ตอนที่ 829 : การดูแลเช่นแขกคนสําคัญ

 

ไปเกือเซียนไม่ทราบพื้นเพของฉินหยุน กระนั้นนางก็มั่นใจได้ ว่าเขาต้องมีพื้นเพอันยิ่งใหญ่ทว่านางไม่กล้าสอบถามออกไป เพราะไม่ใช่ว่านายน้อยผู้ใดล้วนสามารถนําหนึ่งหมื่นล้านเหรียญม่วงออกมาได้

 

ผู้ซึ่งสามารถเข้าหอแมกไม้มังกรด้วยเงินระดับหนึ่งหมื่นล้านมีไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นระดับเฒ่าชรากันเสียส่วนใหญ่ นายน้อยผู้อื่นที่เข้ามา มักจะมีมาแค่หนึ่งพันล้าน และพวกเขาไม่อาจใช้มันได้ตามใจนึก ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์จะเลวร้ายยามต้องส่งมอบกลับคืน

 

ฉินหยุนและเชียวเย่ว์เหม่ยได้รับตัวเข้าออก เป็นตราไม้ที่จะทําให้สามารถผ่านม่านพลัง

 

ไปเกอเซียนให้การต้อนรับด้วยตนเอง นําพาคนทั้งสองสู่ห้องชุดหรูหราภายในหอแมกไม้มังกรภายในประกอบด้วยหลายห้อง รวมถึงห้องลับ และยังมีห้องรับแขก รวมถึงห้องนั่งเล่น ยังมีอ่างแช่น้ําขนาดใหญ่ รวมถึงห้องอาบน้ําที่อํานวยความสะดวกครบครัน

 

โถงรับรองด้านหน้าโอ่อ่า มีการปลูกพืชพรรณหายาก ดอกไม้ และต้นไม้เอาไว้ให้พวกมันได้ส่งกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ทําให้ผู้คนผ่อนคลายยามได้สูดดม

 

“ความแตกต่างที่ทําให้หอแมกไม้มังกรของเราสามารถคงอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่นี้ได้คือวัสดุที่สร้างขึ้นจากต้นไม้มังกรโบราณ กิ่งของพวกมันถูกตัดมาและสร้างขึ้นเป็นสถานที่แห่งนี้!” ไปเกือเซียนย่อมทราบ ว่าฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยไม่คุ้นเคยกับหอแมกไม้มังกร ดังนั้นนางจึงอธิบายเรื่องราวความเป็นมา

 

“ต้นไม้มังกรโบราณ? นั่นไม่ใช่ของที่แม้กระทั่งเซียนยังต้องการหรอกหรือ?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเอ่ยถามขึ้นอย่างนึกถึง “ตํานานกล่าวไว้ ต้นไม้มังกรถูกใช้งานเป็นรังของมังกร และต้นไม้เหล่านั้นสูงใหญ่ กล่าวได้ว่าสูงถึงหลายร้อยเมตร!”

 

“เป็นเช่นนั้น!” ไปเกือเซียนยิ้มรับ

 

“ผู้ดูแลไป ค่าเข้าพักที่นี่คิดที่เท่าใด?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

 

“ไม่มีค่าใช้จ่ายใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ!” ไปเกือเซียนยิ้มตอบ

 

ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหมียนึกถึง พวกเขาต่างคิด ว่าไปเกือเซียนจงใจนํามายังห้องหรูหราแพงมากล้ํา ที่พวกเขาไม่คิด คือมันสามารถใช้งานเข้าพักได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย!

 

“ไม่ต้องจ่ายเลยหรือ? เช่นนั้นหอแมกไม้มังกรนี้สร้างผลกําไรได้อย่างไร?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย “คงไม่ใช่การหลอกลวงอะไรทํานองนี้กระมัง? วันพรุ่งนี้ คําไม่มีค่าใช้จ่ายอาจกลับกลายเป็นแพงมากล้ํา!”

