ภาคที่ 4 บทที่ 142 ส่งความลับนี้จากไป

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

สามวันให้หลัง พวกพ่อค้าที่ท่าทางอดรนทนไม่ได้ก็มาพบนายหญิงผู้เฒ่าฟางในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง 

 

 

“ตอนนี้ขนใส่รถได้แล้ว?” เขาขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เรื่องที่บ้านเจ้าจัดการแล้วหรือ?” 

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางท่าทางอับอายอยู่บ้าง 

 

 

“ขายหน้าท่านแล้ว ยังไม่ได้จัดการ แต่นี่ไม่กระทบการค้า” นางเอ่ยขึ้น 

 

 

ไม่กระทบหรือ? ชาวบ้านมากปานนั้นแล้วยังมีทางการล้วนจับตาประตูบ้าน ถูกคุณหนูไม่กี่คนนั่นปลุกปั่น ออกไปข้างนอกขนย้ายของจะไม่เกาะรถเข้าหรือ? 

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้มแล้ว 

 

 

“ท่านล้อเล่นแล้วจริงๆ จะเป็นไปได้อย่างไร” นางเอ่ย สีหน้าเก้อเขิน “แม้ข้าชราแล้ว แต่ยังสยบคนได้อยู่บ้าง” 

 

 

พ่อค้าขานอืม ก้มมองนางจากที่สูงทีหนึ่ง 

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นนายหญิงผู้เฒ่าท่านก็ไม่ผิดจากชื่อเสียงที่เลืองลือจริงๆ” เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น 

 

 

คำนี้นับไม่ได้ว่าเป็นคำไม่น่าฟัง แต่ก็นับไม่ได้ว่าเป็นคำที่น่าฟังอะไร 

 

 

ชื่อเสียงเลื่องลือของนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่ปากเขาเอ่ยถึงย่อมคือใช้อำนาจบาตรใหญ่ตัดขาดญาติมิตร 

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าผู้เป็นเช่นนี้เสียสามีไป เสียบุตรชายไป แต่สิบปียังคงรักษากิจการใหญ่โตนี่ไม่ล้มได้ แค่สตรีรุ่นหลังไม่กี่คนจะจัดการไม่ได้ได้อย่างไรเล่า 

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมาเยือนถึงที่เชื้อเชิญแสดงความจริงใจ จากนั้นก็ขอตัวก่อนก้าวหนึ่ง พ่อค้ากลับไม่ได้ไปคฤหาสน์ตระกูลฟางทันที แต่พาผู้ติดตามทั้งหลายมายังถนนใหญ่ 

 

 

สามวันนี้หัวถนนท้ายซอยประเด็นที่ร้อนที่สุดก็ยังเป็นการแย่งสมบัติตระกูลของเหล่าสตรีตระกูลฟาง หัวข้อสนทนาที่เดิมทีถูกกดลงไป เพราะคุณหนูสามฟ้องทางการจึงโหมกระพือขึ้นมาอีก 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นการต่อสู้ระหว่างนายหญิงผู้เฒ่าฟางกับคุณหนูสามคนนี้หรือ?” พ่อค้าเอ่ยถามอย่างค่อนข้างสนใจ 

 

 

ชาวบ้านที่สนทนาพาทีกันอยู่ก็ไม่สนว่ารู้จักหรือไม่รู้จักเขา พวกเขามีความสุขที่จะแบ่งปันอย่างยิ่ง สุขคนเดียวไม่สู้สุขร่วมกัน 

 

 

“ไม่ใช่ คุณหนูสามคนนั้นวิ่งมาแย่งสมบัติตระกูล คุณหนูทั้งสองคนในบ้านไม่เห็นด้วย นายหญิงผู้เฒ่าเลยให้นายหญิงใหญ่ฟางพาคุณหนูทั้งสองคนไปจวนที่ว่าการทะเลาะกับคุณหนูสามคนนั้นแล้ว” ชาวบ้านคนหนึ่งยิ้มเล่า 

 

 

พ่อค้ายิ้มแล้ว 

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าคนนี้ไร้หัวใจเอาการจริงๆ” เขาเอ่ย “ให้ครอบครัวของตนเองไปเข่นฆ่ากัน” 

 

 

“นี่นับเป็นอะไร” ชาวบ้านทั้งหลายไม่สนใจสักนิด รู้สึกว่าถูกต้องสมควร 

 

 

“วันนี้เพิ่งเริ่มก็ครึกครื้นนัก คนหยางเฉิงล้วนไปที่ว่าการอำเภอมุงดูแล้ว” ยังมีคนชี้แนะอย่างกระตือรือร้น 

 

 

