ตอนที่ 42.เล่นอะไรไร้สาระ!

หัวโจก

เจ้าตัวเล็กเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบ

โจวจิ้งสงสารเด็กน้อยตรงหน้าจับใจ เกิดเป็นลูกคนรวยแท้ๆ กลับถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวตลอด ต่างจากโจวเค่อที่ฐานะยากจนกว่าแต่กลับมีครอบครัวอยู่เคียงข้างเสมอ

สุดท้าย ไม่มีใครน่าสงสารเท่าลูกในท้องของเธอ…

เรื่องที่ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจ พอถูกขุดขึ้นมาก็ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบ สิ่งที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด กลับถูกคลื่นแห่งความทรงจำซัดจนแทบล้มทั้งยืน ฉะนั้น ไม่คิด ไม่พูดถึง คงเป็นการดีที่สุด

“สัตว์ประหลาดหัวทอง ร้องไห้ทำไม?” โจวเสี่ยวหยีทำหน้างงโจวจิ้งปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว “ตาบอดสีเหรอ? ผมแบบนี้เขาเรียกดำสลวย!” พูดจบก็ลุกขึ้นปัดมือ “ไปเอาขนมก่อนนะ”

จังหวะที่หันหลังกลับ เธอพบกับเถาม่านที่ยืนกอดอกมองอยู่

“ตกใจหมดเลย ส่งเสียงหน่อยไม่ได้รึไง?” โจวจิ้งยกมือขึ้นกุมอก

สีหน้าของเถาม่านเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง ตามด้วยเสียงหัวเราะเยาะ “อุตส่าห์ทำตัวเป็นพี่ที่ดี แต่ไม่มีใครอยู่ดู!”

“ได้คนบ้าอย่างเธอมายืนดู ก็ดีใจแล้ว!” โจวจิ้งตอกกลับ

“พยายามทำอะไรอยู่เหรอ? กลับตัวกลับใจเป็นนักเรียนที่ดี เป็นลูกที่ดี ตลก!” เถาม่านเบ้ปาก

“ว่างนักก็ไปหาอะไรทำ ฉันจะเป็นแบบไหนก็เรื่องของฉันหลบไป ไม่มีอารมณ์จะคุยด้วย!” เธอเดินหนีโดยไม่หันกลับไปมองอีก

ที่ห้องรับแขก ป้าเฉินพูดกับโจวจิ้งด้วยสีหน้ามีความสุข“เสี่ยวหยีไม่ได้หัวเราะแบบนี้นานแล้ว”

เธอรื้อขนมไปถามไป “เขาเจอแบบนี้ทุกปีเลยเหรอ?”

“หมายความว่ายังไงคะ?”

“พวกเขาไม่อยู่บ้านแบบนี้ทุกปีเลยใช่ไหม?”

ป้าเฉินถอนหายใจ “ปกติจะอยู่ด้วยกันทุกวันสิ้นปีค่ะ แต่ไม่รู้ปีนี้เกิดอะไรขึ้น…”

โจวจิ้งไม่แปลกใจที่โจวเสี่ยวหยีตื่นตาตื่นใจกับไฟเย็นขนาดนั้น สุดท้ายทั้งสองก็เล่นไฟเย็นด้วยกันจนหมด ประกายไฟมอดลงอย่างรวดเร็ว ความมืดเข้าครอบคลุมระเบียงบ้านอีกครั้ง

“ขอไปเล่นที่ห้องได้ไหม?” โจวเสี่ยวหยีส่งสายตาเว้าวอน

“ถ้าทำขนมหกในห้อง โดนต่อยแน่!”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป โจวเสี่ยวหยีหลับปุ๋ยพร้อมกับหมีตัวใหญ่ในอ้อมกอด

ตอนแรกโจวจิ้งคิดจะปลุกอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็ห่มผ้าให้แล้วไปนั่งเหม่ออยู่ขอบเตียง

เป็นคืนสิ้นปีที่หงอยเหงาเหลือเกิน ซ้ำอนาคตยังมืดมนไร้หนทางอีก เธอจึงแก้เบื่อด้วยการหยิบปากกาเมจิกขึ้นเขียนหน้าน้องชายเป็นรูปลิง ก่อนจะถ่ายรูปแล้วส่งให้เฮ่อซวินดู