 

“อันที่จริงแล้ว สําหรับแขกที่มีบัตรผลึกม่วงมูลค่ามากกว่าหนึ่งหมื่นล้าน สามารถพักอาศัยและดื่มกินที่หอแมกไม้มังกรได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดเจ้าค่ะ!” ไปเกือเซียนเผยยิ้มอ่อน “แขกผู้มีเกียรติทั้งสอง โปรดวางใจและเข้าพัก หากมีปัญหาอื่นใด เพียงใช้เปลือกหอยสื่อสารนี้แจ้งต่อข้า”

 

ไปเก้อเขียนนําเอาเปลือกหอยสื่อสารออกมาสองอัน มอบให้แก่ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยคนละหนึ่ง

 

ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราว ที่พวกเขาพบเจอเวลานี้ มันราวกับมีอาหารหรูหราตกลงเป็นสายฝนจากฟากฟ้าก็ไม่ปาน

 

ไปเกือเชียนออกไปแล้ว เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงเก็บเปลือกหอยสื่อสาร นางหัวเราะกล่าว “พี่ชายเช่นนั้นไปหาอะไรกิน ในเมื่อไม่มีค่าใช้จ่าย เหอะ เหอะ เหอะ ข้าก็ไม่คิดมากมารยาทไป!”

 

“เด็กน้อยผู้นี้!” ฉินหยุนยิ้มตอบ “พวกเราควรเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ในเมื่อที่นี่ปลอดภัย เช่นนั้นก็ไม่ต้องใส่ชุดเกราะ”

 

เสื้อผ้าเหล่านี้ฉินหยุนสร้างขึ้นเอง ไม่เพียงแต่มีอํานาจป้องกันแข็งแกร่ง แต่ยังมีอักขระช่วยฟื้นฟูรักษาในตัว

 

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยสวมใส่ชุดกระโปรงสีคราม พร้อมจัดแต่งทรงผมให้เป็นสองหางม้า รูปลักษณ์นี้งดงามเรียบร้อย ผู้คนยามมองจะพบว่ามีเสน่ห์ดึงดูด

 

ฉินหยุนเปลี่ยนสวมใส่ชุดขาวเรียบง่ายธรรมดา กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่อาการสงบผู้หนึ่ง หนวดเคราที่ใบหน้าของเขาไม่ได้โกนออก ทั้งยังถือพัดสีดําในมือ

 

“เย่ว์เหม่ย เจ้าคิดว่าเหตุใดหอแมกไม้มังกรจึงเสนอการดูแลเช่นนี้แก่ผู้ที่ครอบครองบัตรผลึกม่วงมูลค่าหมื่นล้านโดยไม่มีค่าใช้จ่าย? คิดว่าพวกเขาจะมีเป้าหมายอันใด?” ฉินหยุนยังคงคิดถึงเรื่องนี้

 

“ข้าเดาว่านายใหญ่ของหอแมกไม้มังกร น่าจะต้องการสร้างเส้นสายมิตรสหายที่ร่ํารวยไม่ใช่ว่าผู้ใดล้วนสามารถมีหนึ่งหมื่นล้านเหรียญม่วง แม้ราชันยุทธ์หรือจักรพรรดิยุทธ์จะ มีในครอบครองทว่าทั้งหมดนั้นย่อมไม่ใช่ของพวกเขาแน่!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าว

 

ฉินหยุนคิดตาม พบว่าการคาดเดาของเชี่ยวเย่ว์เหมียมีเหตุผล โดยหลักแล้ว ผู้คนที่สามารถถือครองหนึ่งหมื่นล้านได้ย่อมแข็งแกร่ง ทั้งยังต้องมีพื้นเพอันสูงล้ํา

 

ทั้งสองเดินออกจากห้องชุด ที่พวกเขาใช้พักอาศัยคือชั้นที่สามสิบ ตอนนี้ลงไปยังชั้นที่เจ็ด นามของชั้นนี้คือชั้นแห่งผลไม้ ชั้นนี้จะมีผลไม้หลากหลายมานําเสนอ

 

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยชื่นชอบการได้กินผลไม้เป็นที่สุด นางพบเห็นชั้นวางโปร่งแสงที่เต็มไปด้วยผลไม้หลากสีสันและรูปร่าง ปากของนางแทบเผยน้ําลายสอ

 

ฉินหยุนอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเรื่องราวชวนขบขัน เชี่ยวเย่ว์เหม่ยตื่นรู้ความทรงจําในชาติภพก่อนขึ้นมาแล้ว ทว่าก็ยังทําตัวเสมือนเด็กสาวผู้หนึ่ง

 

