้องระดับเก้าตอบ

“เสมอหรือ”

ผลลัพธ์นี้ทำให้หยางเชียนฮ่วนรู้สึกประหลาดใจ

“ไม่ขอรับ คนที่ชนะคือคุณชายสวี่ เขาต่อสู้กับศิษย์ผู้โดดเด่นของทั้งสองนิกายสวรรค์และมนุษย์ตัวต่อตัว ภายใต้สายตาของมวลชนที่กำลังจ้องมอง เขาเอาชนะทั้งสองคนและโดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร” โหรชุดขาวกล่าว

‘ต่อสู้กับศิษย์ผู้โดดเด่นของลัทธิเต๋าตัวต่อตัวและเอาชนะทั้งสองคนภายใต้สายตาของมวลชนที่กำลังจ้องมอง…’ หยางเชียนฮ่วนหายใจแทบไม่ออก อาศัยประสบการณ์ที่แสดงความสามารถมาหลายปี เขาสัมผัสได้ถึงอานิสงส์ที่ลึกลับอย่างยิ่งจากในนั้น

หยางเชียนฮ่วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและสั่นเทาเล็กน้อย “เจ้า เจ้าเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังอย่างละเอียดที”

“ข้าก็ได้ยินข่าวลือมาเช่นกัน ตอนนั้นข้าไม่ได้ชมการประลองอยู่ในที่เกิดเหตุขอรับ” โหรหนุ่มเล่าว่า

“ที่ตั้งของศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์คือแม่น้ำเว่ยสุ่ยในชานเมืองหลวง ว่ากันว่าตอนนั้นคุณชายสวี่ก้าวลงเรือลำเล็กมาพร้อมกับเสียงฉินอันกังวานรื่นหู…”

‘ในหัวมีภาพ…’ หยางเชียนฮ่วนหลับตาลงและจินตนาการถึงฝูงชนสองฝั่งพลุ่งพล่าน ตัวเอกสองคนของศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์กำลังเผชิญหน้ากันอย่างตึงเครียด ทันใดนั้น เสียงฉินที่กังวานรื่นหูก็ดังขึ้น ทุกคนตกตะลึง ชี้ไปทางเงาคนที่ยืนอย่างทระนงอยู่บนหัวเรือและพูดว่า

‘อ้อ เป็นคุณชายหยางแห่งสำนักโหราจารย์’

“ว่ากันว่าคุณชายสวี่ยังขับบทกวีอีกด้วย” โหรหนุ่มปรบมือ

ดวงตาของหยางเชียนฮ่วนส่องประกาย เขาหายใจหอบหนัก ท้ายทอยจ้องมองเขาอย่างเป็นประกายและถามด้วยน้ำเสียงเร่งรีบเล็กน้อย “บทกวีอะไร รีบพูดมา รีบพูดมา!”

โหรหนุ่มนึกขึ้นได้และพูดว่า

“พาดกระบี่ล่องเรือสีขาวในแม่น้ำเว่ย ไม่ใช่เพื่อศัตรูไม่ใช่เพื่อบุญคุณ หมื่นสนามรบขนามตนเองไม่กล่าวถึงคมมีด เกิดออกมาพร้อมกับดวงตาที่เหยียดหยามวีรบุรุษ อดทนเมื่อเห็นบุตรตัวน้อยกลายเป็นเศรษฐีคนใหม่ โกรธเคืองเมื่อขึ้นเวทีประลองค่อยลงมือ กระบี่แยกถนนแห่งชีวิตและความตายออกจากกัน มือทั้งสองครอบงำสวรรค์และมนุษย์”

‘เมื่อเทียบกับบทกวีก่อนหน้านี้ของคุณชายสวี่ ระดับของบทกวีบทนี้กล่าวได้ว่าธรรมดา…’ เขาเพิ่งจะคิดเช่นนี้ จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหายใจหนักหน่วง

โหรหนุ่มจ้องมองท้ายทอยของหยางเชียนฮ่วน “ศิษย์พี่หยาง”

“บทกวีดี บทกวีดี ระดับความยอดเยี่ยมของบทกวีบทนี้ไม่ด้อยไปกว่าบทกวีครึ่งบทที่เขาขับตอนขวางประตูอู่เหมินในวันนั้นเลย ในบรรดาบทกวีที่สวี่หนิงเยี่ยนเขียน นี่ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่จัดอยู่ในสามอันดับแรกได้”

