ภาคที่ 4 บทที่ 140 ทำอันใดไม่ได้แล้วอย่างไร

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ในห้องประหนึ่งพู่กันเปื้อนหมึกด้ามหนึ่งจุ่มลงน้ำ สีดำเข้มกระจายออกหลังจากนั้นค่อยๆ จางลง ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขับไล่ราตรีไป

 

 

จูจั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหลังร่างจึงหันไป สบสายตากับคุณหนูจวิน

 

 

นางไม่ได้ลุกขึ้นยังคงห่ออยู่ในผ้าห่ม เผยออกมาเพียงดวงตาคู่หนึ่งจ้องจูจั้น

 

 

จูจั้นรวบเสื้อไว้ท่าทางระแวง

 

 

“เจ้าคิดทำอะไร?” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้หลุดหัวเราะ จากนั้นสีหน้าก็นิ่งสงบลง

 

 

“ท่านไม่นอนทั้งคืนหรือ?” นางเอ่ยถาม

 

 

แม้เขาดูแล้วไม่ตกใจเช่นนี้เหมือนตน แต่ปุบปับได้ยินเรื่องน่าตกใจเช่นนี้ก็คงสะเทือนใจบ้าง เช่นเดียวกับตนที่หลบอยู่ในผ้าห่มนอนไม่หลับทั้งคืน เขาก็นั่งอยู่เช่นนี้ทั้งคืนเช่นกัน

 

 

“ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกน่ากลัวนักน่าขันนักใช่หรือไม่?” นางยิ้มเยาะเย้ยตนเองเอ่ยขึ้นมา

 

 

จูจั้นขมวดคิ้ว

 

 

“ความจริงของเรื่องราวยังไม่กระจ่างชัด” เขาเอ่ย “บางทีนี่อาจเป็นเพียงการกระทำของฉีอ๋องตอนนั้นคนเดียว พระอัยกาของเจ้าไม่รู้เรื่อง”

 

 

ถ้าเช่นนั้นราชโองการของอดีตฮ่องเต้จะอธิบายอย่างไร?

 

 

นอกจากนั้นเรื่องเช่นนี้ คนผู้เดียวทำได้หรือ?

 

 

แม้ยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด แต่คิดดูแล้วความจริงก็คงไม่มีทางดีกว่าที่คาดเดาอยู่ตอนนี้ไปถึงไหน

 

 

คุณหนูจวินหลุบสายตา

 

 

“อีกอย่าง ต่อให้เป็นเช่นนี้จริงก็ไม่มีสิ่งใดให้คิด” จูจั้นเอ่ยต่อ “ไม่ใช่แค่การแย่งชิงอำนาจจักรพรรดิรึ เรื่องเช่นนี้เห็นน้อยนักหรือ? พูดไม่น่าฟังประโยคหนึ่งก็คืออดีตฮ่องเต้ไม่ยอมรับฮ่องเต้เหรินเซี่ยวกลับมา แม้ไร้หัวใจ แต่สำหรับอ๋องที่อาลัยอำนาจจักรพรรดิคนหนึ่งแล้วสมเหตุผลยิ่ง ทว่าเขาทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ไม่มีคุณธรรมสักเท่าไร แต่เรื่องเช่นนี้ก็ไม่มีสิ่งใดให้คิดจริงๆ”

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ลูบปลายจมูกอีกหน

 

 

“แน่นอน ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน ในสายตาข้านั่นคือจักรพรรดิ พระทัยของจักรพรรดิย่อมไม่อาจมองเหมือนปกติได้ พูดไม่น่าฟังประโยคหนึ่งก็คือจักรพรรดิกับขุนนางพึ่งพากันแล้วก็ระวังกัน แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยวาดหวังให้ฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเป็นพวกเมตตาดีงาม”

 

 

อย่างไรฮ่องเต้ในสายตาเขาล้วนเป็นคนเลว คนเลวทำเรื่องเลวก็ไม่มีอันใดน่าประหลาดใจ

 

 

ตรงไปตรงมาจนโหดร้ายจริงๆ คุณหนูจวินเข้าใจความหมายของเขา

 

