บทที่ 452 การประลอง ต้องก่อกวนสมาธิคู่ต่อสู้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 452 การประลอง ต้องก่อกวนสมาธิคู่ต่อสู้
“เสมอกัน? คุณหนูซูพูดตลกอะไรกัน” เฟิ่งชิงเฉินวางถ้วยน้ำชาในมือลง สีหน้านางดูแปลกใจเล็กน้อย แต่ในใจกลับกำลังยิ้มเยาะ ในที่สุดช่วงเวลาที่นางรอคอยก็มาถึงเสียที เล่นเอานางเหนื่อยแทบตาย

แม้การเล่นหมากล้อมจะอาศัยพลังจากสมอง แต่งานนี้ทำเอานางหมดแรงยิ่งกว่ายืนผ่าตัดมาทั้งวันเสียอีก ต่อจากนี้ไปใครก็อย่าได้มาชวนนางเล่นหมากล้อมอีกนะ มิฉะนั้นได้มีเรื่องกับนางแน่

“ทำไมล่ะ? นอกจากเสมอกันแล้วคุณหนูเฟิ่งยังมีคำตอบอื่นอีกหรือ?” ซูหว่านมองกระดานหมากล้อม ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงไม่อยากจะเงยหน้า คงจะเป็นเพราะยิ้มของเฟิ่งชิงเฉินดูขัดหูขัดตามากไปหน่อย

เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจซูหว่าน นางค่อยๆเก็บหมากบนกระดานใส่ตะกร้าหมากทีละตัวๆ มีทั้งหมากดำและหมากขาว โดยเหลือไว้บนกระดานประมาณ 1 ใน 3

“การประลองเมื่อครู่นี้ ท่านบอกว่าเสมอกันก็ตกลงตามที่ท่านพูดเถิด แต่ว่าการเสมอกันมันไม่สนุกเลยนี่นา คุณหนูซู ข้าเตรียมการประลองหมากรอบต่อไปไว้ให้แล้ว หากท่านเอาชนะข้าในรอบนี้ได้ก่อนการประลองรอบอื่นๆจะสิ้นสุด ก็จะถือว่าข้าแพ้ท่านในรอบหมากล้อม ถ้าหากท่านไม่ชนะ ก็จะถือว่าพวกเราเสมอกัน”

เห็นๆอยู่ว่าที่ผ่านมาเฟิ่งชิงเฉินเสียแรงเปล่า แต่นางก็ได้ใช้โอกาสการคว้าชัยชนะมาหลอกล่อซูหว่าน เรียกร้องความสนใจจากซูหว่าน เช่นนี้แล้ว ก่อนที่การประลองรอบอื่นๆจะสิ้นสุด ซูหว่านก็จะต้องทุ่มเทพลังกายพลังใจให้กับรอบหมากล้อมอย่างเต็มที่ จะได้ไม่มีเวลามาหาเรื่องนางอีก และการประลองในรอบถัดไป นางก็จะก่อกวนสมาธิของซูหว่าน ให้ซูหว่านไม่มีสมาธิระหว่างการประลองไปเลย

ในเมื่อความสามารถมีจำกัดก็ต้องใช้กลลวง ดูเหมือนว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมีพรสวรรค์ด้านการคิดแผนกลยุทธ์ น่าเสียดายที่นี่เป็นเพียงการประลองเล็กๆระหว่างหญิงสาว 2 คน เฟิ่งชิงเฉินนึกเสียดายอยู่ในใจ

และแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เฟิ่งชิงเฉินคาดคิด ซูหว่านไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอของเฟิ่งชิงเฉินได้ นางกระหายในชัยชนะเหลือเกิน ต่อให้ผลการประลองจะออกมาเสมอกัน ก็ถือว่านางไม่มีสิ่งใดที่ต้องเสีย

“ถ้าเช่นนั้น การประลองหมากล้อมก็ตกลงตามนั้นก็แล้วกัน” ซูหว่านยอมรับข้อเสนอของเฟิ่งชิงเฉิน เหยียนหล่าวและคนอื่นๆต่างก็ยืนนิ่งเงียบ และแล้วผลการแพ้ชนะของการประลองหมากล้อมก็มีอันต้องเลื่อนออกไปก่อน

“ตกลง” เฟิ่งชิงเฉินไม่ยินดียินร้าย ระหว่างที่ซูหว่านกำลังใช้ความคิด เฟิ่งชิงเฉินก็กำลังจัดเตรียมกระดานหมาก ท่าทางอันแน่วแน่ของนาง ช่างยียวนซูหว่านเสียเหลือเกิน

เฟิ่งชิงเฉินวางหมากตัวสุดท้ายแล้วจึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปคารวะเหยียนหล่าวและคนอื่นๆ ในขณะที่นางกำลังจะออกไปก็ได้พบกับพวกโจวอ๋องและชิงอ๋อง

องค์ชายเหล่านี้มาทำไมกันนะ? เฟิ่งชิงเฉินสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเริ่มตั้งสติได้ก็รีบคุกเข่าคารวะเหล่าองค์ชาย

เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าคารวะพลางนึกมองตัวเองว่ากลายเป็นคนยุคนี้ไปเสียแล้ว ต่อให้มีคนหลงยุคมาเหมือนนาง ก็คงไม่มีทางนึกสงสัยภูมิหลังของนางอย่างแน่นอน

“แม่นางเฟิ่งไม่ต้องมากพิธีหรอก รีบลุกขึ้นเถิด” โจวอ๋องกล่าวขึ้นในฐานะองค์ชายที่มีพระชันษามากกว่าองค์อื่นๆ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาให้เกียรติเฟิ่งชิงเฉิน แล้วเขาก็เข้าไปพยุงเฟิ่งชิงเฉินให้ลุกขึ้น

ล้อเล่นน่ะ พวกเขาไม่อาจรับการคารวะจากเฟิ่งชิงเฉินได้ต่างหาก ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้มาเป็นป้าเก้าของพวกเขาก็อาจจะต้องเป็นฮูหยินของคุณชายหยวนซี ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพใดก็ตาม ก็ล้วนเป็นคนที่พวกเขาต้องพึ่งพาอาศัย

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืน เมื่อยืนขึ้นแล้วก็ดันไปเจอสายตาอันร้อนผ่าวของชุนอ๋อง หากเป็นตอนปกติทั่วไปเฟิ่งชิงเฉินคงจะไม่ใส่ใจ แต่ทว่าวันนี้……

เฟิ่งชิงเฉินกดดันเป็นอย่างมาก ดอกท้อแสนสวยที่เน่าเหม็นชักจะเบ่งบานมากเกินไปแล้ว นางอยากจะซื้อดาบมาสักเล่มแล้วฟันต้นดอกท้อให้สิ้นซาก ดอกท้อนั่นไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง

เฟิ่งชิงเฉินไม่แยแสสายตาเย้าแหย่ของคุณชายหยวนซีและสายตาเสน่หาของชุนอ๋อง นางหันไปทางอื่นแล้วหลับตาลง ซุกซ่อนความเหนื่อยล้าไว้ภายใน

เฟิ่งชิงเฉินวางตัวสงบนิ่ง ทำท่าทางเหมือนรอฟังเหล่าองค์ชายเอ่ยปากตรัสกับนาง

ซูหว่านกำลังใช้ความคิดครุ่นคิดเรื่องการประลองหมากล้อม ตอนนี้นางไม่มีกะจิตกะใจจะไปหาเรื่องเฟิ่งชิงเฉิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินปรารถนา การประลองในวันนี้เฟิ่งชิงเฉินยอมเสียเปรียบ หากการเสียเปรียบในวันนี้จะแลกความสบายใจในการประลองครั้งหน้าได้ นางมองว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่า

โจวอ๋องและชิงอ๋องไม่ได้สนิทกับเฟิ่งชิงเฉินเท่าไรนัก หากจะเทียบกันแล้วตงหลิงจื่อชุนกับเฟิ่งชิงเฉินยังจะสนิทกันมากกว่า โจวอ๋องและชิงอ๋องหันไปส่งสายตาให้ตงหลิงจื่อชุน เพื่อให้เขาชวนเฟิ่งชิงเฉินคุย แต่ทว่าสายตาของตงหลิงจื่อชุนนั้นเอาแต่จดจ้องเฟิ่งชิงเฉิน หาได้ชายตามองโจวอ๋องและชิงอ๋องแม้แต่น้อย

โจวอ๋องและชิงอ๋องกุมขมับ หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกพวกเขาไปชวนรัชทายาทมาแทนจะดีกว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาคงจะดีมากกว่านี้ สถานการณ์เช่นนี้จะให้พวกเขาเอ่ยปากพูดอะไรดีล่ะ

ใช่แล้ว โจวอ๋องและชิงอ๋องต่างสนอกสนใจเรื่องการดีดฉินไร้สายของเฟิ่งชิงเฉิน แม้ว่าชิงอ๋องจะทำหน้าที่รักษาความสงบตามชายแดน ยุ่งอยู่แต่เรื่องการสู้รบ แต่ก็อดให้ความสนใจเรื่องดนตรีไม่ได้ แถมเขายังเป็นพวกเดียวกันกับรัชทายาท เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินใช้ฉินสายน้ำแข็งแก้วิกฤตให้รัชทายาทก็เป็นเรื่องที่อยู่ในใจของเขามาตลอด

เมื่อผู้ช่วยที่พวกเขาพามาไม่เป็นโล้เป็นพาย โจวอ๋องและชิงอ๋องจึงจำต้องเอ่ยถามเรื่องฉินจากเฟิ่งชิงเฉินด้วยตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ถูกนางบ่ายเบี่ยง

หากเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็ โจวอ๋องและชิงอ๋องคงใช้อำนาจบีบบังคับไปนานแล้ว ไม่อยากดีดฉินก็ต้องดีด แต่นี่พวกเขากำลังพูดอยู่กับเฟิ่งชิงเฉิน คุณชายหยวนซีก็ยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขาไม่กล้าใช้อำนาจบีบบังคับ โจวอ๋องและชิงอ๋องจึงได้แต่ยืนมองเฟิ่งชิงเฉินเดินจากไป

“หยวนซี สายตาเจ้าช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก” เหยียนหล่าวหัวเราะเบาๆในขณะที่มองดูเฟิ่งชิงเฉินเดินจากไป เขาลูบเคราของตัวเอง หากเฟิ่งชิงเฉินหันหลังมาเห็นแล้วล่ะก็ต้องมีหนาวสะท้านแน่ การถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่พึงประสงค์เลย

“สายตาของข้าเคยมองพลาดด้วยงั้นหรือ” คุณชายหยวนซีทำท่าลำพองใจ

โจวอ๋องและชิงอ๋องเคยทำความรู้จักกับเหยียนหล่าวและคุณชายหยวนซีมาในระดับหนึ่ง พวกเขารู้ว่าสองคนนี้ไม่ค่อยน่าคบหา ท่านอ๋องทั้งสองเป็นคนฉลาด พวกเขาอยู่สนทนากันต่อสักพัก แล้วจึงพาตงหลิงจื่อชุนกลับไป

“การได้รับความสนใจจากเหยียนหล่าวและคุณชายหยวนซี ไม่รู้เลยจริงๆว่าเฟิ่งชิงเฉินโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่” โจวอ๋องถอนหายใจ

“ก็ต้องโชคดีน่ะสิ” ชิงอ๋องกล่าวในสิ่งที่ตนเองก็ไม่ได้เชื่อมั่น

สถานการณ์เช่นนี้คนอื่นๆคงมองว่าโชคดี แต่เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นความซวยอย่างสุดขั้ว นางจะเอาเวลาที่ไหนไป “เล่นสนุก” กับเหยียนหล่าวและคุณชายหยวนซีล่ะ

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินออกมาจากสำนักบัณฑิตแล้วก็มีฝูงชนมาขวางทางเดินนาง ข่าวการประลองหมากที่ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะได้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว นอกสำนักบัณฑิตจึงมีฝูงชนมาตามข่าวอย่างเนืองแน่น

ระหว่างที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังขมวดคิ้วอยู่นั้น ทงจือและทงเหยาก็ได้ปรากฏตัวขึ้น หลังจากที่พวกเขาทราบข่าวเรื่องสำนักบัณฑิตแล้วก็รีบไปนำตัวผู้คุ้มกันความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉินก่อนหน้านี้มาจากซู่ชินอ๋องในทันที

เมื่อมีผู้อารักขามาช่วยเปิดทางเดินให้ เฟิ่งชิงเฉินก็รีบเดินไปขึ้นเกี้ยว ตลอดเส้นทางมีผู้คนมากมายอยากพูดคุยกับนาง แต่ก็ถูกกลุ่มผู้อารักขาสกัดไว้ เมื่อนางนั่งอยู่ภายในเกี้ยวแล้วก็รู้สึกหูอื้อเป็นอย่างมาก ทำเอานางปวดศีรษะยิ่งนัก ตอนนี้นางอยากรีบๆกลับจวนไปพักผ่อนเหลือเกิน

“ใครเลยจะคิดว่าผู้หญิงเหลือขอที่ใครต่อใครเคยรุมด่าในวันนั้นจะมาฉายแววเจิดจรัสในวันนี้” ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานไม่ได้ไปที่สำนักบัณฑิต พวกเขานั่งคุยกันอยู่ที่โรงน้ำชาที่เกี้ยวเฟิ่งชิงเฉินต้องผ่าน

“เจิดจรัสงั้นหรือ? มันก็แค่ฟองอากาศเท่านั้น สัมผัสนิดเดียวก็แตกแล้ว” หนานหลิงจิ่นฝานไม่เห็นด้วย วันนี้เขาหงุดหงิด หงุดหงิดเป็นพิเศษ

การที่ซูหว่านพลั้งพลาดทำให้เขารู้สึกได้ว่าจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นในอนาคต ตอนนี้เขากำลังหัวเสีย หากไม่ติดที่เฟิ่งชิงเฉินมียอดฝีมือคอยปกป้องอยู่ใกล้ๆ เขาคงส่งคนไปกำจัดนางนานแล้ว จะปล่อยนางให้มาเสนอหน้าทำการประลองเพื่ออะไร

“ก็มีคนคอยปกป้องนางอยู่ ฟองอากาศนี้คงไม่แตกง่ายๆหรอก เออ จริงสิ องค์ชายสาม เย่เย่แห่งเมืองเย่เฉิงหายตัวไปก่อนวันประลองของซูหว่านและเฟิ่งชิงเฉิน” ซีหลิงเทียนเหล่ยทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ก่อนจะเดินจากไป

ส่วนหนานหลิงจิ่นฝานที่ยังคงนั่งอยู่……