หยางเชียนฮ่วนพึมพำ

“ไม่ถึงขั้นนั้นๆ” โหรระดับเก้าโบกมือ “ผู้คนข้างนอกต่างพูดว่า บทกวีบทนี้ธรรมดามาก”

หยางเชียนฮ่วนหัวเราะเยาะ “พวกเสเพลพวกนั้นจะไปรู้อะไร บทกวีไม่อาจมองเพียงแค่ผิวเผินได้ ต้องผสมผสานกับสถานการณ์ในตอนนั้นเพื่อชื่นชม เจ้าคิดว่า ทั่วทั้งเมืองหลวงกำลังให้ความสนใจศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ให้ความสนใจฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจิน แต่มีใครให้ความสนใจสวี่ชีอันที่เคยสร้างความตื่นตะลึงในพิธีต้าวฮวดบ้าง ไม่มีเลย ดังนั้น ในเวลานี้เอง เขาถึงขับออกมาว่า ‘อดทนเมื่อเห็นบุตรตัวน้อยกลายเป็นเศรษฐีคนใหม่ โกรธเคืองเมื่อขึ้นเวทีประลองค่อยลงมือ’ ”

โหรระดับเก้าครุ่นคิดและรู้สึกว่ามีเหตุผลมาก เขาอารมณ์พลุ่งพล่านเล็กน้อย

“แม้ว่าสวี่หนิงเยี่ยนจะเป็นทหารระดับหก แต่ระดับก็ห่างจากฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินมาก ด้วยเหตุนี้ ‘กระบี่แยกถนนแห่งชีวิตและความตายออกจากกัน มือทั้งสองครอบงำสวรรค์และมนุษย์’ จึงแสดงให้เห็นความทรงพลังอย่างมาก ซึ่งสะท้อนความกล้าหาญอันไม่เกรงกลัวศัตรูที่แข็งแกร่งของนักกวีออกมาอย่างเต็มที่และจิตวิญญาณที่เผชิญหน้าอย่างไม่เกรง” หยางเชียนฮ่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงพลัง

“วิเศษมาก!”

โหรชุดขาวปรบมือและพูดว่า “ศิษย์พี่หยางมีความรู้ยิ่งนัก ศิษย์น้องขอชื่นชม”

หยางเชียนฮ่วนถอนหายใจ “คนที่เก่งกาจจริงๆ คือสวี่หนิงเยี่ยน เขาทำให้ตัวเองกลายเป็นที่สนใจของผู้ชมได้และได้รับชื่อเสียงกับความนิยม จุดนี้ ข้าไม่เก่งเท่าเขา”

ในเมื่อสงบสุข เหตุใดจึงเพ้อฝัน

ตั้งแต่รู้จักสวี่ชีอัน หยางเชียนฮ่วนก็มักจะทอดถอนใจเช่นนี้ในใจตลอด

“สวี่ชีอันมักมีโอกาสเช่นนี้เสมอ แต่ข้า สิ่งที่ข้าขาดคือโอกาส” ศิษย์พี่หยางทอดถอนใจ

“ศิษย์พี่หยาง อันที่จริงศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ครั้งนี้ ฝ่าบาทส่งคนมาเชิญท่าน อยากให้ท่านออกจากการกักตนไปขัดขวางทั้งสองคน แต่ท่านอาจารย์โหราจารย์ปฏิเสธฝ่าบาทโดยให้เหตุผลว่าท่านถูกปิดผนึกอยู่ใต้ดิน” โหรชุดขาวกล่าว

“?”

หยางเชียนฮ่วนราวกับกลายเป็นหิน ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเหมือนกับถูกโจมตีอย่างหนักและแทบจะยืนนิ่งไม่ได้ เขาพิงกำแพงล้มลงไปช้าๆ และคุกเข่าลงกับพื้น

“ศิษย์น้อง นี่ นี่พูดจริงหรือ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

“จริงขอรับ ข้าจะโกหกศิษย์พี่ได้อย่างไร” โหรระดับเก้าพูด จากนั้นเขาก็เห็นหยางเชียนฮ่วนเกาหัวอย่างไม่หยุดหย่อน

“ศิษย์พี่หยาง ท่านเป็นอะไรไป”

“สมอง ข้ารู้สึกว่าสมองกำลังสั่น…”

หยางเชียนฮ่วนส่งเสียงครวญครางและเอ่ยคำต่อคำ “ท่าน ท่านอาจารย์โหราจารย์…ท่านอาจารย์ทำร้ายข้าอีกแล้ว!”

วันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันกลับมาจากสำนักสังคีต ระหว่างทาง เขารับจงหลีกลับมาที่บ้านและตรงกลับไปที่ห้องนอนเพื่อตระหนักรู้และคลายความเหนื่อยล้าสุดท้ายในจิตเดิม

เวลานี้ จงหลีที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงเดินไปที่เตียง ยื่นมือเล็กๆ ออกมาเขย่าไหล่ของเขาและพูดเสียงเบา “ศิษย์พี่หยางมาแล้ว”

หยางเชียนฮ่วนมาหาข้ามีธุระอันใด สวี่ชีอันลืมตาขึ้นและพยักหน้าด้วยความสงสัย “ข้ารู้แล้ว”

เขาออกไปทันที ตรงโต๊ะหินในลานด้านหลัง เขาเห็นหยางเชียนฮ่วนที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่

เสี่ยวโต้วติงจ้องมองแผ่นหลังของหยางเชียนฮ่วนอย่างอยากรู้อยากเห็น นางฉวยโอกาสที่เขาไม่สนใจวิ่งไปตรงหน้าเขา เห็นเพียงแค่แสงสว่างวาบและนางก็กลับมาที่เดิม

เสี่ยวโต้วติงไม่ย่อท้อ นางจ้องมองแผ่นหลังของหยางเชียนฮ่วนเขม็ง บางครั้งก็อ้อมไปทางซ้าย บางครั้งก็อ้อมไปทางขวา บางครั้งก็ไถลทะลุใต้เป้าของเขาไป

แต่ทุกครั้งก็จะถูกส่งกลับไปที่เดิม ไม่ว่าเสี่ยวโต้วติงจะพยายามอย่างไร นางก็ไม่อาจมองใบหน้าของหยางเชียนฮ่วนได้

“ต้าหลาง นี่เพื่อนของเจ้าหรือ”

อาสะใภ้กระเถิบเข้ามาใกล้และบ่นพึมพำ “ไม่รู้ว่าเข้ามาในจวนเมื่อใด ยืนอยู่ตรงนั้นตลอด ไม่ขยับไปไหน คนแปลก”

“นี่คือศิษย์พี่หยางแห่งสำนักโหราจารย์” สวี่ชีอันอธิบาย เมื่อพูดจบ เขาก็ตะโกนไปทางแผ่นหลังของหยางเชียนฮ่วน

“ศิษย์พี่หยาง ท่านมาหาข้า มีธุระอันใดหรือ”

“จ้องมองเจ้า!” หยางเชียนฮ่วนตอบกลับเสียงเรียบ

“จ้องมองข้าหรือ”

“เจ้าแย่งความโดดเด่นกับโอกาสของข้าไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากนี้ข้าจะจับตามองเจ้าตลอดเวลา เมื่อมีโอกาสที่คล้ายกัน ข้าจะชิงกลับมาจากเงื้อมมือของเจ้า” หยางเชียนฮ่วนเอ่ยเสียงขรึม

“วันหนึ่ง ท่านอาจารย์โหราจารย์จะรู้ว่า การเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน อย่ารังแกเด็กยากจน”

อาสะใภ้มองไปทางสวี่ชีอันทันทีและเบ้ปาก “ไม่แปลกใจที่พวกเจ้าเป็นเพื่อนกัน ฮ่าๆ”

ท่าทางราวเทพธิดาของอาสะใภ้ ฮ่าๆ

หลานชายผู้โชคร้ายเช่นต้าหลางก็พูดคำพูดที่คล้ายกันนี้เช่นกันในสมัยนั้น

“เอาที่ท่านสบายใจเถิด”

สวี่ชีอันยักไหล่ จากนั้นก็เห็นเหล่าจางคนเฝ้าประตูเข้ามาที่ลานด้านในและเอ่ยเสียงดัง “ต้าหลาง มีมิตรสหายสองสามคนมาเยี่ยมท่านขอรับ”

เขาตามเหล่าจางมาที่ห้องโถงด้านนอกและเห็นนักบวชเต๋าจินเหลียน หมายเลขหกเหิงหย่วนกับหมายเลขสี่ฉู่หยวนเจิ่นนั่งดื่มชาอยู่ในห้องโถง

“นักบวชเต๋าจินเหลียน พี่ฉู่ ไต้ซือเหิงหย่วน”