 

เสียงของจูจั้นผ่อนลงอยู่บ้างอีก

 

 

“แต่เจ้า นั่นเป็นปู่ของเจ้า นั่นเป็นปู่ทวดของเจ้า เป็นท่านอาของเจ้า ในใจเจ้าเป็นครอบครัวของเจ้า ครอบครัวโหดเหี้ยมไร้หัวใจต่อสู้เข่นฆ่ากันเช่นนี้ น่ากลัวยากยอมรับนักอย่างแท้จริง”

 

 

คุณหนูจวินหลุบตา ฉับพลันก็ยิ้ม

 

 

“จริงๆ เลย เรื่องน่ากลัวเช่นนี้ ทำไมถูกท่านพูดเช่นนี้ทีหนึ่ง กลับเหมือนข้าตื่นตูมโวยวายโดยไม่มีเหตุผลแล้ว” นางเอ่ย

 

 

“ไม่เช่นนั้นแล้วยังไง เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าจะฆ่าตัวตายชดใช้โทษแทนพระอัยกาของเจ้ารึ?” จูจั้นผายมือเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินมองเขาทีหนึ่ง

 

 

“ตอนนั้น หากให้เงินค่าไถ่พอ ไม่ต้องพูดถึงความเป็นความตายของฮ่องเต้เหรินเซี่ยว สงครามก็คงไม่รุนแรงยาวนานสิบกว่าปีเช่นนี้กระมัง?” นางเอ่ยขึ้น

 

 

คำพูดของนางเอ่ยไม่ทันจบ จูจั้นพลันคิ้วตั้ง

 

 

“คำพูดนี่ของเจ้าบ้าบอจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ไถ่คืน? ไม่ต้องพูดถึงโจรจินตีเมืองของข้า ฆ่าล้างประชาชนของข้า ยึดครองผืนดินของข้า แค่คำว่าไถ่คำเดียวนี่ก็คือความอัปยศ ความอัปยศเช่นนี้ มีแต่ต้องใช้เลือดและสงครามล้าง เวลานั้นบางทีอดีตฮ่องเต้อาจเจรจาสงบศึกอย่างจริงใจ แต่ชาวจินไม่เลิกคิดร้ายแน่นอน เงินค่าไถ่ไม่พอหรือพอสำหรับพวกเขาแล้วล้วนเหมือนกัน ไม่พอก็ทำให้พวกเขาถือโอกาสก่อเรื่องเท่านั้น ต่อให้มอบให้พอ พวกเขาก็ไม่มีทางเลิกราเช่นนี้”

 

 

เขาสีหน้าภาคภูมิทั้งยังโกรธแค้น

 

 

“นอกจากนี้ที่ขุนนางทหารเช่นพ่อข้าสู้ตายกับชาวจิน แค่เพียงเพื่อฮ่องเต้เหรินเซี่ยวที่ถูกทำร้ายหรือ? ต่อให้พวกเขาคืนฮ่องเต้เหรินเซี่ยวกลับมา แล้วความแค้นของประชาชนหลายแสนของพวกเราเล่า? แล้วแผ่นดินประเทศเราที่พวกเขายึดครองเล่า? ตอนนี้เจ้าพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมา ไม่ผิดต่อทหารทั้งหลายที่กรำศึกสิบกว่าปี สละชีพไปนับไม่ถ้วนหรือ?”

 

 

คุณหนูจวินเลิกผ้าห่มขึ้นนั่งตัวตรง

 

 

“ข้าก็แค่พูดออกมาเฉยๆ ท่านโกรธอะไรเล่า” นางเอ่ย

 

 

“เรื่องเช่นนี้ พูดเฉยๆ ก็ไม่ได้” จูจั้นหน้าบึ้งเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินขานอืม

 

 

“ข้าผิดไปแล้ว” นางทำหน้าจริงจังพูดขึ้น

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะทีหนึ่งหมุนตัวไป

 

 

“นี่ข้าไม่ใช่รู้สึกละอายรึ” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ

 

 

