บทที่ 105 กลับบ้าน

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 105
กลับบ้าน

“งั้นก็ไปบ้านเธอแล้วกัน แต่มันจะสะดวกหรือเปล่า?” ยังไงซะที่นั่นก็ยังมีคุณปู่โม่กับโม่หลิวเฟิงอยู่ด้วย?!

“จะไม่สะดวกได้ยังไงล่ะ? คุณปู่ฉันคิดถึงแล้วก็พูดถึงเธออยู่บ่อยๆ” อันที่จริงคุณปู่ตื่นเต้นกว่าเธอซะอีกเมื่อได้รู้ว่า มู่หรงเสวี่ยเข้าร่วมการแข่งขันวิชาการนานาชาติ ท่านดูถ่ายทอดสดทุกวัน แม้แต่พี่ชายเธอก็ดู แต่เธอก็ดูด้วยนะแหละ ที่บ้านทุกคนเป็นห่วงมู่หรงเสวี่ยอย่างมาก เพื่อนไม่โทรหาเธอเลย แต่เธอเคยโทรไปแต่อาจารย์ฮวงเป็นคนรับสาย

“โอเค งั้นฉันจะไปติวให้เธอวันพรุ่งนี้นะ วันนี้ฉันต้องกลับบ้านก่อน!” เธอต้องกลับบ้านไปรายงานตัวและมันก็ได้เวลาที่จะต้องเอาผักและผลไม้ไปเติมให้ที่บ้านแล้วด้วย เธอเกรงว่าน้ำแห่งจิตวิญญาณของพ่อแม่และคุณปู่คุณย่าจะหมดแล้ว
“ได้เลย!” เธอมีความสุขมาก อันที่จริงเธอเองก็ชอบที่จะอยู่กับเสี่ยวเสวี่ยมาตลอด เธอรู้สึกมาตลอดว่าแสงจากตัวเธอทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่น

“…”
มู่หรงเสวี่ยออกไปก่อนโดยไม่รอ สถานการณ์ในวันนี้ทำให้เธอกลัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้ว่าเพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนเธอกระตือรือร้นกันขนาดนี้ สิ่งที่ทำให้เธอพูดไม่ออกคือที่โต๊ะเรียนของเธอมีจดหมายรักอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด ตอนแรกเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรจึงหยิบออกมาดูหนึ่งฉบับ แต่เมื่อดึงออกมาอ่าน ในจดหมายเต็มไปด้วยคำพูดพรรณนาจนเธอถึงกับต้องพับเก็บและยัดเข้าไปเก็บเหมือนเดิม…เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงมักจะมีความรู้สึกอึดอัดเวลาที่ได้รับจดหมายสารภาพรักแบบนี้ เธอมักจะรู้สึกผิดอย่างอธิบายไม่ได้

และเธอไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า ถึงแม้ความสูงเธอจะเพิ่มขึ้นแต่ท่าทางของเธอไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด นี่ก็เกือบปีแล้ว ยกเว้นก็แต่ผิวที่ดูดีขึ้นมากแต่หน้าตาของยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะการทำงานของมิติลับหรือการทำงานของน้ำพุวิญญาณ อย่างไรก็ตามเธอคิดว่ามันน่าจะเป็นเพราะน้ำพุวิญญาณ พ่อแม่เธอดูเด็กลงมากหลังจากที่ดื่มมันเข้าไป ผู้คนที่ไม่รู้จักก็มักจะคิดว่าพ่อแม่เธอเป็นพี่ของเธอมากกว่า

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ชัดเจน แต่พ่อกับแม่ของเธอกลายเป็นคนที่ดูดีอย่างมากจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ดูเด็กจนเกินไป ถ้ามีการตรวจเช็กหัวใจก็คงจะพบกับความผิดปกติแน่ๆ แล้วเรื่องที่เธออยากที่จะเร่งการพัฒนาของอ้ายเสวี่ยก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายด้วย แต่อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้น