เอ๋ ทำไมนักบวชเต๋าจินเหลียนถึงไม่เป็นแมวแล้ว…สวี่ชีอันทักทายอย่างกระตือรือร้นและสั่งให้เหล่าจางไปนำผลไม้กับขนมมา

“ใต้เท้าสวี่ รบกวนเรียกหลี่เมี่ยวเจินกับลี่น่าออกมาที อาตมามีเรื่องจะคุยกับพวกเจ้า” นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ้ม

สวี่ชีอันกลับไปที่ลานด้านในทันทีและเรียกหลี่เมี่ยวเจินกับลี่น่ามา

ลี่น่าเจอฉู่หยวนเจิ่นกับเหิงหย่วนเป็นครั้งแรก ครั้งก่อนนางได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไปและยังไม่ฟื้น

“อ๊ะ นอกจากหมายเลขหนึ่ง สมาชิกพรรคฟ้าดินของพวกเราก็มากันครบแล้วสิ” สาวน้อยผิวคล้ำจากซินเจียงตอนใต้พูดอย่างมีความสุข

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร เพราะที่นี่เป็นจวนสกุลสวี่ หมายเลขสามสวี่ซินเหนียนก็อยู่ที่จวนเช่นกัน

“จริงสิ หมายเลขสามล่ะ” ฉู่หยวนเจิ่นถาม

หลี่เมี่ยวเจินชำเลืองมองคนไร้ประโยชน์สวี่ทันที ลี่น่าก็มองไปทางเขาเช่นกัน พวกนางนึกถึงข้อตกลงระหว่างทั้งสองคนได้ทันเวลา จึงไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเขา

‘ไอหยา เมื่อครู่นี้หากข้าไม่ระวังหลุดปากออกไป จะทำอย่างไรดีๆ…’ ลี่น่าคิดอย่างลนลานในใจ

สีหน้าของสวี่ชีอันยังคงเรียบเฉย เขาตอบว่า “ไปออกเดตกับคุณหนูสกุลหวาง”

ฉู่หยวนเจิ่นชะงัก “ออกเดตหรือ”

“พลอดรักกันน่ะ”

“อ้อ สมกับเป็นอัจฉริยะเจ้าสำราญ” ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะ

สวี่ซินเหนียนไปออกเดตกับคุณหนูสกุลหวางจริงๆ แต่คุณหนูสกุลหวางคิดว่าเป็นการออกเดตเพียงฝ่ายเดียว ส่วนสวี่ซินเหนียนคิดว่าเป็นการนัดหมาย

หลังจากที่ทุกคนนั่งลง พวกเขาก็ถือถ้วยชาและจิบชาอึกหนึ่ง มีเพียงลี่น่าที่เริ่มแทะผลไม้กับขนม ปากเคี้ยวไม่หยุด

เวลานี้สวี่หลิงอินเดินเข้ามาและก้าวขาสั้นๆ เล็กๆ เข้าไปในงานชุมนุม

ลี่น่าอุ้มนางขึ้นมาวางบนตัก สองศิษย์อาจารย์กินผลไม้ด้วยกัน

นักบวชเต๋าจินเหลียน ‘กระแอม’ ทีหนึ่งและพูดว่า “อาตมากำลังจะออกจากเมืองหลวงในสองสามวันนี้”

ทุกคนไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ วันนั้นนักบวชเต๋าจินเหลียนซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงเพื่อหลบหนีการไล่ล่าของเต๋ามารแห่งนิกายปฐพี เดิมทีนี่เป็นแผนรับมือชั่วคราว หลังจากฝึกฝนอยู่ในเมืองหลวงมากว่าครึ่งปี เขาก็ควรจากไปได้แล้วจริงๆ

‘หากเพียงแค่เพื่อประกาศเรื่องนี้ นักบวชเต๋าจินเหลียนคงไม่จำเป็นต้องรวมตัวพวกเราที่จวนสกุลสวี่…’ ฉู่หยวนเจิ่นจิบชาและรอติดตามเงียบๆ

ไม่รู้ว่าเฒ่าเหรียญปากผีวางแผนอะไรไว้อีก…สวี่ชีอันยังคงนิ่งเงียบและคอยดูว่านักบวชเต๋าจินเหลียนอยากจะพูดอะไรกันแน่

‘อามิตตาพุทธ ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่สลายไปในใต้หล้า…’ เหิงหย่วนลอบทอดถอนใจและอดประนมมือไม่ได้