โจวเสี่ยวหยีชอบเฮ่อซวินมาก บ่นคิดถึงอยู่บ่อยๆ คงเพราะตอนไปสวนสนุกพวกเขาอยู่ด้วยกันตลอด

“เล่นอะไรไร้สาระ!” เฮ่อซวินตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าๆๆๆๆ ลูกชายนายน่ารักดีนะ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เขาตอบกลับหลังผ่านไปหลายนาที

ประโยคนี้ทำโจวจิ้งหัวใจเต้นแรง รีบเดินไปปิดผ้าม่านให้มิดชิด

เธออารมณ์ไม่ดีจึงหาเรื่องสนุกๆ ทำ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ทัน

“ไม่มีอะไร ประจำเดือนมาเฉยๆ”

เฮ่อซวินหายไปอีกครั้ง จนโจวจิ้งต้องชวนคุยต่อ

“ไม่เห็นเอาเสื้อที่เลอะมาให้ซักเลย ตอนนี้ยังทันไหม?”

“ไม่เป็นไร ทิ้งไปแล้ว” เขาตอบ

ด้วยความที่รู้ว่าลูกชายเป็นคนรักสะอาด แม่ของเฮ่อซวินจึงเสนอที่จะทิ้งเสื้อเปื้อนคราบสีแดงให้เขา แต่เฮ่อซวินปฏิเสธและเก็บมันไว้ในมุมลึกสุดของตู้เสื้อผ้า

โจวฉีเทียนกับเถาจิงมักจะหายออกจากบ้านก่อนฟ้าสาง แล้วกลับมาอีกครั้งหลังเที่ยงคืน

ป้าเฉินพยายามอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่าพ่อกับแม่งานยุ่ง แต่เถาม่านไม่สนใจเพราะยุ่งอยู่กับการเรียนเปียโน

ฤดูหนาวปีนี้หนาวกว่าปีที่ผ่านมามาก เมือง H ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ โจวจิ้งในชุดหนาฟูนั่งทำโจทย์เลขและกินนั่นนี่ฆ่าเวลา

แม้จะล่วงเข้าวันที่สี่แล้ว เธอก็ยังนอนตื่นสาย เพราะนานๆ จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่เสียงเรียกเข้าจากหยวนคังฉีก็ทำให้ต้องตื่นจากฝันหวาน

“ผลแข่งคณิตศาสตร์ออกแล้ว ดูในเว็บไซต์ได้เลย”

โจวจิ้งสะลึมสะลือตื่น นั่งเกาหัวครู่หนึ่งจึงเปิดคอมพิวเตอร์ดู

“ผลสอบเป็นยังไงบ้าง?” หยวนคังฉีถาม

“ก็โอเค” โจวจิ้งไม่ตื่นเต้นเพราะได้คะแนนตามที่หวังไว้

“พูดแบบนี้แสดงว่าได้คะแนนดี”

“แล้วนายกับเฮ่อซวินล่ะ”

“ก็โอเค”

“ดีใจด้วยนะ” เธอบิดขี้เกียจแล้วปิดคอมพิวเตอร์

ขณะกำลังจะล้มตัวลงนอน หยวนคังฉีก็พูดขึ้นต่อ “คืนนี้มีปาร์ตี้เลี้ยงฉลอง มาด้วยนะจะส่งที่อยู่ให้”

ไม่ทันจะได้ตอบกลับ เขาก็วางหูใส่ นี่เป็นกลยุทธ์เดิมๆ ที่หยวนคังฉีชอบใช้กับเธอ หากไม่ใช่เพราะหน้าตาดีคงถูกหลายคนเลิกคบไปแล้ว

หิมะยังคงโปรยปรายไม่หยุด โจวจิ้งจึงพันผ้าพันคออย่างหนาแล้วเดินออกจากบ้านไปตามที่อยู่ที่หยวนคังฉีส่งให้

งานเลี้ยงไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เธอคิด มีคนมาร่วมฉลองเกือบยี่สิบคน ทั้งจากห้องกิฟต์และห้องอื่นๆ รวมถึงหลินเกากับเถาม่านด้วย

หยวนคังฉีไม่ใช่คนจัดงานแต่เป็นนักเรียนอีกคนในห้องกิฟต์ ด้วยความที่เขาสนิทกับทั้งหลินเกาและหยวนคังฉีจึงต้องชวนมาทั้งคู่

“ไหนๆ ก็มาแล้ว กินให้คุ้มเลยดีกว่า” โจวจิ้งคิดในใจ

หยวนคังฉีให้เฮ่อซวินนั่งคั่นกลางระหว่างเขากับโจวจิ้ง แต่ยังคงข้ามหัวเฮ่อซวินไปคุยกับโจวจิ้ง

“ปิดเทอมที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง?”

