ตอนที่ 43.ซูเจียงไห่!

หัวโจก

ปกติเขาไม่ชอบยุ่งเรื่องใคร ไม่ระบายอารมณ์ใส่ใคร ที่แสดงออกทั้งหมดในวันนี้จึงทำให้หลายคนตกใจมาก

“เหล้า… เหล้าหก” โจวจิ้งชี้ไปที่เสื้อของเฮ่อซวิน

เฮ่อซวินลุกพรวดจนหยวนคังฉีต้องถาม “จะไปไหน?”

“เอากระดาษมาเช็ด”

หลังเฮ่อซวินออกจากห้องไป บรรยากาศก็เงียบจนน่าอึดอัด เพราะคำพูดของโจวจิ้งเมื่อครู่ทั้งรุนแรงและไม่ไว้หน้าใคร

ทันทีที่เฉาเฟยชวนเล่นเกมต่อ โจวจิ้งก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าแล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

จากท่าทางการเดินและข้าวของเต็มยศ ทุกคนจึงรู้ว่าเธอจะไม่กลับมาอีก

ออกจากห้องคาราโอเกะไปได้ไม่กี่ก้าว โจวจิ้งก็หยุดยืนส่องกระจกเพื่อใส่เสื้อคลุม

จู่ๆ ประตูห้องคาราโอเกะตรงหน้าก็ถูกเปิดออก ตามด้วยชายวัยกลางคนที่เดินเซเข้ามาหา

ร่างของอีกฝ่ายคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า เธอจึงเบี่ยงตัวหลบแล้วตะคอกใส่ “ตาบอดหรือไง?”

โจวจิ้งกำลังอารมณ์เสียเพราะถูกเฉาเฟยแกล้ง ขณะคิดจะเดินหนีก็มีอันต้องชะงัก

ชายตรงหน้าใส่เสื้อคอตตอนตัวบาง อายุราวสามสิบกว่า เมาเหล้าจนหน้าแดงก่ำ

“ซู… ซูเจียงไห่!”

ตั้งแต่ตื่นขึ้นในร่างนี้ เธอไม่เคยคิดจะกลับไปเหยียบบ้านเกิดอีก เพราะตอนเป็นวิญญาณได้เห็นธาตุแท้ของทุกคนในครอบครัวแล้ว

ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอซูเจียงไห่คือตอนที่เธออุ้มท้องแก่ไปอาละวาดเขากับชู้ที่โรงแรม เมื่อไกล่เกลี่ยกันบนโรงพักไม่สำเร็จ เธอจึงตามไปอาละวาดที่ทำงานต่อ จนเขาถูกไล่ออกเพราะทำให้บริษัท
เสียชื่อเสียง

ในสายตาของโจวจิ้ง ซูเจียงไห่คือคนที่ซื่อสัตย์และอ่อนโยนมากๆ จึงรับไม่ได้เมื่อรู้ว่าเขานอกใจไปกับเด็กมหาวิทยาลัย

หลังจากวันนั้น เธอตัดสินใจย้ายข้าวของออกมาอยู่คนเดียว แม้จะถูกแม่เกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล ส่วนซูเจียงไห่ก็ไม่ยอมหย่า เธอจึงตั้งใจว่าจะคลอดลูกก่อนแล้วค่อยเดินหน้าฟ้องหย่า

ตั้งแต่เข้าห้องฉุกเฉินกระทั่งเสียชีวิต ไม่มีคนในครอบครัวของเธอหรือซูเจียงไห่มาดูใจเลย

มาวันนี้เมื่อได้เจอเขาในสภาพตกอับ เมาหัวราน้ำจนเกือบจะลวนลามเธอ โจวจิ้งก็หัวเราะเหยียดหยามในใจ

“ซูเจียงไห่!”

เสียงเรียกของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้นบนโถงทางเดิน

โจวจิ้งหันไปมองแล้วก็พบกับ ‘เหยียนเจียว’ เด็กมหาวิทยาลัยคนที่ซูเจียงไห่เคยปกป้องจนออกนอกหน้า

เธอมัดผมแบบลวกๆ หน้าตาอ่อนล้าทรุดโทรม หัวคิ้วขมวดแน่น สวมชุดขนเป็ดตัวหลวมเนื่องจากหุ่นเริ่มขยาย ผิวพรรณหยาบกร้านไม่ผุดผ่อง ความหยิ่งยโสที่เคยมีบนใบหน้าหายสาบสูญราวกับเพชรที่หมดประกาย

ที่โจวจิ้งตะลึงยิ่งกว่าก็คือครรภ์ที่โตจนยื่นออกมาของเด็กสาวตรงหน้า

เหยียนเจียวชี้หน้าด่าสามีด้วยความโมโห “หนีมากินเหล้าอีกแล้วนะ!”

พอถูกซูเจียงไห่ปัดมือ เธอก็หันไปถลึงตาใส่โจวจิ้ง “เธอเป็นอะไรกับเจ้าซู?”

เวลาผ่านไปเร็วจนโจวจิ้งตั้งตัวไม่ทัน ที่หน้าโรงแรมวันนั้นเธอยังเป็นสาวท้องแก่ที่วิ่งไล่ตามสามีอยู่เลย มาวันนี้กลับเป็นเพียงเด็กมัธยมปลาย ส่วนเหยียนเจียวก็กลายเป็นมนุษย์ป้าที่ด่าคนไปทั่ว ช่างตลกสิ้นดี!

เห็นโจวจิ้งยืนเงียบ เหยียนเจียวก็เข้าไปผลักอกราวกับไม่ใช่เด็กมหาวิทยาลัยผู้เคยอ่อนแอน่าสงสาร

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เฮ่อซวินตะคอกแล้วดึงโจวจิ้งไปแอบที่ด้านหลัง

“นายเป็นใคร?” เหยียนเจียวถาม

โจวจิ้งตอบอย่างเหลืออด “สามีของคุณเดินมาชนฉัน แล้วคุณยังจะมาผลักฉันอีก นิสัยไม่ดี!”

“นี่เธอ!” เหยียนเจียวยกมือทำท่าจะตบ แต่สีหน้าของเฮ่อซวินก็ทำให้ไม่กล้าลงมือ

ดูก็รู้ว่าเขาไม่ธรรมดา อายุยังน้อยแต่กลับมีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก

เมื่อทำอะไรไม่ได้ เหยียนเจียวก็ลากสามีกลับบ้าน “ซวยจริงๆ!” เธอดึงปกเสื้อของซูเจียงไห่แล้วลากเขาไปตามทางเดิน

“พวกนั้นทำอะไรเธอหรือเปล่า?” เฮ่อซวินถาม

“เปล่า…”

คิดว่าชาตินี้คงไม่เจอพวกเขาอีกแล้ว แต่โชคชะตากลับเล่นตลกจนเธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

“กลับก่อนนะ” โจวจิ้งโบกมือ

“เดี๋ยวฉันไปส่ง” เฮ่อซวินเสนอ

“ไม่เป็นไร ไปสนุกกับเพื่อนๆ เถอะ” เธอปฏิเสธแล้วเดินออกจากร้านไปอย่างเงียบๆ

หิมะยังคงตกหนัก ช่วงหยุดปีใหม่ร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดมีเพียงร้านสะดวกซื้อเล็กๆ ที่ยังคงเปิดไฟอยู่

โจวจิ้งเดินเหม่อลอยไปตามแนวกำแพง พยายามหลีกเลี่ยงที่จะคิดถึงเรื่องเมื่อครู่

เธอในร่างของเด็กมัธยมปลายอายุสิบแปดปี ต่อให้ชีวิตจะมีอุปสรรคระหว่างทางบ้าง แต่ก็รู้สึกมีความสุขและสบายใจกว่าชีวิตก่อนหน้านี้

การได้เจอซูเจียงไห่ในสภาพตกอับทำให้ความโกรธที่เคยมีลดน้อยลง เหลือเพียงความเงียบที่ครอบคลุมกับความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

เมื่อคนเราเสียชีวิตลง อดีตก็จะลอยหายไปราวกับหมอกควัน การจากไปของเธอไม่ได้เปลี่ยนชีวิตของซูเจียงไห่แต่อย่างใด เขายังคงมีเหยียนเจียวเคียงข้าง ทั้งคอยดูแลและคลอดลูกให้ ไม่ว่าชีวิตคู่ของพวกเขาจะทุกข์หรือสุข ซูเจียงไห่ก็ไม่เคยรู้สึกผิดต่อโจวจิ้ง