‘นักพรตตัวเหม็นสั่งให้สวี่หนิงเยี่ยนรบกวนการต่อสู้ของข้า เดิมทีวันนี้ข้าไม่อยากพบเขา…’ หลี่เมี่ยวเจินยังคงมีความขุ่นเคืองในใจและไม่ได้ตั้งตารอพบนักบวชเต๋าจินเหลียนเลย

ลี่น่า “แตงนี่หวานมาก ฮ่าๆๆ”

สวี่หลิงอิน “ใช่ๆ คิกๆๆ”

นักบวชเต๋าจินเหลียนทอดถอนใจ “สาเหตุที่ข้าลอบเข้าไปในนิกายปฐพีวันนั้น เพื่อขโมยสมบัติชิ้นหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าดอกบัวเก้าสี มันสามารถดลบันดาลทุกสิ่งอย่างได้ แม้แต่ก้อนหินก็สามารถทำให้มันเกิดสติปัญญาได้ เหล่าเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีกำลังค้นหาที่อยู่ของข้าและต้องการชิงดอกบัวเก้าสีคืน ข้าซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงตลอด อันที่จริงเป็นการทำให้พวกเขาสับสนและทำให้พวกเขาคิดว่าดอกบัวเก้าสีถูกข้านำมายังเมืองหลวง อันที่จริงข้าแอบย้ายมันไปยังสถานที่ลับนานแล้ว เมื่อดอกบัวเก้าสีค่อยๆ สุกงอม กลิ่นอายของมันก็ไม่อาจระงับได้อีก ถึงเวลานั้น เป็นไปได้มากว่ามันจะดึงดูดความโลภของเต๋ามารแห่งนิกายปฐพี ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องกลับไปดูแลดอกบัว”

ดอกบัวเก้าสีคืออะไรกัน แม้แต่ก้อนหินก็สามารถดลบันดาลได้ บัดซบ ท่านนักบวช ภรรยาซิลิโคนในชาติก่อนของข้าต้องการความช่วยเหลือของท่าน…สวี่ชีอันร้อนรุ่มในใจ

หากแม้แต่ก้อนหินก็สามารถดลบันดาลได้ สวี่ชีอันรู้สึกว่าเขาจะกลายเป็นเป้าที่เหล่าเนิร์ดทั่วโลกอิจฉาริษยาและเกลียดชัง

‘ดอกบัวเก้าสี เหมือนข้าจะเคยอ่านเจอในตำราโบราณเล่มไหน…’ ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้วและครุ่นคิด

‘ดอกบัวเก้าสีหรือ สมบัติล้ำค่าอันดับสองของนิกายปฐพี ดอกบัวเก้าสีใกล้จะสุกงอมแล้วหรือ’ ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินเป็นประกายเล็กน้อย

ลี่น่า “ฮ่าๆๆ”

สวี่หลิงอิน “คิกๆๆ”

นักบวชเต๋าจินเหลียนพึงพอใจกับการแสดงออกของทุกคนมาก เขายิ้มและพูดว่า

“ถึงเวลานั้น ต้องมีเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีตามกลิ่นอายมาหาถึงหน้าประตูแน่ อาตมาติดตั้งกับดักไว้เพื่อดักจับพวกเขาและหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะยื่นมือมาช่วยได้”

สำหรับคำขอร้องอ้อนวอนนี้ ปฏิกิริยาของทุกคนในพรรคฟ้าดินแตกต่างกันไป

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีจะลงมือใช่หรือไม่”

นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า “ใช่ แต่สภาพของเขาย่ำแย่มาก เวลาส่วนใหญ่ก็หลับใหล ต้องหลับใหล แม้แต่จะลงมือก็ยังเป็นร่างแยก หรือแยกวิญญาณมา พลังจึงมีจำกัด”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ

หลี่เมี่ยวเจินกล่าวว่า “ได้ แต่หลังจากนั้นข้าขอเมล็ดบัวหนึ่งเมล็ดเป็นรางวัล”

ดวงตาของคนอื่นๆ เป็นประกาย

นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า “แน่นอน ทุกคนจะได้เมล็ดบัวหนึ่งเมล็ด สวี่ชีอันจะได้สองเมล็ด”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เมี่ยวเจินก็เลิกคิ้วประณีตขึ้นและถามอย่างไม่พอใจ “เหตุใดเขาถึงได้สองเมล็ด”

สวี่ชีอันดีดนิ้วและพูดว่า “เพราะข้าชนะเจ้ากับพี่ฉู่ นี่เป็นรางวัลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนสัญญาจะให้ข้า”

