ตอนที่ 309 อารมณ์ดีแล้วถึงเรียกท่านพี่
เฉินยางก็เป็นคนปากไม่ตรงกับใจ เพิ่งจะโทษเฝิงเยี่ยไป๋ที่ไปยุ่งกับแมวก่อนอยู่เลย ตอนนี้ทายาให้เขากลับไม่กล้าจะออกแรง พอทายาแล้วก็เป่าที่มือของเขาเบาๆ อีก ท่าทางนั้น เขาก็ยังใจแข็งไปโทษนางได้อย่างไร รักยังไม่ทันเลย!
คนที่ทำลายบรรยากาศดีๆ เช่นนี้เป็นเฉาเต๋อหลุน เขาโค้งคำนับอยู่ข้างนอก แทบอยากจะตบปากตัวเอง เข้ามาช่างไม่ได้เวลาเสียจริง ภาพที่หายากเช่นนี้ กลับถูกเขาทำลายเสียแล้ว
เฝิงเยี่ยไป๋ทำตาขาวใส่เขา “เฉาเต๋อหลุน เจ้าชักจะใจกล้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ข้าให้เจ้าเข้ามาแล้วหรือ”
เฉาเต๋อหลุนยกมือตบหน้าตัวเองสองที “บ่าวสมควรตาย…ท่านอ๋อง แม่นางเจี่ยงมาแล้ว”
ช่วงนี้เว่ยหมิ่นยุ่ง ยุ่งอะไรไม่ทราบ เพียงแต่มองใบหน้ายิ้มแย้มของนางนั้น เกรงว่ากำลังมีความสุขกับเหลียงอู๋เย่ว์อยู่กระมัง ทั้งสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วต่างเขินอายกันนัก ก็ควรจะให้เวลาพวกเขาได้ปรับเข้าหากัน ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นน่าอวี้ที่มาเยี่ยมเฉินยางคนเดียว
เฝิงเยี่ยไป๋ทั้งแค้นทั้งจนใจ น่าอวี้กับเฉินยางคุยกันได้ถูกคอนัก อยู่ด้วยกันได้ทั้งวัน ไม่รู้กลายเป็นเพื่อนสนิทเสียตั้งแต่เมื่อใด เขาอยู่ที่เฉินยางกลับกลายเป็นแขกหายาก อยากจะคุยกับนางยังต้องต่อหลังน่าอวี้อีก
ให้มาบ่อยๆ ไม่ใช่ให้นางมาทุกวัน เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกหงุดหงิด กำลังจะอ้าปากเรียกเฉาเต๋อหลุนให้ไปบอกน่าอวี้ว่าให้นางมาวันอื่น เฉินยางกลับชิงเขาพูดขึ้นมาก่อนว่า “รีบเรียกนางเข้ามา” จากนั้นก็ผลักเฝิงเยี่ยไป๋ไปนั่งที่เตียงเล็กตรงขอบหน้าต่าง “ท่านก็รีบแกล้งป่วยเร็วเข้า อย่าให้น่าอวี้สังเกตเห็น อีกเดี๋ยวให้เฉาเต๋อหลุนส่งท่านกลับ”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น นางก็มาถึงหน้าประตูแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋จึงได้แต่แสร้งทำท่าทางป่วยอย่างลำบาก นั่งพิงอยู่บนเตียง กัดฟันจนส่งเสียงออกมา
วันนี้น่าอวี้สวมกระโปรงสีเขียว รองเท้าสีขาว เวลาเดินนั้นเหมือนดั่งลอยอยู่บนเมฆ อ่อนหวานดั่งใบหลิวต้องลม แต่ละก้าวล้วนมีเสน่ห์มากมาย คนเช่นนี้ กลับมีใบหน้าสุขุมสง่างาม ในความทะเล้นนั้นก็มีความสูงส่งแฝงอยู่ ใต้ฟ้านี้ เกรงว่าก็มีเพียงนางคนเดียวแล้วกระมัง!
