ภาคที่ 4 บทที่ 141 กลับคำ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

นางไม่ได้นอนทั้งคืน คนมากมายของตระกูลฟางก็ไม่ได้นอนทั้งคืน

 

 

มองพ่อบ้านที่ประตูเห็นนางกลับมาแล้วโล่งอก จากนั้นมองฟางเฉิงอวี่ที่ก้าวเร็วไวออกมารับจากในห้องของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

“ทานอาหารแล้วหรือยัง?”

 

 

“เช้าขนาดนี้ยังไม่ได้ทานอาหารแน่เลยสินะ?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยขึ้น ไม่ถามว่านางไปไหนเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผ่อนคลายสบายๆ ประหนึ่งเช้าตรู่ตื่นมาพบหน้ากัน แต่ความกังวลจนไม่ได้นอนคืนหนึ่งบนหน้าจะปิดบังไปได้อย่างไรเล่า

 

 

เมื่อคืนวานตนเองฉับพลันเสียกิริยาออกจากบ้านไปหนึ่งคืนไม่กลับ แล้วยังเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้ พวกเขาต้องร้อนใจแทบบ้าแน่

 

 

“ขอโทษด้วย ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้นท่าทางขออภัย

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มตาหยี

 

 

“ไม่หรอก เจ้าทำสิ่งใดย่อมไม่มีปัญหา” เขาเอ่ย “พวกเราเชื่อใจเจ้า”

 

 

“ใช่แล้ว พวกเราเชื่อ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางที่นั่งอยู่ในห้องได้ยินคำนี้ก็เอ่ยขึ้น “แต่หวังว่าเจ้าจะให้ความสำคัญกับพวกเราสักหน่อยด้วย จวินเจินเจิน พวกเราเป็นคน ไม่ใช่ก้อนหิน”

 

 

รู้จักเป็นห่วงหวาดกลัวแทนเจ้าอย่างไร กังวลวิตกอย่างไร อยากตามหาอย่างไรแต่ก็กลัวเพิ่มความลำบากให้เจ้าจนไม่กล้าตามหา เจ้าขอโทษประโยคหนึ่งง่ายๆ เช่นนี้ก็จบแล้วหรือ?

 

 

“จวินเจินเจิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรก” นายหญิงผู้เฒ่าฟางหน้าบึ้งเอ่ย “เจ้าทำเกินไปแล้ว เจ้าที่แท้เห็นพวกเราเป็นใคร…”

 

 

เสียงพูดของนางยังไม่ทันจบ ก็เห็นสตรีตรงหน้าพลันน้ำตาหยดร่วง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางตกใจสะดุ้งโหยง คำที่เหลือชะงักกะทันหัน

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ่งแทบจะน้ำตาร่วงตาม แม้ไม่รู้ว่าทำไมนางหลั่งน้ำตา

 

 

“จิ่วหลิง จิ่วหลิง เจ้าอย่าเสียใจ” เขารีบร้อนเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินยกมือเช็ดน้ำตาที่ไหลร่วงลงมาสองหยด เค้นรอยยิ้มจางๆ ออกมาให้พวกเขา

 

 

นางพูดไม่ได้ว่าเสียใจหรืออะไร แค่ยามที่ความรู้สึกค่อนข้างสับสนอยู่บ้าง ได้ยินนายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยประโยคหนึ่งว่าเห็นพวกเราเป็นใคร ใช่แล้ว พวกเขาเป็นใคร? ครอบครัวของจวินเจินเจิน คนที่อาศัยเงินไถ่ชีวิตพระปัยกาก่อตั้งตระกูลจนมั่งคั่ง ทว่าก็เป็นคนน่าสงสารด้วย

 

 

นางมองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง เวลาสลักร่องรอยชีวิตบนหญิงชราคนนี้ อาภรณ์ผ้าไหมอาหารเลิศรสห้อมล้อมก็ยากจะปิดบังความทุกข์ทรมานที่นางผ่าน ครอบครัวจากโลกไปตามต่อกันโดยไม่กระจ่าง ทายาทสิ้นหวังรอความตายมาสิบปี

 

 

