ตอนที่ 41.ฉันอยากกลับแล้ว

หัวโจก

โจวจิ้งได้แต่ส่งสายตาให้กำลังใจ ก่อนจะหันมองเวที ซึ่งถังซือกำลังรับมงกุฎด้วยใบหน้าแจ่มใส ต่างจากเฮ่อซวินที่ทำหน้าไร้อารมณ์ตลอด

เธอก้มมองนาฬิกาแล้วลังเลว่าจะไปที่ห้องแต่งตัวหรือกลับหอพักเลยดี

ห้องแต่งตัวอยู่ห่างจากงานเลี้ยงพอสมควร แต่จะให้ใส่เดรสตัวบางเดินฝ่าลมหนาวกลับห้อง ก็กลัวจะแข็งตายเสียก่อน

เมื่อถูกสายลมวูบใหญ่พัดผ่านร่างจนขนลุกซู่ เธอก็ตัดสินใจวิ่งไปที่ห้องแต่งตัว

“โจวจิ้ง” หลินเกาตะโกนเรียกจากทางด้านหลัง “จะไปห้องแต่งตัวใช่ไหม?”

“อืม” เธอตอบเสียงเรียบ ไม่ทำท่าตื่นเต้นดีใจเหมือนแต่ก่อน

“ห้องแต่งตัวอยู่ไกลมาก เดินอีกนานกว่าจะถึง อยู่รอรถบัสกับฉันดีกว่า ฝืนเดินไปจะแข็งตายเสียก่อน” เขาเสนอ

โจวจิ้งเริ่มเข็ดกับไอ้เด็กคนนี้ อีกทั้งไม่อยากมีปัญหากับเถาม่านและจิงจิง พอคิดจะปฏิเสธ เสื้อคลุมของใครบางคนก็ลอยมาคลุมหัว

“ไม่ต้อง!” เฮ่อซวินโพล่งขึ้น

“นาย…” เธอชี้หน้าอีกฝ่าย “ไม่อยู่รับรางวัลพรอมคิงเหรอ?”

“เบื่อ เลยเดินออกมา” พูดจบก็ปรายตามองหลินเกา “ฉันจะไปส่งเอง”

“ดีเลย!” โจวจิ้งพูดอย่างโล่งอก “ไปกันเถอะ”

หลินเกาพยักหน้าแล้วเดินจากไปเงียบๆ

พออีกฝ่ายคล้อยหลังไป โจวจิ้งก็คืนเสื้อให้เฮ่อซวิน

“แน่ใจนะว่าจะเดินไปสภาพนี้” เขาทำเสียงดุ

“เสื้อผ้านายอยู่ที่ห้องแต่งตัวด้วยเหรอ?”

“คนหลังเวทีช่วยเฝ้าให้”

หน้าตาดีก็ดีแบบนี้ ขนาดเสื้อผ้ายังมีคนเฝ้าให้โดยไม่คิดอะไร

“นายกลับเข้างานไปเถอะ ได้เสื้อผ้าแล้วฉันจะเอามาคืนให้”

“ไม่ล่ะ ฉันอยากกลับแล้ว” เฮ่อซวินตอบ

“งานไม่สนุกเหรอ?”

“ไม่สนุก” เขาทำหน้าเซ็ง

โจวจิ้งห่อร่างใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ยาวถึงเข่า อุณหภูมิที่ยังหลงเหลือของอีกฝ่ายทำให้อาการหนาวสั่นทุเลาลง

การต้องเหยียบส้นสูงตลอดเวลาทำให้เธอเดินช้าลง แต่เฮ่อซวินเข้าใจและลดความเร็วเพื่อเดินเคียงข้าง

ในสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ มีนักเรียนเดินสวนกับพวกเขาประปราย เพราะส่วนใหญ่ยังอยู่ในงาน

หลังเปลี่ยนชุดเสร็จ โจวจิ้งก็คืนเสื้อให้เฮ่อซวินและเตรียมตัวกลับหอ

“บ๊ายบาย”

“อืม”

เธอลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “นาย…”

“อะไร?”