ในตอนเย็น มู่หรงเสวี่ยกลับมาที่บ้านพร้อมผักและผลไม้ต่างๆ มู่หรงเฟิงหัวและภรรยากอดลูกสาวอย่างมีความสุข ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากและพวกเขาก็พอใจอย่างมาด้วยเช่นกัน มู่หรงเสวี่ยพิงอยู่ที่แขนของจางเข่อเหรินเงียบๆ “แม่คะ หนูคิดถึงแม่มากเลย!” เธอคิดถึงบ้านมากจริงๆหรือว่าอยู่บ้านแล้วสบายใจ เธอจะดูแลครอบครัวอย่างดีที่สุดเท่าที่เธอจะสามารถทำได้

อีกฝั่งคือมู่หรงเฟิงหัวที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไร จึงพูดออกไปว่า “คิดถึงแต่แม่งั้นเหรอ แล้วพ่อล่ะ?”

มู่หรงเสวี่ยยิ้มออกมาและรีบเข้าไปกอดพ่อเต็มแรง “แน่นอนสิคะ ต้องคิดถึงพ่อด้วยอยู่แล้ว!”

มู่หรงเฟิงหัวพูดออกมาอย่างพอใจ “มันต้องแบบนี้สิ!”
“กลับมาอยู่ที่บ้านสักสองสามวันสิ ลูกออกไปอยู่ข้างนอกตลอดเลยไม่ค่อยมีเวลากลับมาบ้านบ้างเลย…” ลูกสาวของเธอเก่งมาก แน่นอนเธอต้องมีความสุขแต่ก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไรที่ลูกไปอยู่ข้างนอกตลอด

มู่หรงเสวี่ยนึกถึงเรื่องที่สัญญาไว้กับโม่อ้ายหลี่ จึงทำหน้าเขินๆพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อมองท่าทางของลูกสาว จางเข่อเหรินก็รู้สึกแย่ “ลูกมีเรื่องให้ออกไปข้างนอกตลอดเลย แม่บอกเลยนะอย่าคิดว่าตัวเองสอบได้คะแนนดีแล้วแม่จะไม่ดุนะ เรื่องที่มัวแต่ออกไปอยู่ข้างนอกแล้วไม่ยอมกลับมาบ้านบ้างเลย…” จางเข่อเหรินเริ่มเข้าสู้โหมดสั่งสอนแล้ว
มู่หรงเฟิงหัวช่วยไม่ได้จึงทำได้เพียงหยักไหล่ให้ลูกสาว อันที่จริงเขาก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไรที่ลูกสาวไม่กลับบ้าน เพราะเขาส่งคนไปคอยตามเธอด้วย มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกภรรยานั่นคือเสี่ยวเสวี่ยไปอยู่ในบ้านของชางกวนโม่ เจ้าชายแห่งเมืองหลวง ถึงแม้เขาจะไม่เข้าไปยุ่งแต่ถ้าเขาบอกเรื่องนี้กับ จางเข่อ เหรินจะต้องมีปัญหาแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่บอก

อย่างไรก็ตาม เขาเป็นห่วงว่าเสี่ยวเสวี่ยจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่าเมื่อต้องไปอยู่ข้างนอก แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว เสี่ยวเสวี่ยเก่งกว่าเขามาก ในแง่ของความเข้มแข็งยังมีหลายเรื่องที่เขาเองก็ยังสู้ไม่ได้ แต่เขาก็โทษตัวเองที่ไร้ประโยชน์และปกป้องอะไรเสี่ยวเสวี่ยไม่ได้ อย่างไรก็ตามถ้าอีกฝ่ายกล้าที่จะทำร้าย เสี่ยวเสวี่ย เขาก็จะสู้ด้วยชีวิตเลยทีเดียว

วันนี้ท่าทางของมู่หรงเสวี่ยไม่ได้มีอะไรแปลกไป งั้นก็ไม่น่าที่จะมีเรื่องอะไร หัวใจเขาที่เคยเป็นกังวลตอนนี้ก็เริ่มผ่อนคลายบ้างแล้ว