นางคิดถึงความแน่วแน่ยามนายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยว่าเจ้าแผ่นดินต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตายประโยคนั้นเมื่อคาดเดาความจริงออก ความแน่วแน่เช่นนี้เป็นความสิ้นหวังแล้วก็ความภาคภูมิใจกระมัง

 

 

คุณหนูจวินพลันคิดถึงชื่อของนายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายท่านฟางขึ้นมา คนหนึ่งชื่อฟางโส่วอี้ คนหนึ่งชื่อฟางเนี่ยนจวิน รักษาคุณธรรม ระลึกถึงเจ้าแผ่นดิน รอบคอบขยันขันแข็งทุ่มใจทุ่มความคิด คิดว่าการทำงานให้เจ้าแผ่นดินคือเกียรติยศหรือ?

 

 

สิ่งที่น่าเสียดายคือ เงินของเจ้าแผ่นดินที่พวกเขาถืออยู่ ตัวมันเองก็คลุ้งคาวเลือดไม่อาจพบหน้าคน ยิ่งไม่มีสิ่งใดควรค่าให้ภาคภูมิใจ

 

 

ไม่เพียงไร้เกียรติยศ ยังอาจเป็นการช่วยคนเลวทำเรื่องชั่ว มีเพียงภัยข้ามแม่น้ำรื้อสะพานสังหารคนปิดปาก

 

 

ครั้งนั้นนายท่านผู้เฒ่าฟางรุ่นก่อนรู้ที่มาที่แท้จริงของเงินเหล่านี้หรือไม่?

 

 

หากบอกว่าไม่ทราบ ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่ลังเลตัดขาดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับครอบครัว ให้สายเลือดนี้ของตนกลายเป็นโดดเดี่ยวเดียวดาย ชาวบ้านทั้งหลายล้วนกล่าวว่านี่เพราะละโมบทรัพย์จึงไร้หัวใจ แต่จะพูดว่าตัดขาดสายเลือดตระกูลไม่ให้ถูกหางเลขก็ได้ใช่หรือไม่?

 

 

นายท่านผู้เฒ่ารุ่นก่อนทำเช่นนี้ นายท่านผู้เฒ่าฟางก็ได้รับคำกำชับใช่หรือไม่ จึงปฏิบัติกับครอบครัวของตนเองเช่นนี้ด้วย ไม่เสียดายต่อให้แบกชื่อเสียงเลวทรามว่าตัดขาดญาติมิตรก็ต้องตัดทิ้ง?

 

 

พวกเขาที่แท้รู้หรือว่าไม่รู้? หากรู้แล้วรู้มากน้อยเท่าไร?

 

 

บางทีอาจไม่ได้รู้สิ่งใด แต่เป็นเช่นที่จูจั้นว่าเช่นนั้น ขุนนางระแวงจักรพรรดิโดยธรรมชาติ เสี่ยงถึงจะได้ลาภยศ มีลาภยศย่อมมีอันตราย ดังนั้นถึงระวังล่วงหน้าเช่นนี้ ไม่ให้ภัยใหญ่มาเยือนศีรษะทั้งตระกูลล่มจม

 

 

อีกอย่างเรื่องครั้งนั้นที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ในเมื่อเป็นเงินค่าไถ่ที่ใช้เจรจาสงบศึกกับแคว้นจิน ทำไมมาถึงซานตงอีก? ตระกูลฟางทำไมถูกเลือกมาทำเรื่องนี้? แล้วอดีตฮ่องเต้ทำไมเขียนราชโองการเช่นนั้นแผ่นหนึ่ง?

 

 

รายละเอียดที่ไม่ทราบมากเกินไปแล้ว เรื่องนี้ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นยากเข้าใจเกินไปแล้ว

 

 

น้ำเย็นเจี๊ยบหลายหยดสอดแทรกด้วยกลิ่นเหม็นขี้เถ้าพืชฉับพลันพรมลงบนหน้า คุณหนูจวินรู้สึกตัว เห็นนายหญิงผู้เฒ่าฟางยืนอยู่ตรงหน้า กำลังจุ่มนิ้วลงในชามใส่น้ำใบหนึ่ง หลังจากนั้นดีดมาอีกหน

 

 

“ท่านยาย ท่านทำสิ่งใด?” คุณหนูจวินรีบหลบพลางเอ่ยถาม

 