พ่อค้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นคุณหนูสามคนเดียว ทั้งยังไม่ถูกด้วยเหตุผลเช่นนั้นอีก นางสู้แม่ลูกตระกูลฟางสามคนได้หรือ?” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ได้ยินว่ามารดาผู้ให้กำเนิดคุณหนูสามคนนี้ทำร้ายนายน้อยฟางเชียวนะ นายหญิงใหญ่ฟางไม่กินนางทั้งเป็นก็ไม่เลวแล้ว” 

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายเผยท่าทางได้ใจอย่างคนอยู่เหนือกว่าอยู่บ้างออกมา 

 

 

“สหายร่วมบ้านเกิดท่านนี้ นี่เจ้าไม่รู้เสียแล้ว” คนหนึ่งในนั้นเอ่ย “นายหญิงใหญ่ฟางร้ายกาจมาก แต่คุณหนูสามก็ไม่ใช่ตัวคนเดียว เบื้องหลังก็มีที่พึ่งเหมือนกัน” 

 

 

พ่อค้าสีหน้าไม่เข้าใจ 

 

 

“นางคนเช่นนี้ ยังมีที่พึ่งอันใด?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

“ท่านไม่รู้สินะ ที่พึ่งของนาง นายหญิงผู้เฒ่าฟางยังต้องหวั่นเกรงอยู่สามส่วน” ชาวบ้านคนหนึ่งแย่งพูด คิ้วเลิกสูง นิ้วโป้งตั้งขึ้น “จวินจิ่วหลิง คุณหนูจวิน เจ้ารู้จักไหม?” 

 

 

พ่อค้าร้องอ้อ เรื่องคุณหนูจวินกลับหยางเฉิงเขาย่อมรู้ตั้งแต่แรกเช่นกัน ที่แท้ก็เพื่อเรื่องนี้เอง 

 

 

“คุณหนูจวินคนนี้ถึงกับต้องการช่วยคุณหนูสาม?” เขาขมวดคิ้วเอ่ย “นี่ไม่ค่อยดีกระมัง” 

 

 

“คุณหนูจวินทำสิ่งใดย่อมต้องมีเหตุผล” ชาวบ้านทั้งหลายต่างปากเอ่ยเป็นเสียงเดียว สีหน้าไม่พอใจเขาอยู่บ้าง 

 

 

พ่อค้าคล้ายถูกโกรธเพราะคุณหนูจวินคนนี้จนตกสใจสะดุ้งโหยง ท่าทางเก้อเขินอยู่บ้าง ยิ้มประจบพูดอีกหลายประโยค ทว่าเมื่อออกจากฝูงชนแล้วบนหน้าของเขาความเก้อเขินสักนิดก็ไม่มี 

 

 

“ที่แท้คุณหนูวินคนนี้ก็เป็นคนไร้หัวใจคนหนึ่งเช่นกัน” เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย 

 

 

“นายท่าน คุณหนูจวินเป็นคนที่ได้ประโยชน์จากร้านแลกเงินตระกูลฟางที่สุด หากไม่ใช่เพราะเต๋อเซิ่งชางแห่งนี้นางไหนเลยจะมีความชอบทางการทหาร กระทั่งเฉิงกั๋วกงคนนั้นก็คงตายอยู่ที่แดนเหนือแล้วเหมือนกัน” ผู้ติดตามเอ่ย “คนมีแต่จะยิ่งตะกละมากขึ้นๆ ใครมีก็ไม่สู้ตนเองมีนะขอรับ จนปัญญาที่นางเป็นหลานสาวนอกตระกูลคนหนึ่งไม่มีเหตุผลไปแก่งแย่งสมบัติตระกูลของผู้อื่นได้ ตอนนี้ดีแล้ว ให้คุณหนูสามออกหน้า นางหนุนอยู่เบื้องหลัง ต้องกัดเนื้อติดมันอย่างโหดเหี้ยมคำหนึ่งแน่นอน” 

 

 

พ่อค้ายิ่งยิ้มกว้าง ท่าทางเย็นชาอยู่บ้าง( 

 

 

“กัดเลย กัดเลย พวกโง่เง่าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำฝูงหนึ่ง” เขาเอ่ย 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้พวกเรา…” ผู้ติดตามเอ่ยถามขอคำสั่ง 

 

 

“นับว่านายหญิงผู้เฒ่าคนนี้เด็ดขาด ไล่พวกนางไปทะเลาะกันที่จวนที่ว่าการ ไม่ถ่วงเวลาพวกเราทำธุระ” พ่อค้าสะบัดแขนเสื้อไพล่มืออยู่หลังร่าง “พวกเราเอาของแล้วไป หลังจากนั้นไม่สนแล้วว่าพวกเขาจะตายหรือเป็น” 

 

 

……………. 

 

 

……………. 

