ลองคิดๆ ดู ตู๋กูซิงหลันทุ่มเทจิตใจไปมากมายเพื่อล่อลวงฝ่าบาท หากได้รู้ว่า คนที่อยากให้นางต้องตายชนิดไร้ที่กลบฝังกลับเป็นฝ่าบาทเอง ใจของนางจะรู้สึกเช่นไร
นังคนเลวนี้ทำร้ายนางถึงเพียงไหน ตัวนางโหยวหนิงมีหรือจะปล่อยมันให้อยู่ดีมีสุขได้?
จิตใจของตู๋กูซิงหลันกลับเรียบเรื่อยไร้ระรอกใดๆ ที่จริงนางยังอยากได้เม็ดแตงมาแทะเล่นจะได้ฟังเพลินๆ ด้วยซ้ำ
ด้วยนิสัยชั่วๆ ของฮ่องเต้สุนัขนั้น จะทำเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ถือว่านอกเหนือความคาดหมาย นางย่อมไม่ประหลาดใจ แต่ว่าการที่เต๋อเฟยสารภาพออกมาว่ามีส่วนร่วมด้วยตนเอง นำให้นางรู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย
คำพูดของเต๋อเฟย เชื่อได้อย่างมากก็แค่ครึ่งเดียว
เต๋อเฟยมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างเย็นชา พอนางกำลังจะพูดอะไรอีก ก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นเฉียบของบุรุษผู้หนึ่งดังมาจากภายนอก “เราไม่เคยรู้ว่า เคยใช้ให้เจ้าทำเรื่องเช่นนี้มาก่อนด้วย? “
นางหน้าถอดสี รีบหันไปทางประตูทันที ก็ได้เห็นฮ่องเต้ในฉลองพระองค์มังกรสีทองกำลังจดจ้องมองนางด้วยพระพักตร์เย็นชาอย่างที่สุด
สายพระเนตรนั้นราวกลับจะสามารถสาปสิ่งใดก็ตามให้เป็นน้ำแข็งไป ทำให้นางหนาวสะท้านแทบจะตัวแข็งทั้งเป็น ได้แต่อาศัยกิริยาที่เคยชินคุกเข่าลงไป “หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา จึงไม่ได้ไปต้อนรับแต่เนิ่นๆ “
นางพึ่งจะย้ายมาอยู่ตำหนักเย็น ฝ่าบาทก็เสด็จมาเยี่ยมนางแล้ว นี่ชัดเจนเลยว่าในพระทัยของฝ่าบาท ยังคงคำนึงถึงนางอยู่ใช่ไหม?
จีเฉวียนไพล่พระหัตถ์ข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง เสด็จเข้ามาใกล้ ประทับอยู่ข้างๆ ตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรที่เหลือบมองเต๋อเฟยนั้นเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง “หม่อมฉัน? เจ้าถูกถอดยศกลายเป็นบ่าว จองจำในตำหนักเย็น ต่อหน่าเรายังจะมีสิทธ์ใดพูดจาแทนตัวเองอีก? “
เต๋อเฟย “……..” ฝ่าบาทมายังตำหนักเย็น ไม่ใช่เพราะจะมาหานางหรอกหรือ?
ตู๋กูซิงหลันหันไปเหลือบมองฮ่องเต้ที่อยู่ข้างตัว สามวันก่อนยังพึ่งกระดูกหักจะเป็นจะตายอยู่แท้ๆ ทำไมถึงได้ออกมากระโดดโลดเต้นได้ไวปานนี้?
แถมยังทำตัวราวกับผีสาง เดินมาก็ไม่ให้สุ่มให้เสียง
หากรู้ตั้งแต่แรกว่าร่างกายของเขาทนทานได้เช่นนี้ ตอนที่อยู่ในสุสาน นางสมควรจะหักกระดูกเขาอีกสักหลายๆ ท่อน
โดยเฉพาะหักขาเสีย!
“ฝ่าบาท ข้ารู้ว่าครั้งนี้พระองค์ทรงพิโรธจริงๆ แต่ว่าพระองค์ยังทรงคิดถึงข้าใช่หรือไม่? ไม่เช่นนั้นทำไมถึงได้ซ่อมแซมตำหนักเย็นให้ข้าละ….” เต๋อเฟยไม่ยอมแพ้ นางกุมมือไว้ที่อก กล่าวเสียงเบาๆ ต่อให้ตีนางตายก็จะไม่ยอมเรียกตนเองเป็นบ่าวเด็ดขาด
จีเฉวียนขมวดคิ้วเย็นชา “เจ้ากลับคิดไปเองถึงเพียงนี้”
“โหยวหนิงเอ๋ย ที่ตำหนักเย็นนี้ได้รับการบูรณะ ทั้งหมดล้วนเพื่อไทเฮา เดิมที่ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะให้ไทเฮาได้ทรงประทับอย่างสุขสบายขึ้นบ้างต่างหาก~” หลี่กงกงที่พึ่งไล่ตามมาถึง กลับบอกกล่าวอย่างชัดเจน “แต่ว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว ไทเฮาทรงประทับอยู่ในพระตำหนักเฟิ่งหมิง ไหนเลยจะต้องกลับมายังสถานที่แบบนี้อีก”
เขาไม่สนใจนางหรอก ตอนนี้เขากลายเป็นสาวกรุ่นที่หนึ่งของไทเฮาแล้ว! คนเยี่ยงเต๋อเฟยไหนจะเอามาเปรียบเทียบกับไทเฮาของพวกเขาได้กัน?