 

“ไล่สิ่งชั่วร้าย” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยตามตรง สีหน้าเพ่งพิจมองนาง “เจ้าทั้งอยากร้องไห้ทั้งอยากหัวเราะ ไม่อาจควบคุมตนเองได้ใช่หรือไม่ อาจเจอสิ่งชั่วร้ายเข้าให้แล้ว”

 

 

คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ ยิ้มจนดวงตาปวดอยู่บ้าง แล้วก็พยักหน้า

 

 

“ท่าทางคงใช่กระมังเจ้าคะ บางทีท่านตาพบหน้าข้าครั้งแรกคงดีใจมาก” นางเอ่ยขึ้น

 

 

“ท่านตาของเจ้าไม่ใช่คนที่จะหลอกเด็กน้อยเสียหน่อย” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย

 

 

“จิ่วหลิง เจ้าหายดีแล้วกระมัง?” ฟางเฉิงอวี่รีบเอ่ยถาม พลางส่งสายตาให้จิ่วหลิง เขยิบเข้าใกล้ด้านหลังนางกระซิบบอก “รีบบอกว่าหายดีแล้ว ไม่เช่นนั้นนางจะให้เจ้าดื่มน้ำขี้เถ้าพืชนี่แล้ว”

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า

 

 

“หายแล้ว บ่งบอกว่าใช้ได้ ยิ่งต้องดื่ม” นายหญิงผู้เฒ่าฟางได้ยินก็สีหน้าเย็นชาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว

 

 

“ท่านยาย ท่านไม่ใช่ไม่เชื่อเรื่องเทพผีหรือ” นาเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นไร ข้าก็แค่คิดบางเรื่องได้จึงเสียกิริยาไปบ้าง เมื่อคืนวานข้าก็ไม่ได้เดินมั่วซั่ว แต่ไปหาสหายคนหนึ่งที่นั่นพูดคุยกันสักหน่อย”

 

 

นางมีสหายหรือ? นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิดขึ้นมา น้อยนักจริงๆ

 

 

ส่วนฟางเฉิงอวี่สีหน้าน้อยใจ เกลียดจริงๆ

 

 

“เรื่องจะยื้ออย่างไรเจ้าไม่ต้องกังวล” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยออกมาตรงๆ อีกหน “เวทีเจ้าจัดไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อไปพวกเราร้องเองก็พอ”

 

 

สีหน้าของนางท่าทางผ่อนคลายอยู่บ้าง แล้วก็ทะนงอยู่บ้างอีกหน

 

 

“ร้องเล่นละครเรื่องนี้ พวกเราถนัดนัก”

 

 

พูดจบก็ทำท่าให้คุณหนูจวินนั่ง

 

 

“เมื่อคืนวานข้าคิดดีแล้ว แล้วก็หารือกับเฉิงอวี่แล้ว ก่อนอื่นให้จิ่นซิ่วฟ้องร้องต่อไป…”

 

 

เห็นท่าทางนายหญิงผู้เฒ่าฟางกระตือรือร้นอยากคุยละเอียดกับตนว่าจะทำอย่างไร คุณหนูจวินก็กลั้นใจขัดไม่ได้อยู่บ้าง เป็นนางทำให้นายหญิงผู้เฒ่าฟางคิดทั้งคืนว่าจะทำอย่างไร ส่วนสิ่งที่นางคิดทั้งคืนคือจะไม่ทำ

 

 

“จิ่วหลิง เจ้ามีความคิดใหม่อะไรหรือ?” ฉับพลันฟางเฉิงอวี่พลันเอ่ยขึ้น ขัดนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็มองมาหานางเช่นกัน

 

 

คุณหนูจวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง

 

 

“ข้าคิดว่าอย่างไรก็ให้พวกเขาเอาไปเถอะ” นางเอ่ยขึ้น

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าอึ้งอยู่บ้าง

 

 

“หา?” นางคล้ายฟังไม่ชัด

 

 