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเผยตัวไม้ไปเกือเซียนกล่าวไว้ ตราบเท่าที่เผยตัวไม้นี้ ผู้ครอบครองย่อมสามารถใช้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

 

แม้ว่าไม่มีค่าใช้จ่าย เชี่ยวเย่ว์เหม่ยก็ไม่ได้ทําเกินเลยไปนัก นางเพียงนําผลไม้หลายอย่างจํานวนหลายสิบผลเพื่อติดไม้ติดมือกลับมา

 

หลังได้รับผลไม้แล้ว ทั้งสองจึงไปยังชั้นที่สิบ ไปเกือเซียนแจ้งต่อพวกเขาผ่านทางเปลือกหอยสื่อสาร ว่าจะมีงานเลี้ยงรวมไวน์นานาชนิดจัดขึ้นที่ชั้นสิบ เหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งหลายจะมาเข้าร่วม

 

ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเมื่อมาถึง พวกเขาจึงได้เห็นผู้คนหลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นวัยกลางคนและวัยเฒ่าชรา มีเพียงน้อยนิดที่เป็นคนหนุ่ม

 

“หน้าโง่พวกนั้น!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพบเห็นกลุ่มชายหนุ่มที่เย้ยหยันตนเองครั้งหน้าประตูทางเข้า

 

ชายหนุ่มเหล่านั้นย่อมพบเห็นเช่นเดียวกัน ที่เบื้องหน้าคนหนุ่มเหล่านี้ ยังคงมีชายหนุ่มหล่อเหลาสวมใส่ชุดหรูหราสีม่วง สายตาอีกฝ่ายมองมาทางด้านนี้เช่นกัน

 

ไปเกือเซียนเร่งรีบเดินเข้ามา นางสวมใส่ชุดสีขาวหรูหรา และยังมัดผมประดับไว้ด้วยอัญมณีเม็ดน้อย เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้ให้ความใส่ใจด้านการแต่งกาย ยามนี้จึงให้บรรยากาศของผู้สูงศักดิ์ในเวลานี้ นางหาได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใดในด้านความงามไม่

 

“ผู้ดูแลไป” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวทักทาย

 

“นายหญิงน้อยเชียว นายน้อยหยุน ยินดีต้อนรับแล้ว” ไปเกือเชียนเผยยิ้มก้าวเดินมา ทั้งฉินหยุนและเซียวเย่ว์เหม่ยเพียงเผยนามออกเล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้ทราบ

 

เวลานี้เอง ชายหนุ่มในชุดสีม่วงหล่อเหล่าจึงเดินเข้ามาพร้อมกลุ่มชายหนุ่มก่อนหน้า

 

“นายน้อยหยุนผู้นี้คงมีพื้นเพอันยิ่งใหญ่กระมัง? ข้าสงสัยนักว่ามาจากตระกูลใหญ่หรือว่าสำนักใด?” ชายหนุ่มชุดสีม่วงเผยรอยยิ้มจอมปลอมกล่าวถาม

 

“ข้าคือจ้าวสํานักแห่งประตูจารึก หยุนจี้เหวิน!” ฉินหยุนเผยยิ้มตอบกลับ

 

ไปเกือเซียนและกลุ่มชายหนุ่มอวดดีตรงหน้าย่อมไม่เชื่อ

 

“ประตูจารึก? ทั้งยังเป็นจ้าวสํานัก? ประตูจารึกนี้คล้ายน่าจะข้องเกี่ยวกับวิถีการจารึก จะบอกว่าท่านเข้าใจวิถีการจารึก?” ดวงตาของชายหนุ่มเผยประกายยามเอ่ยถาม

 

“ข้าพอทราบบ้าง” ฉินหยุนกล่าวตอบ

 

ไปเกือเซียนรับหน้าแนะนําตัวแก่ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “นายน้อย จ้าวสํานักหยุน ผู้นี้คือนายน้อยของสํานักเซียนราชันสายลมแห่งแคว้นมังกรทะยานฟ้า เป็นผู้นําคณะศิษย์นามเฟิงอู่ฉิว! นายน้อยเพิ่งก้าวขึ้นเป็นราชันยุทธ์ กล่าวได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งหนึ่งในราชันยุทธ์เยาว์วัย!”