ใบหน้าละมุนของเฮ่อซวินยามต้องแสงไฟริมถนน ทำสาวๆ ที่เดินผ่านเหลียวหลังมอง

“ไม่มีอะไร ฝันดีนะ”

โจวจิ้งคิดถึงเหตุการณ์ช่วงห้าวินาทีนั้นตลอดทางเดินกลับห้อง รู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบและสงสัยว่าคนที่จูบหน้าผากก็คือเฮ่อซวิน

“เลิกคิดได้แล้ว!” เธอพึมพำหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “ตอนฉันเป็นสาว เขายังต้องให้แม่ป้อนข้าวอยู่เลยนะ!” โจวจิ้งขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด แต่ผิวสัมผัสกลับไม่เหมือนเดิม เพราะหัวฟูแห้งกรังได้กลายเป็นผมตรงนุ่มสลวยไปแล้ว

“ไม่วัยทองก็โรคซึมเศร้าหลังคลอดแน่ฉัน!” บ่นจบก็ควักมือถือออกมาโทรหาสวรรค์เซอร์วิส

ที่ผ่านมาเธอพยายามแยกแยะทุกอย่างด้วยเหตุผล เพราะอนาคตไม่แน่นอน อาจต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดหรืออาจตื่นขึ้นแล้วพบว่าทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม จึงไม่อยากยึดติดอะไรมาก

ยิ่งเคยชินกับร่างนี้ หลายอย่างที่เกิดขึ้นก็ยิ่งเหนือความคาดหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะหวั่นไหวกับเด็กอายุสิบแปดได้

แค่จูบที่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร กลับทำให้เธอใจเต้นอย่างอดไม่ได้

“เลิกคิดได้แล้ว นอนๆๆ” โจวจิ้งตบหน้าตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบสมุดปากกาขึ้นเขียนบันทึก

งานเต้นรำของหัวลี่เลิกตอนเที่ยงคืน เสียงเชียร์และเสียงปรบมือยังคงกึกก้องในความรู้สึกของโจวจิ้ง

โอกาสแบบนี้ยากจะเจอในวัยมัธยม จึงเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำสำหรับเธอ

หลังอาบน้ำเสร็จ หยวนคังฉีส่งวิดีโอที่โจวจิ้งร้องเพลงเต้นแอโรบิกคู่กับเฮ่อซวินลงกลุ่ม

“อะไรกันเนี่ย! พวกนายไปแข่งคณิตศาสตร์ไม่ใช่เหรอ ทำไมมีสาวๆ กับมีเหล้าให้กินด้วยล่ะ?” เจ้าผอมโวยวายคนแรก

“บนเวทีใช่เฮียเฮ่อหรือเปล่า? ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม? ช่วยอธิบายหน่อย!” เจ้าอ้วนโวยวายต่อ

“ใช่แล้ว” หยวนคังฉีพิมพ์ตอบอย่างรวดเร็ว

“ฮะ!!!” เจ้าอ้วนและเจ้าผอมตกใจพร้อมกัน

“ขนาดเวทียวู่เต๋อยังไม่ยอมขึ้นเลย แล้วนี่…” เจ้าผอมยังคงตกใจ

“สุดยอด!” เจ้าอ้วนเสริม

“ว่าแต่… สาวสวยคนนั้นเป็นใคร ทำไมถึงร้องเพลงคู่กัน ไม่ได้ตัดต่อวิดีโอมาใช่ไหม?” เจ้าผอมถามต่อ

“โจวจิ้งไง จำไม่ได้เหรอ?” หยวนคังฉีตอบ

“ล้อเล่นน่า” เจ้าอ้วนพิมพ์

“ไม่ได้ล้อเล่น ดูดีๆ” หยวนคังฉีย้ำ

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เจ้าอ้วนที่หายตกใจส่งข้อความกลับมา

“ถึงพวกเขาจะคบกันแล้ว ก็ไม่ควรเปิดตัวที่หัวลี่นะ”

“เรื่องมันยาว เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ขอตั้งใจฟังเพลงก่อน” หยวนคังฉีตอบ

ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าผอมก็ส่งข้อความลงกลุ่ม “เพลงเพราะดี แต่ไม่เคยได้ยินเลย”

เจ้าอ้วนรีบเสริม “เสียงของเธอเหมือนกับเสียงของดีเจในรายการสายลมในฤดูร้อนเลย”

หยวนคังฉีหุบยิ้มทันที “สายลมในฤดูร้อนงั้นเหรอ?”