นักบวชเต๋าจินเหลียนมองไปทางลี่น่าและขมวดคิ้ว “หมายเลขห้า เจ้าคิดอย่างไร”

ในปากของลี่น่าเต็มไปด้วยอาหาร นางเอียงศีรษะ ครุ่นคิดและถามว่า “เมล็ดบัวอร่อยไหม”

นักบวชเต๋าจินเหลียนอ้าปากค้าง มองนานอยู่นานและเอ่ยอย่างจนปัญญา “มัน มันไม่ใช่ปัญหาว่าอร่อยหรือไม่อร่อย มันเป็นสมบัติที่หายาก หากยืนยันว่าจะกิน คงหวานมากกระมัง…”

เมื่อลี่น่าได้ยิน นางก็ทุบหน้าอก “ไม่มีปัญหาท่านนักบวช ข้าจะช่วย”

เมื่อเห็นดังนี้ ทุกคนก็ลอบทอดถอนใจ ช่างเป็นเด็กสาวแสนสุขที่ไร้กังวลจริงๆ

นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวอย่างพอใจ “ก่อนที่ดอกบัวเก้าสีจะสุกงอม ข้าจะติดต่อพวกเจ้าผ่านชิ้นส่วนหนังสือปฐพี”

เขาวางแผนมานานเช่นนี้ ก่อตั้งพรรคฟ้าดินและวันนี้ในหลายปีต่อมาก็บรรลุผลในที่สุด

สมาชิกสองคนที่เหลือพึ่งพาไม่ได้ชั่วคราว แต่สมาชิกที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ในตอนนี้ถือเป็นกำลังที่ไม่อาจดูถูกได้

ฉู่หยวนเจิ่นที่มีพลังต่อสู้ระดับสี่ หลี่เมี่ยวเจินแห่งลัทธิเต๋าระดับสี่ แม้ว่าเหิงหย่วนจะเป็นจอมยุทธ์ภิกษุระดับแปด แต่พลังต่อสู้ก็แข็งแกร่งมากจริงๆและลี่น่าสาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้ที่แข็งแกร่งมาก

แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขมากที่สุดคือสวี่ชีอันที่เข้าร่วมพรรคฟ้าดินคนสุดท้าย

เด็กหนุ่มคนนี้มีโชคชะตาติดตัว ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ เขาผลักดันพลังเทพวชิระไปถึงอาณาจักรเสี่ยวเฉิง สามารถต่อสู้ได้ต้านทานได้และมีบทบาทอย่างมากในการต่อสู้

นักบวชเต๋าจินเหลียนรู้สึกว่า อาจไม่ใช่เรื่องยากที่จะให้เวลาเด็กเหล่านี้อีกสองสามปีและรวมกลุ่มไปสู้กับเขาเองในอนาคต

สองวันต่อมา ณ ห้องทรงพระอักษร

จักรพรรดิหยวนจิ่งพบกับนายพลแห่งอ๋องสยบแดนเหนือ ฉู่เซียงหลงเป็นการส่วนตัว

“เสบียงชุดแรกต้องใช้เวลาอีกสองสามวันถึงจะเตรียมพร้อม แม่ทัพฉู่ไม่ต้องกังวล” จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าว

“ฝ่าบาท ข้าน้อยกลับมาเมืองหลวงในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่คุ้มกันเสบียงเท่านั้น แต่อ๋องสยบแดนเหนือยังมอบหมายภารกิจให้ข้าน้อยอีกด้วย” ฉู่เซียงหลงประสานฝ่ามือ

“ภารกิจอะไร” จักรพรรดิหยวนจิ่งถาม

“อารักขาพระมเหสีไปชายแดน” ฉู่เซียงหลงเอ่ยเสียงเบา

ใบหน้าที่สงบนิ่งตลอดของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ขณะนี้เสียอาการเล็กน้อย ไม่ใช่ความกลัวหรือความโกรธ แต่เป็นความประหลาดใจ

เขาซ่อนอารมณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี มองขันทีชราที่รออยู่ด้านล่างและเอ่ยเสียงขรึม “ออกไป”

ขันทีชรากับขันทีที่เหลือแสดงความเคารพและเดินออกไปเงียบๆ

จักรพรรดิหยวนจิ่งลุกจากเก้าอี้มังกร รีบเดินไปข้างๆ ฉู่เซียงหลงและถามอย่างยินดี “เขา เขาใกล้จะทำสำเร็จแล้วหรือ”

…………………………………………………