 

ใบหน้าของเฟิงอู่ฉิวเผยความหยิ่งผยอง อย่างไรแล้ว เรื่องราวนี้ก็มีดีให้ภาคภูมิจริง

 

“สมแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีแล้ว!” ฉินหยุนกําหมัดประทับฝ่ามือพร้อมเผยยิ้ม

“จ้าวสํานักหยุนประตูจารึกท่านมาจากพื้นที่ใด และเป็นสํานักระดับใด?” เฟิงอู่ฉิวค่อนข้างสนใจเรื่องราวของฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เพราะผู้ใต้บัญชาทั้งหลายของเขาโดนหยามเหยียดวันนี้ซึ่งหน้า

 

“ประตูจารึกของพวกเราอยู่บนดวงดาวทิศเหนือในฟากฟ้า ส่วนระดับนั้น คงไม่จัดเข้าอยู่ในระดับใด!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว

 

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเพียงรับชมเรื่องราว นางกัดกินผลไม้พลางรับชมศึกปะทะทางวาจา เฟิงอู่ฉิวผู้นี้ย่อมเข้ามาเพื่อหาเรื่อง ทว่าฉินหยุนไม่มีทางให้อีกฝ่ายทําได้สําเร็จ

 

ไปเกือเซียนจึงกล่าวขึ้น “จ้าวสํานักหยุน นายท่านของพวกเราใกล้มาถึงแล้ว กล่าวว่ามีเรื่องสําคัญคิดประกาศให้ทราบ!”

 

ฉินหยุนมองที่กลุ่มคนที่นี้ แต่ละคนต่างต้องมีมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญม่วงในครอบครองกล่าวได้ว่าเป็นผู้ร่ํารวย นายใหญ่ของหอแมกไม้มังกร เห็นได้ชัดว่ามีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมคนเหล่านี้มาที่นี่

 

เฟิงอู่ฉิวกล่าวคํา “นายใหญ่หลงยังมาไม่ถึง พวกเราพบว่าเบื่อหน่ายไม่น้อย ในเมื่อน้องหยุนผู้นี้ยังเยาว์ ระดับการฝึกฝนไม่สูงส่งอันใดนัก ทั้งยังเป็นจ้าวสํานักเล็กน้อยแห่งหนึ่ง หมายความ ถึงต้องมีฝีมือไม่ใช่น้อยกระมัง… คงต้องมีมากกว่าสองพันล้านเหรียญม่วงใช่หรือไม่? เหรียญม่วงมากมายเหล่านั้นหามาได้อย่างไร?”

 

เขาจงใจกล่าวด้วยเสียงอันดังให้ผู้คนได้ยิน เด็กน้อยมีเรื่อง ผู้เฒ่าชราย่อมไม่สนใจ ข้อพิพาทนี้ก็แค่คนหนุ่มสองคนที่มีพื้นเพ หาได้มีอื่นใดชวนน่าสนใจไม่

 

เฟิงอู่ผิวรู้จักผู้คนทั้งหลายที่นี้เป็นอย่างดี อย่างไรแล้ว เขาก็เป็นราชันยุทธ์เยาว์วัยที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งแคว้นมังกรทะยานฟ้า

 

แม้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ราชันยุทธ์ ทว่าเป็นจ้าวสํานักของประตูจารึกอันใดสักอย่างที่ร่ํารวยกว่าสองพันล้านเหรียญม่วง เรื่องนี้เป็นผลให้ผู้คนต้องให้ความสนใจอย่างเสียมิได้

 

เป็นที่ทราบกันว่า แม้เป็นราชันยุทธ์หรือจักรพรรดิยุทธ์ ก็มีเพียงหนึ่งพันล้านกับเศษอีกเล็กน้อยในครอบครองเท่านั้น

 

“เรื่องนี้ กล่าวตามตรง เป็นข้าโชคดี ชนะมันได้จากการพนัน!” ฉินหยุนเอ่ยไปตามตรง

 

“ถึงกับชนะพนันได้มามากมายเพียงนี้ โชคนั้นคงล้นฟ้าแล้วกระมัง! ข้าสงสัยนัก ว่าครานี้คิดกล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่?” เฟิงอู่ฉิวกล่าวถาม

 

“คิดเดิมพันกันเท่าใดดี? แล้วใช้วิธีการอันใด?” ฉินหยุนเอ่ยถาม

 

ที่เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพบเห็นเวลานี้ คือเหรียญม่วงจํานวนมหาศาลกําลังตั้งแถวเดินเข้าหาฉินหยุนแล้ว

 

“ข้าวางเดิมพันหนึ่งพันล้านเหรียญม่วง! ข้าเดิมพันว่าเจ้าหาได้เข้าใจวิถีจารึกใดไม่! นอกจากนี้แล้ว เจ้าหาได้ใช่จ้าวสํานักประตูจารึกอะไรนั่นด้วย!” เฟิงอู่ฉิวแค่นเสียง “ข้ามองพวกเจ้าสองคนเป็นเพียงคนลวงโลกที่อวดโอก็เท่านั้น!”