ในที่สุดจางเข่อเหรินก็พูดจบ มู่หรงเสวี่ยอธิบายอย่างจนปัญญา “แม่คะ เดือนหน้าหนูจะสอบเพื่อจบการศึกษา ดังนั้นเดือนนี้หนูต้องไปที่บ้านโม่อ้ายหลี่และเราจะอ่านหนังสือด้วยกัน”
“สอบจบการศึกษาอะไร? อีกตั้งนานกว่าที่ลูกจะจบการศึกษานะ แม่เพิ่งจะพูดอยู่เมื่อกี้แล้วนี่ลูกยังจะมาโกหกแม่อีกเหรอ แม่คิดว่าลูกอยู่ข้างนอกแล้วอิสระดีเลยไม่อยากที่จะกลับบ้านใช่ไหม…”

มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอพูดกันแล้วหรือไง “แม่คะ หนูกำลังพูดความจริง ถ้าแม่ไม่เชื่อหนู แม่จะโทรไปถามอาจารย์ประจำชั้นก็ได้นะคะ หนูเพิ่งไปยื่นเรื่องมาวันนี้ หลังจากที่สอบจบการศึกษาเรียบร้อย หนูจะไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแพทย์ที่เมืองหลวง…”

พ่อและแม่ของมู่หรงเสวี่ยต่างก็ตกตะลึงและรีบถามออกมาอย่างรวดเร็ว “นี่ลูกพูดจริงงั้นเหรอ?”

มุ่หรงเสวี่ยกางแขนออกกว้าง “ทุกอย่างที่หนูเพิ่งจะพูดไปเป็นความจริงค่ะ!”
“ลูกเพิ่งจะเป็นเด็กมัธยมปลายปี 4 เองไม่ใช่เหรอ? แล้วอยู่ดีๆลูกจะสอบจบการศึกษาได้ยังไงแล้วทำไมลูกถึงไปเรียนที่เมืองหลวง แล้วทำไมไม่คุยเรื่องนี้กับเราก่อน…” จางเข่อเหรินพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

มู่หรงเฟิงหัวกำลังคิดเรื่องที่เสี่ยวเสวี่ยอยากที่จะไปเรียนที่เมืองหลวง อันที่จริงในเมือง A ก็มีมหาวิทยาลัย ไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงเมืองหลวงเลย ถึงแม้ว่าการศึกษาที่เมืองหลวงจะดีกว่ามาก แต่เรื่องการศึกษาสำหรับเด็กที่ทางบ้านมีฐานะก็ไม่ได้สำคัญอะไรอยู่แล้ว แน่นอนว่าถ้าได้เกรดดีๆมันก็คงจะดีกว่าและจากความสำเร็จของเสี่ยวเสวี่ยแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้เรียนวิทยาลัยการแพทย์แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ถ้าเป็นแบบนี้พวกเขาก็หวังว่าเสี่ยวเสวี่ยจะเรียนในเมือง Aมากกว่า ยังไงซะพวกเขาก็เป็นห่วงถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ๆ พวกเขาไม่ได้มีอำนาจในเมืองหลวง ที่นั่นพวกเขาจะปกป้องลูกสาวตัวเองได้ไม่เต็มที่

“แม่คะ พ่อคะ สำหรับเกรดของหนูตอนนี้สามารถทำเรื่องจบได้แล้วและหนูก็ไม่อยากที่จะเสียเวลาด้วย ก็เลยสมัครสอบจบการศึกษาไปและในไม่ช้าบริษัทของหนูก็จะขยายไปเมืองหลวงด้วย งั้นมันจึงจำเป็นที่หนูจะต้องไปอยู่ที่นั่น และหนูก็ได้รับคำเชิญให้เข้าไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยการแพทย์เมืองหลวงแล้วด้วย”