เต๋อเฟยตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง นางรู้สึกราวกับว่า ถูกคนตบหน้าอย่างแรง เจ็บแสบไปทั้งใบหน้า
ตำหนักเย็นนี้….ถูกซ่อมแซมใหม่เพื่อนังสารเลวตู๋กูซิงหลันหรอกหรือ? นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?
แถมฝ่าบาทยังทรงประทานพระตำหนักเฟิ่งหมิงนั่นให้มันครอบครองด้วย?
นางยังไม่ทันได้สติกลับมา ก็เห็นฮ่องเต้สีพระพักตร์เย็นชาเป็นน้ำแข็ง พระพิโรธของโอรสสวรรค์รุนแรงประหนึ่งพายุหิมะ กดทับนางจนแทบจะหายใจไม่ออก
“เจ้าลองว่ามาสิ เราสั่งให้เจ้าชักนำไทเฮาไปปีนเตียงมังกรยังไง? “
เต๋อเฟยคุกเข่าอยู่บนพื้น นางรู้สึกว่าตนเองกำลังสั่นไปทั้งร่าง
นางเงยหน้าขึ้นมองตู๋กูซิงหลันอย่างเคียดแค้น จะต้องเป็นนางสารเลวนี้ชักนำฝ่าบาทมาแน่ ถึงได้มาลวงให้นางพูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมาให้ฝ่าบาทได้ยิน ทำไมนางถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ หลงกลนังสารเลวเอาง่ายๆ
“เราถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับนาง? ” พระสุระเสียงของจีเฉวียนยิ่งทียิ่งเย็นเฉียบ ” ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ในพระราชวังต้าโจวของเรา ถึงกับมีบ่าวไพร่ตำหนักเย็นที่กล้าล่วงเกินไทเฮาแล้ว? “
บ่าวไพร่ตำหนักเย็น!
สี่คำนี้ แหลมคมดุจดาบที่แทงทะลุหัวใจนางเล่มหนึ่ง นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ฝ่าบาทจะทรงกลายเป็นผู้ที่ไร้น้ำใจเช่นนี้
ตู๋กูซิงหลันเคยชินกับสันดานแบบนี้ของฮ่องเต้สุนัขแล้ว ใครหนอที่เคยเรียกขานผู้อื่นว่าสนมรัก ช่างเรียกได้คล่องปากนัก พริบตาเดียวก็กลายเป็นบ่าวไพร่ตำหนักเย็นไปเสียแล้ว
ตอนนั้นที่นางยังอยู่ในตำหนักเย็น ลับหลังนาง เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่คงจะเรียกนางเป็นตัวร้ายในตำหนักเย็นอยู่เหมือนกัน
คิดถึงตรงนี้ นางก็ค่อยๆ ถอยห่างจากจีเฉวียนออกมาเงียบๆ ก้าวหนึ่ง แต่ก้าวเดียวนี้กลับถูกจีชวนขยับเข้าไปหาจนเหมือนเดิม
คนทั้งสองแทบจะตัวแนบติดกัน จนตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของจีเฉวียนที่เป่าผ่านศีรษะของนาง จนนางรู้สึกจักกะจี้
พอนางเงยหน้ามองก็เห็นพระเนตรหงส์ที่งดงามคู่นั้นกำลังจับจ้องนางอยู่ ที่จริงแล้วแววตาของเขาแบบนี้นางก็ไม่ค่อยได้เห็นอยู่บ่อยนัก “ไทเฮามิใช่บอกอยู่เสมอว่าต้องการให้เราคืนความบริสุทธิ์ให้หรอกหรือ? วันนี้เราจะสอบสวนบ่าวโหยวหนิงด้วยตนเอง จะต้องให้ความยุติธรรมแก่เจ้าแน่นอน”
พระองค์มิได้ทรงรอคอนให้นางกล่าววาจาตอบ ก็กวาดพระเนตรเย็นชาไปยังเต๋อเฟย “ความอดทนของเรามีจำกัด หากเจ้าไม่คิดจะเป็นศพไม่สมบูรณ์ ทั้งตระกูลดับสูญ ก็รีบๆ สารภาพออกมา”
เพียงแค่รับสั่งประโยคเดียวก็ทำให้เต๋อเฟยตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด นางรู้ดีกว่าฮ่องเต้ไม่ได้ทรงตรัสเพื่อข่มขู่นาง
หากทรงรับสั่งว่าจะประหารพวกนางทั้งตระกูล นั่นก็หมายความเช่นนั้นจริง
ดวงตาของนางที่งดงามประหนึ่งลูกแก้วทั้งสองนั้นเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา และเมื่อเหลือบเห็นพระหัตถ์ข้างที่พันผ้าพันแผลไว้ หัวใจของนางก็เหมือนถูกแช่แข็งไปครึ่งหนึ่ง……..