พื้นถนนปกคลุมไปด้วยหิมะหนา โจวจิ้งเหยียบถูกบางอย่างจนลื่นล้มขาพลิกได้รับบาดเจ็บ

“ก็บอกว่าจะไปส่งไง!” เสียงตวาดของเฮ่อซวินดังขึ้นที่ด้านหลัง

“ไม่ได้บอกว่าจะรอเสียหน่อย!” เธอบ่น

“ฉันจะไปส่งเอง!”

โจวจิ้งพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน ขณะพยายามก้าวเท้าเดินก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนต้องหยุดนิ่ง

“เป็นอะไร?” เฮ่อซวินขมวดคิ้วถาม

“ขาพลิก” พูดจบเธอก็เดินกะเผลกนำหน้าไป

เฮ่อซวินเริ่มหัวเสีย เขาก้าวเท้ายาวๆ แล้วกระชากแขนโจวจิ้งอย่างหมดความอดทน

“นี่…” พอเห็นหน้าอีกฝ่าย น้ำเสียงของเขาก็อ่อนลง “ร้องไห้เหรอ?”

ตั้งแต่รู้จักกันมา เฮ่อซวินเห็นแต่ภาพที่โจวจิ้งหัวเราะร่าเริงมีโมโหบ้างบางครั้ง แต่ไม่เคยเห็นเธอร้องไห้น้ำตาท่วมหน้าแบบนี้

โจวจิ้งสะอึกสะอื้นจนเฮ่อซวินสงสัยว่าเธอถูกซูเจียงไห่กับเหยียนเจียวรังแก

“พวกนั้นทำอะไรเธอ?”

“ไม่มีอะไร”

“แล้วร้องไห้ทำไม?”

โจวจิ้งไม่รู้จะตอบว่าอะไร จะบอกไปตรงๆ ว่าบังเอิญเจอสามีเมื่อชาติที่แล้วกับชู้ก็คงจะไม่ได้

เห็นเธอยืนเงียบไม่ตอบ เฮ่อซวินก็เริ่มหงุดหงิด “บอกมา!”

พอถูกตะโกนใส่ โจวจิ้งก็สะดุ้งเฮือก “เจ็บขาโว้ย!”

เธอตั้งใจจะร้องไห้เงียบๆ คนเดียว แต่เขากลับมายืนตะโกนจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาหันมอง

โจวจิ้งทั้งสับสนและอับอาย เมื่อหาทางออกไม่ได้จึงดึงเสื้อหนาวของเฮ่อซวินเข้าหาตัวแล้วซบหน้าลงไป

เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับโลกภายนอก แค่ต้องการที่หลบภัยเพียงชั่วครู่เท่านั้น

บนเสื้อหนาวแสนอบอุ่น กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมินต์แตะปลายจมูกโจวจิ้งเบาๆ ให้ความรู้สึกปลอดภัยท่ามกลางค่ำคืนที่หนาวเหน็บ

อย่างน้อยตรงนี้ก็ทำให้หัวใจของเธออบอุ่น แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ

เฮ่อซวินยืนตัวแข็งทื่อ มือข้างหนึ่งถูกยกค้างไว้หลายวินาที ก่อนจะตัดสินใจลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ

ริมถนนในคืนฤดูหนาว

นักเรียนมัธยมปลายคู่หนึ่งกำลังยืนซบกัน ฝ่ายชายหน้าตาดีมาก ส่วนฝ่ายหญิงก็เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่างจากฉากในละครน้ำเน่า

เฮ่อซวินถูกคนที่เดินผ่านไปมามองจนเริ่มเขิน “แค่ขาพลิกต้องร้องไห้ขนาดนี้เลยเหรอ?” เขาลูบหลังไปบ่นไป

โจวจิ้งกำเสื้อหนาวของอีกฝ่ายแน่น ใบหน้ายังคงซบอยู่ที่เดิม ส่งเสียงร้องไห้ไม่หยุด

เฮ่อซวินปลอบอย่างจนปัญญาว่า “ฉันจะติวหนังสือให้ โอเคไหม?”