ได้ยินคำนี้จูจั้นพลันหมุนตัวมาอีกหน

 

 

“เจ้าละอายอะไร?” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินมองเขา

 

 

“ข้าคิดมาตลอดว่าที่ข้ามีชีวิตรอดมาได้เพราะสวรรค์ยุติธรรม แต่ตอนนี้ดูแล้ว…” นางเอ่ยขึ้น

 

 

“ตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว? ตอนนี้นี่ไม่ใช่ยิ่งพิสูจน์แล้วหรือ?” จูจั้นเอ่ยขัดนาง “พระอัยกาของเจ้าไม่สนใจบิดากับน้องชายเพื่อความปรารถนาส่วนตัว พระปิตุลาของเจ้าสังหารพี่ชายบีบบังคับบิดาจนตายแย่งราชบัลลังก์ นี่ไม่ใช่กงเกวียนกำเกวียนกรรมตามสนองหรือ? ยุติธรรมนักเชียว”

 

 

คุณหนูจวินมองเขา สีหน้าพิกลอยู่บ้าง คล้ายอยากพูดก็หยุดไป

 

 

“อยากพูดอะไรก็พูดเถอะ” จูจั้นกอดอกเงยหน้ามองจากเบื้องสูงลงมาเอ่ยขึ้น

 

 

“นี่เป็นเรื่องเศร้าสลดเอาการชัดๆ ท่านพูดทีหนึ่งกลับเป็นเหมือนเด็กเล่นและน่าขำอยู่นิดๆ แล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

จูจั้นไม่อับอายหงุดหงิดแต่ยิ้ม

 

 

“เรื่องบนโลกนี้บางครั้งเดิมทีก็น่าขัน” เขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ “พวกเราหัวเราะผู้อื่น ผู้อื่นหัวเราะพวกเรา พวกเราหัวเราะคนยุคก่อน คนรุ่นหลังหัวเราะพวกเรา ใครถูกใครผิด คนไม่มีสิ่งใดให้ละอายใจ สวรรค์มีความยุติธรรม”

 

 

คุณหนูจวินไร้คำพูด

 

 

“ไม่ว่าพระอัยกาของเจ้าเคยทำสิ่งใด นี่ล้วนไม่ใช่เหตุผลที่พระบิดาของเจ้าควรถูกพระปิตุลาของเจ้าสังหาร” จูจั้นเอ่ย “ยิ่งไม่เกี่ยวอันใดกับที่เจ้าจะแก้แค้นให้พระบิดา”

 

 

คุณหนูจวินขานอืม พลางมองจูจั้น

 

 

จูจั้นก็มองนาง

 

 

สองคนใครก็ไม่พูดจา คล้ายต่างรออีกฝ่ายเอ่ยวาจา แล้วก็คล้ายไม่รู้จะพูดสิ่งใด ดวงตาสี่ข้างก็สบกันเช่นนี้ บรรยากาศกลายเป็นแปลกประหลาดอยู่บ้าง

 

 

คุณหนูจวินยิ้มก่อน จูจั้นฉับพลันไม่เคร่งขรึมอย่างก่อนหน้า หลบสายตาไปอย่างขัดเขินอยู่บ้าง

 

 

“ที่ออกจะน่าขำก็คือ ตอนนี้ข้าต้องล้มทุกสิ่งนี่ในแผนการของตนเองแล้ว ไม่เพียงไม่อาจขวาง ยังต้องเกลี้ยกล่อมให้นายหญิงผู้เฒ่าฟางปล่อยคนเหล่านั้นเอาเงินเหล่านี้ไปด้วย” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

นางพูดพลางมือหนึ่งแกะผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ม้วนใหม่ให้เรียบร้อยง่ายๆ พลางลงจากเตียง

 

 

เพราะไม่ได้ถอดเสื้อนอนอยู่ในผ้าห่มทั้งคืน เสื้อผ้าจึงยับยุ่งอยู่บ้าง คุณหนูจวินก้มศีรษะจัด จูจั้นกลอกตาหันสายตาหนี

 

 