นางลืมไปได้อย่างไร ว่าเขาก็คือฮ่องเต้ที่ไร้หัวใจที่สุดในต้าโจว แต่ว่าฮ่องเต้ที่เป็นเช่นนี้กลับยินยอมรับบาดเจ็บแทนสตรีผู้หนึ่ง……..
เพื่อสตรีผู้นั้น พระองค์จะประหารพวกนางทั้งตระกูล!
นางปิดตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินร่วงหล่น “อี้อ๋อง! เป็นอี้อ๋องรับสั่งให้ข้าทำ! “
สิ้นประโยคนี้ออกไป พระขนงของฮ่องเต้ก็ขมวดแน่นขึ้น แม้แต่สายพระเนตรที่มองดูตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนไป
หลี่กงกงนั้นตกกระใจจนขวัญบินออกจากร่างไปแล้ว
“ฝ่าบาท พระองค์ก็ไม่ใช่จะไม่ทรงทราบ ไทเฮาที่อยู่ข้างพระวรกายนั้น ก่อนจะเข้าวังมาเคยเป็นคู่รักแต่เยาว์วัยกับอี้อ๋องที่แม้แต่เทพเซียนยังต้องอิจฉา ใช่ไหม? ” เต๋อเฟยหัวเราะเสียงเย็น “แต่ว่าน่าเสียดายนัก โชคชะตาทำร้ายผู้คน นางกลับกลายเป็นไทเฮาไปซะ”
“ความงดงามเลิศล้ำเช่นนี้ ย่อมมีไว้เพื่อยั่วยวนบุรุษผู้นำทั้งหลาย สร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองอยู่แล้ว”
เต๋อเฟยยังตอกย้ำต่อไป “ยาถ้วยนั้น ก็เพื่อกระตุ้นให้นางไปปีนเตียงมังกรของพระองค์ หากว่าเรื่องสำเร็จ อาศัยความรักต่ออี้อ๋องที่ชั่วชีวิตก็ไม่มีเสื่อมคลายนี้ มีหรือนางจะไม่กลายเป็นตัวหมากที่ดีที่สุดของอี้อ๋องในการจะล่อลวงควบคุมพระองค์”
“หากว่าเรื่องราวล้มเหลว สถานการณ์เบื้องหน้าก็ทำให้ฝ่าบาทและตระกูลตู๋กูต้องฉีกหน้าเป็นคู่แค้นกัน ยิ่งฝ่าบาทและตระกูลตู๋กูห่างกันเท่าไร เช่นนั้นอี้อ๋องและตระกูลตู๋กูก็จะยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นเท่านั้น เขาก็จะยิ่งเข้าใกล้การก่อกบฎชิงบัลลังก์ได้อีกก้าวหนึ่ง ไม่ว่าสำเร็จหรือว่าล้มเหลว ผู้ที่ได้รับผลลัพธ์มากที่สุดก็คือตัวเขาอี้อ๋อง”
เต๋อเฟยพูดทั้งหมดออกมาในอึดใจเดียว ทั้งยังไม่ลืมกล่าวอีกว่า “หากว่าฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อ ก็สามารถเรียกตัวอี้อ๋องมาโต้แย้งกับข้าได้! “
ท่าทางที่เชื่อมั่นขึงขังของนาง ดูไปไม่คล้ายว่าหลอกลวง
อี้อ๋อง บุรุษที่งดงามดุจเทพเซียนผู้นั้น บุรุษที่ทำให้นางหลงใหลตั้งแต่แรกเห็น เพื่อเขาแล้ว นางปฎิเสธการสู่ขอทั้งหมด
เพื่อเขาแล้ว นางยินยอมเข้าวังมา คิดจะสนับสนุนเขาอีกแรงหนึ่ง
แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบนี้ กลับมีแต่นางที่ยินยอมทุ่มเทจิตใจอยู่เพียงข้างเดียว
อีกทั้งเข้าวังมาได้ไม่เท่าไหร่นางก็พบว่า ฮ่องเต้เองก็ทรงโดดเด่นงดงามเกินใครเปรียบ
นางคิดจะลืมเลือนอี้อ๋อง กลายเป็นสตรีของฝ่าบาทอย่างเต็มตัว
แต่ว่าเพราะอะไร…..แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ทรงมองแต่ตู๋กูซิงหลัน?
นังแพศยานี่ยึดครองอี้อ๋องไว้แล้วยังไม่พอ แม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่ปล่อย! กินอยู่ในชามแท้ๆ ตายังมองไปที่ในหม้ออีก ยื้อเอาไว้ทั้งสองด้านไม่ยอมปล่อย
ทั้งๆ ที่นางยอมยกอี้อ๋องให้มันไปแล้วแท้ๆ ………..