“ไม่มีอะไร พวกนายล่ะ”

“พวกเราไปปีนเขามา ตอนแรกว่าจะชวนเธอด้วย แต่หิมะเยอะพื้นลื่นกลัวจะไม่ไหว”

“ปีนเขาที่ไหน?” เธอถาม

“เขาไผ่สุริยะ”

โจวจิ้งมองพวกเขาด้วยสายตาชื่นชม “ยังหนุ่มยังแน่นก็ดีแบบนี้แหละ”

เขาไผ่สุริยะคือภูเขาที่สูงที่สุดลูกหนึ่งของเมือง H นักท่องเที่ยวนิยมนั่งรถขึ้นไปชมวิว ส่วนคนที่ยังแข็งแรงก็จะปีนหรือเดินขึ้นไปตามแนวเขา

“ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นไหม?” เธอถาม

“ฝนตกเลยขึ้นไปไม่ทัน” หยวนคังฉีตอบ

ภาพพระอาทิตย์ขึ้นบนเขาไผ่สุริยะเป็นที่เลื่องลือมาก แม้การปีนให้ถึงยอดเขาจะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าได้เห็นวิวก็รู้สึกหายเหนื่อยแล้ว

“ครั้งหน้าไปด้วยกันนะ”

“ได้เลย” โจวจิ้งยักคิ้ว

จู่ๆ ‘เฉาเฟย’ เพื่อนสนิทของหลินเกาและเฮ่อซวินก็ชูแก้วแล้วพูดขึ้นว่า “แสดงความยินดีให้กับเหล่าเทพกันหน่อย!”

ทุกคนพากันส่งเสียงเชียร์แล้วกระดกเหล้าในแก้วจนหมดมีเพียงโจวจิ้งที่ดื่มน้ำผลไม้

จังหวะที่ยกแก้วขึ้นดื่ม สายตาก็บังเอิญสบเข้ากับหลินเกาที่พยายามขยับเข้าใกล้เพื่อชนแขนแบบจงใจ โจวจิ้งรู้สึกขนลุก จึงรีบหาที่นั่งแล้วชวนหยวนคังฉีกับเฮ่อซวินคุยเพื่อปิดช่องไม่ให้หลินเกาเข้าใกล้

เกือบยี่สิบคนที่มาในวันนี้มีผู้หญิงแค่สี่คนนอกนั้นเป็นผู้ชายทั้งหมด เมื่อไม่ค่อยรู้จักใครเธอจึงคิดหาข้ออ้างเพื่อจะได้กลับเร็ว

ระหว่างนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา คนที่ไม่ได้ร้องคาราโอเกะก็ชวนกันเล่นเกมพูดความจริงและเกมรับคำท้า ซึ่งเป็นเกมดึกดำบรรพ์ที่น่าเบื่อมากสำหรับโจวจิ้ง

สุดท้ายพวกที่ร้องคาราโอเกะอยู่ก็วางไมค์แล้วมาร่วมเล่นด้วย

หลักได้ไพ่จากพนักงานเสิร์ฟ เฉาเฟยก็ลงมือสับไพ่แล้วแจกให้ทุกคน กฎก็คือใครได้ไพ่โจ๊กเกอร์จะต้องถูกลงโทษ

โจวจิ้งตาโตเมื่อเห็นไพ่ของตัวเอง—ทำไมต้องเป็นฉันด้วย!

หยวนคังฉีรีบชะโงกหน้าดู “ดีใจด้วยนะ”

“แลกกันไหม?” โจวจิ้งตอบอย่างรวดเร็ว

“ห้ามโกง!” เฉาเฟยพูดแทรก “โจวจิ้ง เธอจะเล่นเกมอะไรระหว่างพูดความจริงกับรับคำท้า”

“พูดความจริง” เธอเลือก

ต่อให้พูดโกหกก็คงไม่มีใครจับได้ แต่ถ้ารับคำท้าจากคนแปลกหน้า มีหวังหน้าแตกตอนแก่แน่นอน

เมื่อไม่มีใครคัดค้าน เฉาเฟยจึงเริ่มถาม

“ผู้ชายคนแรกที่ชอบนอกจากคนในครอบครัวคือใคร?”