มาตั้งหลายครั้งเช่นนี้ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เห็นเฝิงเยี่ยไป๋ในห้องเฉินยาง นางกำชายผ้าแล้วโค้งคำนับ “ท่านอ๋องสุขสำราญ พระชายาสุขสำราญ” มารยาทช่างงดงามเหลือเกิน ไม่ได้มีความหยิ่งยโสที่เสแสร้งทำออกมา แม้แต่สายตาที่มองเฝิงเยี่ยไป๋เพียงเสี้ยววินาทีนั้นก็ล่องลอยจับความหมายไม่ได้
เฉินยางไม่รู้ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ในใจระหว่างพวกเขา นางจูงมือน่าอวี้ด้วยความสนิทสนมไปดูแมว “ข้าใช้เวลาอยู่ตั้งนานถึงจับได้ แมวตัวนี้นิสัยดุนัก ข้าถูกมันข่วนไปหลายครั้งแล้ว”
น่าอวี้ค่อยๆ ยกมือนางขึ้นมาดู ไม่ได้มองผ่านๆ แล้วแสร้งพูดว่าสงสาร นางดูจริงๆ จากนั้นก็ย่อตัวลงเสนอความคิดให้นาง “แมวล้วนชอบให้คนเกาคอของมัน เกาเบาๆ เจ้าดู…” นางยื่นมือเข้าไปแสดงให้นางดูก่อน “ทำเช่นนี้ เจ้าเกามันสบายแล้ว มันก็จะร้องฮูๆ ออกมา เกาเช่นนี้ทุกวัน ไม่กี่วันก็จะภักดีกับเจ้าแล้ว”
เฉินยางก็เหมือนดั่งเด็กที่สอนง่าย นางจ้องตาโต มองน่าอวี้ด้วยท่าทางเคารพ “จริงด้วย มันไม่ข่วนเจ้าเลย ข้าและท่านพี่ล้วนถูกมันข่วนจนเละหมดแล้ว!”
เฝิงเยี่ยไป๋ได้รู้นิสัยของเฉินยางอย่างถ่องแท้เสียที อารมณ์ดีก็เรียกท่านพี่ อารมณ์ไม่ดีก็เรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ ยามที่ไม่ได้อารมณ์ดีหรืออารมณ์ไม่ดีก็เรียกนี่ๆ
——
ตอนที่ 310 เจ้านายแมวต้าหนา
เฉินยางรู้สึกน่าอวี้เป็น ‘ผู้รอบรู้’ เจ้าคุยอะไรกับนางก็สามารถคุยได้ ยามนี้พูดถึงแมว ก็ได้ยินน่าอวี้พูดว่า “มีหญ้าชนิดหนึ่ง ชื่อว่าเมาปั้วเหอ[1]แมวชอบที่สุดแล้ว ตากแห้งแล้วบดเป็นผง ผสมในเนื้อให้มันกิน ขอเพียงเป็นแมวไม่มีตัวใดไม่ชอบ ก็เหมือนกับ… ก็เหมือนกับคนชอบสูบยาสูบเช่นนั้น เพียงแต่แมว ‘สูบ’ เมาปั้วเหอไม่สูบจนตาย”
เรื่องนี้แม้แต่เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่เคยได้ยิน พวกนางคุยกันถูกคอนัก คนหนึ่งเห็นเขาเป็นอากาศ อีกคนก็ทำเหมือนไม่เห็นเขา ยามนี้เขาอยู่ที่นี่กลับเป็นส่วนเกินเสียแล้ว
น่าอวี้ถามอีกว่า “เจ้าตั้งชื่อให้แมวหรือไม่”
เฉินยางเกาคอแมวกำลังได้ที่ ได้ยินก็ส่ายหน้าขึ้นมา “ข้ารู้หนังสือน้อยนัก ไม่มีความรู้ ไม่รู้จะตั้งอย่างไรดี”
“การตั้งชื่อนั้นไม่ต้องใช้ความรู้อะไร ตั้งให้ถูกใจเป็นพอ ตั้งเอาสนุก”
เฉินยางเงยหน้าคิดอยู่นาน บ่นพึมพำอยู่ในปากก็ไม่ได้ตั้งสักชื่อหนึ่ง
เฝิงเยี่ยไป๋กระแอมเบาๆ สองที เฉินยางถึงนึกถึงเขาขึ้นมาได้ “ท่านพี่ ท่านช่วยข้าตั้งชื่อแล้วกัน!”