 

 

เงินตำลึงเป็นพ่อค้าพาคนไปขนออกมาใส่รถด้วยตนเอง นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ได้ตามลงไป เงินตำลึงที่ขนออกมาย่อมปะปนกัน ใส่เต็มสองรถ 

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า ท่านต้องนับหน่อยหรือไม่ ไม่กลัวพวกเราขนเงินของท่านมาเพิ่มหรือ” พ่อค้าเอ่ยขึ้น 

 

 

ในเมื่อบอกว่าจะเอาเงินทุนไป ย่อมมีบัญชีต้องเดิน จำนวนก็ต้องแน่นอนด้วย 

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าซับซ้อน 

 

 

“ท่านล้อเล่นแล้ว ไม่มีของท่าน ไหนเลยมีของข้า” นางเอ่ยแฝงความนัย 

 

 

พ่อค้ายิ้มไม่พูด สายตาของนายหญิงผู้เฒ่าฟางจับบนรถขนเงิน ท่าทางผิดหวังอยู่บ้าง 

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ล้วนเป็นของท่านแล้ว” พ่อค้ายิ้มกระซิบเสียงเบา “ท่านต้องดีใจถึงจะถูก” 

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองเขา สีหน้าจริงจังคำนับ 

 

 

“ยังคงเป็นประโยคนั้น ไม่มีท่าน ไหนเลยมีข้า” นางเอ่ย 

 

 

พ่อค้าหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ท่าทางพึงพอใจอยู่บ้างถอนหายใจอีกหน 

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า การค้าขายไม่มีแล้ว แต่มิตรภาพยังอยู่” เขาเอ่ย 

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าขอบคุณคำนับ 

 

 

“สายแล้ว พวกเราจำต้องออกเดินทางแล้ว” พ่อค้าเอ่ยขึ้น 

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางคำนับอีกหน ไปส่งด้วยตนเอง เพิ่มมาส่งถึงประตูก็ถูกพ่อค้าปฏิเสธ ได้แต่ยืนอยู่ตรงประตูมองคนขบวนหนึ่งจากไปตามถนน หายไปจากสายตาอย่างรวดเร็วยิ่ง 

 

 

“ท่านย่า รู้สึกอย่างไร?” ฟางเฉิงอวี่เดินเข้ามาเอ่ยถาม 

 

 

รู้สึกอย่างไร? 

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางกำไม้เท้าในมือ 

 

 

ด้านในไม้เท้าไม่มีราชโองการที่ทำให้นางคิดถึงทั้งวันทั้งคืนอีกต่อไปแล้ว 

 

 

นางหันกลับไปมองคฤหาสน์ ในคฤหาสน์ก็ไม่มีก้อนเงินที่ทำให้นางยากสงบทั้งวันทั้งคืนแล้วเช่นกัน 

 

 

ความลับหลายสิบปี บอกว่าไม่มีก็ไม่มีแล้ว 

 

 

“ข้าไม่ต้องกังวลว่าตอนข้าตายเจ้าจะไม่อยู่ตรงหน้าแล้ว” นางพลันเอ่ยขึ้น 

 

 

ความลับนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสืบทอดต่อไปอีกแล้ว จะลงหลุมไปด้วยกันกับนาง 

 

 

“ข้ารู้สึก ว่างเปล่า” นางยื่นมือกดหน้าอก จากนั้นก็ยิ้ม “แต่ก็เบาสบายนัก” 

 

 

………. 

 

 

………. 

 

 

ระหว่างทางที่ขบวนรถเดินทาง ด้านหน้าด้านหลังผู้คนขี่ม้าเดินทางห้อมล้อม ยังมีคนเอาถุงสุราโยนมาโยนไปอีกด้วย เสียงหัวเราะไม่ขาด 

 

 

“พวกเขาสบายใจจริงนะ” 

 

 

บนเนินเขาลูกหนึ่งไม่ไกล คุณหนูจวินที่คลุมหญ้าสานสวมหมวกฟางใบหนึ่ง แทบจะกลืนไปกับเนินเขาเป็นร่างเดียวเอ่ยขึ้นเรียบๆ สายตาจ้องคนกลุ่มนั้นอย่างโหดเหี้ยม 

 

 

หลังร่างเสียงลมเร็วรี่ดังขึ้น กิ่งไม้กิ่งหนึ่งเหวี่ยงลงบนศีรษะของคุณหนูจวิน 

 

 

“ทำอะไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถามด้วยท่าทางโมโหอยู่บ้าง 

 

 

จูจั้นไม่ได้สนใจอารมณ์เสียๆของนาง เลิกคิ้วปุบก็ยิ้ม 

 

 

“พวกเราไปเล่นกันเถอะ” เขาเอ่ย 

 

 

คุณหนูจวินก้มจากที่สูงมองเชา คิ้วยังขมวดอยู่ด้วยกัน 

 

 

“เล่นอะไร?” นางเอ่ยถาม 

 

 

………………………