“…”

โง่แค่ไหนก็รู้ว่าคำตอบคือหลินเกา ถามว่ายังชอบหลินเกาอยู่หรือเปล่าน่าจะดีกว่าไหม?

เถาม่านส่ายหน้าด้วยความระอา ต่างจากหลินเกาที่รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

โจวจิ้งไม่มีทางพูดชื่อหลินเกาอย่างแน่นอน จึงตอบเฉาเฟยไปว่า “ฉันยอมแพ้!” จากนั้นก็ยกแก้วเหล้าเตรียมดื่ม

หลายคนตรงนั้นส่งเสียงเชียร์ มีเพียงหยวนคังฉีที่ห้าม “เธอไม่ค่อยสบาย ฉันดื่มแทนเอง”

แม้จะตกใจ แต่โจวจิ้งก็ส่งสายตาขอบคุณเขา

จู่ๆ หยวนคังฉีก็ส่งแก้วเหล้าให้เฮ่อซวิน “ลืมไปว่าไม่สบายเหมือนกัน ช่วยดื่มแทนหน่อย”

ในเมื่อกฎไม่ได้ระบุว่าห้ามคนอื่นรับโทษแทน เฮ่อซวินจึงกระดกดื่มจนหมดแก้วในคราวเดียว

“ขอบ… ขอบใจนะ” โจวจิ้งกระซิบบอกเฮ่อซวินขณะรอแจกไพ่รอบสอง

“ไม่เป็นไร” เขาตอบเสียงแข็ง

รอบสองเริ่มขึ้นอีกครั้ง โดยมีโจวจิ้งเป็นผู้โชคร้ายอีกแล้ว

“จะพูดความจริง หรือ…”

ไม่ทันที่เฉาเฟยจะถามจบ เธอก็พูดขึ้นว่า “รับคำท้า!”

ต่อให้ต้องไปบอกรักคนแปลกหน้า ก็ยังดีกว่าตอบคำถามชวนอึดอัดแบบรอบแรก

เฉาเฟยหัวเราะกรุ้มกริ่ม “คำท้าก็คือ… กอดหลินเกา!”

เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้น โจวจิ้งนั่งหน้าชามองเฉาเฟยที่กลั้นหัวเราะสลับกับหลินเกาที่ยกยิ้มมุมปาก

ทั้งคู่เตี๊ยมกันมาเรียบร้อยแล้วและเกมนี้ก็มีเพื่อดักควายอย่างเธอนั่นเอง

ถ้าหลินเกาไม่อนุญาต คนอย่างเฉาเฟยไม่กล้าทำอะไรแบบนี้แน่นอน—น่ารังเกียจ ต้องการอะไรจากฉันกันแน่!

โจวจิ้งระงับความโกรธแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตร “ฉันนี่โชคร้ายเหลือเกิน ทั้งเกมคำถามและคำท้าต้องมีหลินเกามาเกี่ยวข้องด้วยตลอด บังเอิญจริงๆ”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มโกรธ เฉาเฟยก็หน้าเสีย

“คิดจะโกงเหรอ?” เด็กสาวอีกคนโพล่งขึ้นกลางวง “ตอนแจกไพ่ก็เห็นอยู่ว่าเฉาเฟยไม่ได้ทำอะไร!”

“ใครบอกว่าฉันจะโกง?” โจวจิ้งหัวเราะ “แค่คิดว่าเฉาเฟยน่าจะเกลียดหลินเกาเลยแกล้งเขาด้วยวิธีนี้”

“ก็แค่เกม ทำๆ ไปเถอะ” เฉาเฟยตัดบท

“ได้” โจวจิ้งยักไหล่แล้วชูแก้วเหล้าขึ้น “ฉันยอมแพ้ ฉันน้อมรับการลงโทษ”

ให้กอดหลินเกางั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!

หยวนคังฉีแย่งเหล้าจากมือโจวจิ้งอีกครั้ง “ฉันดื่มแทนเอง”

เฮ่อซวินรู้ทันและแย่งแก้วเหล้าจากอีกฝ่ายมากระดกดื่มจนหมด ก่อนจะกระแทกแก้วลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