“นั่นแน่นอน นี่อย่างไรก็เป็นเรื่องน่าเกลียดของราชวงศ์ มิน่าตระกูลฟางต้องถูกลอบสังหารหมายปิดปาก แม้เงินหลวงรัชศกไท่เหยียนปีที่สามถูกหล่อออกมาอย่างเป็นความลับ คนที่รู้ไม่มาก แต่หล่อเงินเรื่องใหญ่เช่นนี้ล้วนมีบันทึก ย่อมต้องมีคนรู้ เมื่อเปิดเผยออกมาปุบ นั่นย่อม…” เขาเอ่ยขึ้น เสียงคำยังไม่ทันเอ่ยจบ คุณหนูจวินพลันเดินเข้ามายื่นมือกอดเขา

 

 

“ขอบคุณ” นางเอ่ยเสียงเบา

 

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางกอด ยิ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่นางจับนั่นจับนี่ตนเอง แต่เอ่ยขอบคุณเหมือนจะเป็นครั้งแรก จูจั้นร่างกายแข็งทื่อ สมองสับสนอยู่บ้างคิด

 

 

ครั้งนั้นนอกวังไหวอ๋องก็เคยบ้าขึ้นมาครั้งหนึ่ง เมื่อเขาสัญญากับนางว่าหากนางรักษาไหวอ๋องหายดีตนจะปกป้องชีวิตนาง แน่นอนตอนนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมยามนั้นนางอยู่ดีๆ เป็นบ้าขึ้นมา

 

 

นั่นก็แสดงความขอบคุณ ความขอบคุณที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยแสดงออก ตอนนี้คำว่าขอบคุณนี่เอ่ยออกมาได้แล้ว

 

 

ขอบคุณที่ยังดีมีเขา ทำให้คำพูดกำเริบเสิบสานของนางระบายออกมาได้ ไม่เช่นนั้นตนคงเก็บกลั้นจนเป็นบ้าแล้วกระมัง

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้มาไม่คืนกลับคงไร้มารยาท เขาก็ไม่อาจขี้เหนียวได้กระมัง

 

 

จูจั้นยกมือเตรียมจะตอบกลับ คนในอ้อมแขนกลับปล่อยมือก้าวออกไปแล้ว

 

 

“ข้าไปจัดการธุระล่ะ” นางเอ่ยพลางก้าวเร็วไวไปข้างนอก

 

 

มือของจูจั้นยังหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ

 

 

“เฮ้ย” เขาอดไม่ได้ร้องเรียก

 

 

คุณหนูจวินหันกลับมามองเขา

 

 

“อะไรหรือ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“แค่ กอดเฉยๆ รึ?” สายตาจูจั้นมองไปด้านข้างเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม

 

 

“อืม แค่กอดเฉยๆ ทำไมหรือ?” นางเอ่ยถาม

 

 

จูจั้นบื้อใบ้อยู่บ้าง

 

 

“ไม่ทำไม” เขาเอ่ยตอบ “ก็แค่ถามดู”

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มทีหนึ่งหมุนกายเดินออกไป

 

 

ตอนนี้จูจั้นถึงมองไปทางประตู บีบนิ้วมือ

 

 

“มองก็มองแล้ว ลูบก็ลูบแล้ว กอดก็กอดแล้ว ไม่รับผิดชอบรึ” เขาเอ่ยพึมพำ

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่นอกประตูคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลฟางใหม่อีกครั้ง อารมณ์ซับซ้อน ก้าวเท้าหนักอึ้งอยู่บ้าง ความหมายมาดจะเอาให้ได้เมื่อตอนกลับมาจากเมืองหลวงหายไปอย่างไร้ร่องรอย นางถึงขั้นไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับนายหญิงผู้เฒ่าฟางอย่างไร

 

 

นาทีนี้ นางก็อยากด่าคำหยาบสักคำเหมือนปฏิกิริยาแรกของจูจั้นหลังได้รู้เรื่องราวเหมือนกัน

 

 

สวรรค์นี่หนอ ท่านช่างเห็นสรรพสัตว์ไร้ค่าจริงเชียว

 

 

…………………