“ข้าคิดมาคิดไป ยื้อไว้ก็ไม่ใช่วิธี” คุณหนูจวินอ้าปากเอ่ยประโยคแรกก็พูดอย่างฉับไว “ไม่มีใครป้องกันโจรพันวัน ในเมื่อพวกเขาจะเอาให้ได้ หากเอาไปไม่ได้ต้องอับอายหงุดหงิดจนกลายเป็นโกรธเกรี้ยวแน่นอน กลับจะไม่ดีกับพวกเรา ไม่สู้หลบคมศาสตราของเขาเถอะ”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางขานอ้อ คล้ายเข้าใจแล้วก็คล้ายไม่เข้าใจ

 

 

ความเงียบงันทำให้บรรยากาศในห้องแปลกประหลาดอยู่บ้าง

 

 

“ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทันคิดให้ดีเอง แม้คาดเดาเรื่องบางอย่างได้แล้ว แต่หลังเห็นของเหล่านั้นชัดๆ ข้าจึงรู้สึกว่าความคิดเดิมของข้าขาดความเหมาะสมอยู่บ้าง” คุณหนูจวินเอ่ยต่ออีกครั้ง สีหน้ายากปิดบังความอับอาย

 

 

ความอับอายนี่จริงแท้ แต่แน่นอนไม่ใช่เพราะขบคิดได้ไม่เหมาะสม

 

 

ในห้องเงียบงันอีกหน

 

 

ขณะที่คุณหนูจวินกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างอีก นายหญิงผู้เฒ่าฟางพลันเอ่ยปากก่อนแล้ว

 

 

“ได้” นางพยักหน้า เอ่ยอย่างเด็ดขาดยิ่ง

 

 

คุณหนูจวินมองนาง ชั่วขณะไม่รู้จะพูดอะไรดี

 

 

“ขอบคุณ” นางเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะแล้ว

 

 

“ขอบคุณอะไร นี่เดิมทีก็เป็นเรื่องที่พวกเราควรทำ” นางเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินเงียบไปครู่หนึ่ง

 

 

“ทหารมาแม่ทัพต้าน ต่อไปพวกเราก็ทำเรื่องที่พวกเราควรทำต่อ” นางเอ่ย แล้วหยุดครู่หนึ่งอีกหน “ท่านยาย ท่านระวังด้วย”

 

 

พวกท่านวางใจ ความเป็นมาของเงินนี่แม้นางไม่อาจไม่ร่วมปิดบังด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกระทำได้ดั่งใจ

 

 

จูจั้นพูดถูกต้อง ไม่ว่าพระอัยกาตอนนั้นทำสิ่งใด นั่นล้วนไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ฉีอ๋องกระทำเลวทรามหรือให้พระบิดาของนางรวมถึงคนเหล่านี้ของตระกูลฟางควรถูกทำร้ายเปล่าๆ ได้

 

 

นี่ยังคงเป็นความยุติธรรม โลกนี้ต้องมีความยุติธรรม

 

 

คุณหนูจวินคำนับขอตัวถอยออกมา เห็นคุณหนูจวินเดินออกไปแล้ว นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็ถอนหายใจแผ่วเบา

 

 

“ท่านย่า ขอบคุณท่านแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ก็เอ่ยด้วย “ท่านไม่ตำหนิจิ่วหลิงที่นางพูดแล้วกลับคำเช่นนี้”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยิ้ม สีหน้าฟื้นกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง

 

 

“ตำหนินางทำอะไร เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นก็ไม่เกี่ยวกับนาง ผลลัพธ์ก็ไม่เกี่ยวกับนาง” นางเอ่ยขึ้น “นี่เดิมทีก็เป็นเรื่องของข้า”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดนิดหนึ่งอีกหน มองเงาร่างของสตรีที่หายไปจากสายตา

 

 

“นอกจากนี้ นางก็ตกใจจริงๆ ผ่านมาหนึ่งคืนตัดสินใจเช่นนี้ออกมา ข้าคิดว่าไม่ใช่เด็กเล่น”

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า คล้องแขนนายหญิงผู้เฒ่าฟาง

 

 

“ท่านย่า ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ไม่กลัว” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางพยักหน้า

 

 

“กลัวอันใด” นางเอ่ยขึ้นแล้วยิ้ม “นางไม่ใช่เคยบอกว่าบนโลกนี้มีความยุติธรรมหรือ”

 

 

……………………