“ใช่ ฉันชอบเสียงของดีเจคนนี้มาก เคยฝันอยากฟังเธอร้องเพลงด้วย พอได้ฟังเสียงในวิดีโอ ก็ยิ่งนึกถึงเพราะมันคล้ายมาก!”เจ้าอ้วนคอนเฟิร์ม

หยวนคังฉีนิ่งอึ้ง สายตาจับจ้องเตียงฝั่งตรงข้ามสลับกับข้อความสุดท้ายของเจ้าอ้วนบนมือถือ

 

โจวจิ้งกลายเป็นกระแสในยวู่เต๋ออีกครั้ง

ผมที่ถูกย้อมจนเป็นสีดำทำหลายคนตกใจ แต่ก็ไม่อาจลบภาพของเด็กมีปัญหาได้

เด็กห้องกิฟต์เริ่มยอมรับเธอในฐานะเพื่อนร่วมห้อง อาจเพราะโจวจิ้งไม่ใช่คนคิดมาก จุกจิก หรือทำตัวน่ากลัวอย่างที่ลือกัน

จากเหตุการณ์ในงานเต้นรำ ทำให้เธอทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการเรียนเพื่อลดความฟุ้งซ่านในใจ ผลที่ได้ก็คือคะแนนที่พุ่งสูงราวกับจรวด

ครูในแต่ละภาควิชาค่อยๆ ยอมรับในตัวเธอ โดยเฉพาะอาจารย์อู่ที่สอนคณิตศาสตร์ หากดื่มเหล้าร่วมสาบานกับเธอได้เขาคงทำไปแล้ว

ความสัมพันธ์กับสองหนุ่มหล่อยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แค่เลี่ยงที่จะประชันหน้ากับหลินเกาและเถาม่าน ชีวิตก็สงบสุขแล้ว

ส่วนจิงจิงจะแวะมาหาสองวันครั้ง เอาขนมมาให้บ้าง เอาของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้บ้าง ซึ่งโจวจิ้งไม่เคยอยากรับ ครั้นจะปฏิเสธ อีกฝ่ายก็วิ่งหนีไปแล้ว

เวลาของเด็กมัธยมหกผ่านไปอย่างรวดเร็ว โรงเรียนเริ่มติดคำขวัญเพื่อให้กำลังใจเด็กที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยิ่งอาจารย์ฉีจัดการประชุมใหญ่ก่อนการสอบวัดระดับ บรรยากาศก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นไปอีก

เข้าสู่ช่วงสอบปลายภาค

โจวจิ้งนั่งทบทวนแบบเรียนภาษาอังกฤษด้วยความเบื่อหน่าย แต่เมื่อนึกถึงปิดเทอมฤดูหนาว กำลังใจในการอ่านหนังสือก็เพิ่มมากขึ้น

เฝิงเอี้ยนถอดแว่นตาแล้วหยอดน้ำตาเทียมใส่ ก่อนจะดื่มน้ำแล้วถามโจวจิ้งเรื่องไดอารี่

“มัวแต่ติวหนังสือ ลืมสนิทเลย” เธอเคาะหัวตัวเองเบาๆ แล้วหยิบไดอารี่ขึ้นจด

เธอตั้งใจจะเขียนไดอารี่เกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมา จนกว่าจะโทรหาสวรรค์เซอร์วิสติด

ตอนลืมตาตื่นในห้องพยาบาล เจ้าของร่างกำลังถูกให้น้ำเกลือ เนื้อตัวไม่มีบาดแผลสาหัสจากการถูกผลักตกบันได มีเพียงรอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น

ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างถูกสวรรค์เซอร์วิสส่งไปอยู่ที่ไหน เธอจึงต้องจดรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องราวในชีวิตประจำวัน

ขอเพียงร่างของพวกเธอไม่ถูกสลับก่อนวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะอาจารย์อู่คงอกแตกตายแน่นอน