ทิ้งเขาเอาไว้อยู่นาน จะให้เขาใช้สมองเพียงประโยคนี้ประโยคเดียวหรือ เขาจงใจแกล้งนาง เขาจิบชาแล้วอ้าปากพูดว่า “เรื่องนี้… ข้าก็ช่วยไม่ได้”
เฝิงเยี่ยไป๋มองน่าอวี้ด้วยสายตาอ้อนวอน น่าอวี้หันมาพูดว่า “ท่านอ๋องมีความรู้มากมายยิ่งนัก เพียงอ้าปากก็เป็นกลอนได้ ตั้งชื่อให้แมวนี้เป็นโชคดีของมัน อย่างไรก็ขอให้ท่านอ๋องประทานชื่อเถิด”
อะไรที่เรียกว่าขอร้องให้คนช่วย? ไม่มีรางวัลที่ให้ได้ คำพูดดีๆ ก็ต้องพูดให้เป็น นี่ก็เพื่อจะเตือนเฉินยาง ให้น่าอวี้ทำเป็นตัวอย่างให้นางดู แม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบคำชมเท่าใดนัก แต่ก็ตกลงรับปาก
เฝิงเยี่ยไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจงใจล้อนางเล่น “ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบเรียกมันว่าเจ้านายแมวหรือ เช่นนั้นก็ตั้งชื่อว่า ‘ต้าหนา’ แล้วกัน ทั้งจำง่ายและพูดง่าย เหมาะสมกับมันที่สุดแล้ว”
เฉินยางยังไม่รู้สึกตัว น่าอวี้ได้ยินก็เอามือป้องปากหัวเราะขึ้นมาเสียก่อนแล้ว
เฉินยางไม่ได้เติบโตที่เมืองหลวง ภาษาถิ่นของเมืองหลวงมากมายนางฟังไม่ออก ต้าหนาเป็นภาษาถิ่นของปักกิ่ง ก็คือคนที่เป็นเจ้านายดูแลเรื่องต่างๆ เรียกแมวตัวหนึ่งว่าต้าหนา ไม่ใช่จงใจล้อคนเล่นหรือ!
เฝิงเยี่ยไป๋ก็เอามือป้องปากหัวเราะเบาๆ น่าอวี้หัวเราะนางไม่รู้อะไร แต่เฝิงเยี่ยไป๋หัวเราะจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ต้าหนาต้าหนา ฟังดูแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ชื่อที่ดีนัก “ไม่เอาต้าหนา น่าเกลียดตายเลย พี่น่าอวี้ เจ้าช่วยข้าคิดชื่อหนึ่งเถิด!”
นางเป็นพระชายาอี้ผิ่น เรียกนางว่าพี่สาว แม้จะไม่ได้มีผลมากมายนัก แต่อย่างไรก็ไม่เหมาะสม เช่นนั้นแล้วเขาล่ะ? ไม่ใช่ต้องเรียกตามหรือ สีหน้าของเฝิงเยี่ยไป๋ดูไม่ดีนัก น่าอวี้ก็รู้สึกผิดสังเกต จึงรีบลุกขึ้นมาพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “พระชายากล่าวหนักแล้ว คำว่าพี่สาวนี้ข้ารับไว้ไม่ได้ นี่ไม่ใช่จะทำให้ข้าอายุสั้นหรือ”
เฉินยางไม่รู้สึกว่าไม่เหมาะ ยังคิดว่านางเกรงใจ “ไม่เป็นไร ระหว่างพวกเราไม่ถือเรื่องนั้น เจ้าโตกว่าข้า เรียกพี่สาวก็ใช้ได้อยู่”
น่าอวี้พูดว่า “ข้ารู้ว่าพระชายาหวังดี เพียงแต่อย่างไรเสียฐานะของท่านและข้าก็ต่างกัน อย่าได้เสียระเบียบเลย หากหลุดออกไปคนอื่นก็จะพูดว่าข้าไร้มารยาทนัก”
เฝิงเยี่ยไป๋กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่ พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “นางพูดไม่ผิด ระเบียบจะเสียไม่ได้ หากหลุดออกไปเจ้าไม่เป็นอะไร คนอื่นจะนินทานางเอาได้”
อยู่ที่เมืองหลวง ระเบียบมีมากมาย เฉินยางเรียนอยู่ในวังเพียงไม่กี่วันก็ถูกเฝิงเยี่ยไป๋พากลับมาเสียแล้ว พากลับมาเฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่หาคนมาสอนนาง เรื่องเหล่านี้นางย่อมไม่รู้อยู่แล้ว
——
[1] เมาปั้วเหอ (猫薄荷) คือต้นแคตนิปหรือกัญชาแมว