“จริงเหรอ?” เธอถามทั้งที่ยังซบหน้าอยู่

“จริง”

“ฉันเจ็บขา ขอขี่หลังได้ไหม?”

“ได้คืบอย่าเอาศอก!”

“แค่นี้ก็ปฏิเสธแล้ว เรื่องติวจะเชื่อได้เหรอ?”

“ขึ้นมา!”

เฮ่อซวินได้แต่สูดหายใจเข้าลึกแล้วยอมให้อีกฝ่ายขี่หลัง

โจวจิ้งซบแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกอบอุ่น แผ่นหลังที่สามารถแบกทุกความรับผิดชอบไว้ได้หมด

โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ เมื่อมีหนุ่มหล่อมาคอยดูแล ก็ไม่ควรปฏิเสธให้เสียชาติเกิด

“ขอบคุณนะ”

“เงียบเถอะ”

“สัญญาแล้วนะว่าจะติวให้”

“อืม”

“ใจดีที่สุดเลย!” เธอเผลอทุบไหล่เขาอย่างแรง

“เป็นบ้าหรือไง!” เฮ่อซวินเริ่มหมดความอดทน

“ขอโทษๆ”

เมื่อไม่ถูกเฮ่อซวินต่อว่า โจวจิ้งก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมสาวๆ ชอบร้องไห้ต่อหน้าผู้ชาย ขนาดคนเย็นชาอย่างเฮ่อซวินยังแพ้ราบคาบ

“โจวจิ้ง”

“ว่าไง”

“น้ำหนักถึงร้อยกิโลแล้วเหรอ?”

“…”

หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่อง สภาพของพวกเขาดึงดูดสายตาหลายคนที่เดินผ่านไปมา

แต่ต่อให้ถูกจ้องแค่ไหน โจวจิ้งก็รู้สึกขายหน้าน้อยกว่าการต้องเดินร้องไห้คนเดียว

“ผ้าพันคอของนายล่ะ?”

“ลืมหยิบมา”

ได้ยินเช่นนี้ เธอก็เอาปลายข้างหนึ่งของผ้าพันคอไปพันรอบคอของเฮ่อซวิน

เมื่อต้องพันผ้าพันคอผืนเดียวกัน เฮ่อซวินก็เริ่มหน้าแดงแต่ยังคงเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อีกฟากหนึ่งของถนน หยวนคังฉียืนมองพวกเขาจากที่ไกล แม้ไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน แต่ก็พอรู้ว่าความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อนแน่นอน เพียงหันหลังเดินไม่กี่ก้าว หยวนคังฉีก็พบกับหลินเกาที่สีหน้าย่ำแย่ไม่ต่างกัน ตอนเล่นเกมโจวจิ้งพยายามตีตัวออกห่างเขา ไม่แม้แต่จะคุยด้วย ต่างจากเฮ่อซวินที่ดูสนิทสนมอย่างมาก

หยวนคังฉียิ้มให้แล้วเดินผ่านไป เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง หลินเกาก็ยังคงยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

ไม่นานหลังจากนั้น โจวจิ้งก็ขอลงเดินเอง

เห็นเธอเดินกะเผลก เฮ่อซวินก็ยื่นแขนให้เกาะด้วยความสงสาร ซ้ำยังไปส่งที่คอนโดอีก

“ขอบคุณที่มาส่ง วันหลังจะพาไปเลี้ยงข้าวนะ”

“วันนี้ร้องไห้ทำไม?” เขาถามด้วยความเป็นห่วง

“ขาฉันพลิกก็เลยเจ็บ”

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ยิ่งตอนที่นายบอกว่าจะติวหนังสือให้ก็ยิ่งไม่เป็นอะไร” พูดจบเธอก็โบกมือไล่ “ไปๆๆ กลับไปได้แล้ว ตรงนี้มันหนาวฉันจะรีบเข้าบ้าน”

เฮ่อซวินจ้องตาอีกฝ่ายนิ่งค้างก่อนจะหันหลังเดินจากไป