หลังจดเรื่องราวในวันนี้เสร็จ เธอก็วางปากกาแล้วยกมือขึ้นกุมขมับ

“ปิดเทอมนี้โรงเรียนจะแจกแบบฝึกหัดให้ทุกคนกลับไปทำ ของห้องกิฟต์มีเยอะไหม?” เฝิงเอี้ยนถามเพราะคิดว่าอีกฝ่ายกลุ้มใจเรื่องนี้“เยอะอยู่” โจวจิ้งตอบ

แบบฝึกหัดที่ได้รับส่วนใหญ่จะเป็นแนวเดิม แค่เปลี่ยนตัวเลขเท่านั้น ไม่มีความท้าทายใดๆ

“มีแพลนจะไปเที่ยวช่วงปิดเทอมบ้างหรือเปล่า?” เฝิงเอี้ยนถามต่อ

“คงจะกินๆ นอนๆ อยู่บ้านแหละ”

หยุดแค่อาทิตย์เดียว แถมมีแบบฝึกหัดให้ทำมากมาย เรียกว่าปิดเทอมคงดูดีเกินไป

“แล้วเธอล่ะ” โจวจิ้งถามกลับ

“ฉันสมัครคอร์สติวเข้มไป” เฝิงเอี้ยนยักไหล่ “ถ้าฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของเธอก็คงดี”

“คะแนนสอบไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตหรอก” โจวจิ้งตอบ “หยุดแค่อาทิตย์เดียว เอาเวลาไปพักผ่อนดีกว่า”

ส่วนเธอต้องใช้ชีวิตช่วงปิดเทอมกับคนที่ไม่คุ้นเคย เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเหลือเกิน

 

โจวจิ้งกลับบ้านทันทีหลังสอบเสร็จ

เธอไม่เคยอยากกลับ เพราะบรรยากาศในครอบครัวไม่อบอุ่น ทั้งยังเข้ากับใครไม่ได้อีก แต่เมื่อกลับถึงบ้านก็ต้องประหลาดใจ เพราะทุกคนกำลังนั่งกินอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

จู่ๆ โจวฉีเทียนก็รับโทรศัพท์แล้วผลุนผลันออกจากบ้านไปพร้อมเถาจิง เถาม่านที่กินข้าวได้เพียงสองคำจึงกลับเข้าห้อง เหลือเพียงโจวจิ้งกับโจวเสี่ยวหยีเท่านั้น

โจวจิ้งถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องนั่งปั้นหน้าต่อ แต่โจวเสี่ยวหยีกลับร้องไห้โฮออกมา จนเธอสงสาร

คืนสุดท้ายของปีแต่กลับไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย ต่อให้อาหารหรูหราแค่ไหน ก็คงไม่อร่อยหากต้องกินเพียงลำพัง

โจวจิ้งก็ช่วยป้าเฉินเก็บจาน ส่วนโจวเสี่ยวหยีก็นั่งขดตัวดูการ์ตูนบนโซฟา แววตาเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวา

“เล่นไฟเย็นเป็นไหม?” เธอถามน้องชายที่กำลังทำหน้าเศร้า

“ไม่เป็น”

ได้ยินเช่นนี้ โจวจิ้งก็หยิบไฟแช็กขึ้นจุดแท่งไฟเย็นจนเกิดประกายแปลบปลาบ

โจวเสี่ยวหยีทำตาโต จ้องไฟเย็นในมือพี่สาวอย่างตื่นเต้น

“อยากเล่นด้วยกันไหม?” เธอถามอีกครั้ง

โจวเสี่ยวหยีพยักหน้าด้วยความเต็มใจ “เล่น”

บนระเบียง โจวจิ้งเสียบไฟเย็นรอบกระถางต้นไม้พร้อมบ่นกับตัวเอง “เมื่อก่อนเหรียญสองเหรียญซื้อได้เป็นกำ เดี๋ยวนี้ซื้อได้เแท่งเดียว บ้าบอ!”

ด้วยความที่ไม่เคยเจอของเล่นแบบนี้ โจวเสี่ยวหยีจึงตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่

“อย่าบอกนะว่าเธอไม่เคยเล่น”