 

เชี่ยวเย่ว์เหม่ยอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มยามได้ฟัง การเดิมพันเช่นนี้ ผลลัพธ์แทบไม่ต้องให้นางคาดเดาแล้ว!

 

“นายท่านมาถึงแล้ว!” ไปเกือเซียนพลันเผยเสียงดังขึ้น นางมองไปยังชายหนุ่มในชุดดําหล่อเหลาร่างสูงที่ก้าวเดินเข้ามา เวลานี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจโล่งอก

 

ชายหนุ่มผู้มาเยือนนี้หล่อเหลา มีเคราประดับใบหน้า ดวงตาเผยความสุกสว่าง สวมใส่ชุดสีดําเรียบง่าย เผยออกซึ่งออร่าอันโดดเด่นจนผู้อื่นล้วนไม่กล้าดูหมิ่นต่ออีกฝ่าย สตรีหลายนางภายในห้องโถงแห่งนี้ ต่างเริ่มอุทานชื่นชมกันเสียงเบาแล้ว

“นายใหญ่หลง พวกเราเข้าพักที่หอแมกไม้มังกรนี้ก็นาน ตอนนี้ค่อยมีโอกาสได้พบเจอกันเสียที!” ชายชราหัวเราะก้าวเดินเข้ามา เขาผู้นี้คือจักรพรรดิยุทธ์

 

“พี่ใหญ่หลง ข้าเพิ่งเดิมพันกับเด็กหนุ่มผู้นี้ ขอท่านเป็นพยานรับชมแล้ว!” เพิ่งอู่ฉิวกล่าวคําขึ้น

 

ไปเกือเซียนเดินเข้าไป แจ้งต่อนายใหญ่หลงให้ทราบเรื่องราว

 

นายใหญ่หลงผู้นี้ย่อมทราบแล้ว ว่าฉินหยุนมีมากมายถึงหมื่นล้านในครอบครอง เขาหาได้สนใจว่าเงินนั้นมาจากที่ใด ที่สนใจ ก็เพียงแต่เป็นคนที่มีเงินเท่านั้น “น้องเฟิง เห็นแก่หน้าข้าแล้วปล่อยเรื่องนี้ไปเสีย”

 

เฟิงอู่ฉิวกล่าว “ข้า เฟิงอู่ฉิวเป็นผู้อาจหาญยืนหยัดต่อความเป็นจริง! สองคนนี้ครอบครองชุดเกราะที่แข็งแกร่ง ทั้งยังมีเหรียญม่วงมากมาย ข้าสงสัย ว่าจะเป็นการปล้นฆ่าผู้อื่นฉกชิงเอาสิ่งของมา หรือไม่ก็ลวงหลอกผู้อื่นจนได้รับมาครอบครอง!”

 

“ชายผู้นี้เมื่อครู่ยังกล่าว ว่าเป็นจ้าวสํานักประตูจารึกอะไรสักอย่าง! ท่านเชื่อหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าเป็นคําลวงโลก พวกมันคิดเข้ามาที่นี่เพื่อหลอกขายของหรือลวงเงินพวกเราเป็นแน่!”

 

ฉินหยุนไม่ทราบว่าเหตุใดเฟิงอู่ฉิวกัดตนไม่ปล่อยเช่นนี้ ทว่าเขาก็หาได้หวั่นเกรงใด ที่เผยออกจึงเป็นรอยยิ้ม “นายใหญ่หลง ข้าคงไม่อาจยอมให้ผู้อื่นใส่ร้ายได้ในเมื่อสงสัยต่อตัวตนจ้าวสํานักผู้นี้ เช่นนั้นข้าก็ขอพิสูจน์ให้มันได้ทราบว่าอันใดจริงอันใดเท็จ!”