มู่หรงเฟิงหัวและภรรยามองหน้ากันอย่างกลัวๆ ดูเหมือนว่าลูกสาวของพวกเขาจะวางแผนไว้นานแล้วและพวกเขาก็ไม่อยากที่จะขัดขวางการพัฒนาของเสี่ยวเสวี่ยด้วยแต่พวกเขาก็ยังรู้สึกกังวล ไม่สำคัญว่าตระกูลของพวกเขาจะใหญ่แค่ไหน แต่พวกเขาก็เป็นแค่พ่อแม่ธรรมดาๆที่เป็นห่วงลูกของตัวเอง

“เดี๋ยวค่อยคิดเรื่องนี้แล้วกัน ลูกควรจะต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบเดือนหน้าก่อน” มู่หรงเฟิงหัวนวดหน้าผากตัวเอง สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือตระกูลชางกวน

มู่หรงเสวี่ยเองก็อยากที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่เมื่อมองหน้าพ่อกับแม่ที่เก็บความกังวลไว้ไม่มิด เธอจึงรับปากที่จะกลับไปคิดดูก่อนและตอบออกไปเบาๆ “ค่ะ”

หลังจากนั้นครอบครัวก็ทานอาหารค่ำกันอย่างมีความสุข มู่หรงเสวี่ยก็กลับมาที่ห้องและเดินออกมาพร้อมน้ำแห่งจิตวิญญาณ 10 ขวดพร้อมทั้งส่งให้พ่อแม่และบอกว่าให้แบ่งส่งไปให้คุณปู่คุณย่าด้วย แล้วเธอจะเยี่ยมพวกท่านหลังจากที่สอบเสร็จ

มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาคุ้นชินกับการดื่มน้ำแห่งจิตวิญญาณและแม้กระทั่งพวกผักด้วย พวกเขารู้สึกว่าผักและผลไม้ที่ซื้อมาจากข้างนอกกินแล้วรสชาติไม่ค่อยอร่อยถูกปากเท่าไรเลย เห็นได้ชัดว่าพวกเขายึดติดกับของที่เสี่ยวเสวี่ยเอามาอย่างมากทั้งๆที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่รู้ว่าจะกินพวกมันยังไงด้วยซ้ำ

คืนนั้นมู่หรงเฟิงหัวและจางเข่อเหรินนอนอยู่บนเตียงคุยกันถึงเรื่องของลูกสาว

“เข่อเหริน คิดยังไงกับเรื่องของเสี่ยวเสวี่ย?” มู่หรงเฟิงหัวถามภรรยา

“เมื่อเสี่ยวเสวี่ยโตขึ้น เธอก็ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ฉันคิดว่าความสำเร็จของลูกจะต้องยิ่งใหญ่มากแน่ๆ ถึงแม้มันจะยากที่จะต้องปล่อยให้ลูกไปเมืองหลวงและบริษัทของลูกก็จะขยายไปเมืองหลวงจริงๆ ฉันตื่นเต้นจริงๆ ขนาดฉันเองยังไม่กล้าที่จะไปเมืองหลวงเลย ถ้าไม่ระวังก็อาจจะไม่เหลืออะไรเลยภายในพริบตา เมืองหลวงไม่ใช่อะไรที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยง่ายๆ…”

“คุณกลัวไหม ว่าเราจะไม่สามารถขยายธุรกิจไปเมืองหลวงได้เพราะเราจะไม่สามารถหวังพึ่งธุรกิจของลูกได้อย่างเดียว” มู่หรงเฟิงหัวคิดเรื่องนี้จริงๆ เขาคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ที่รู้ว่าตระกูลชางกวนมีความสัมพันธ์กับลูกสาวของเขา

จางเข่อเหรินประหลาดใจแล้วก็เข้าใจ “ฉันรู้ว่าคุณกังวลเรื่องเสี่ยวเสวี่ยแต่มู่หรงกรุ๊ปไม่ใช่การตัดสินใจของคุณ ฉันกลัวว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทจะไม่เห็นด้วย อีกอย่างถ้าตระกูลมู่หรงพัฒนามานานแล้วและทุกคนก็เคยชินกับความมั่นคงจนตอนนี้ไม่กล้าที่จะรับความเสี่ยงใดๆเลย ฉันกลัวว่าคงจะขยายมันไปไม่ได้”

เขาเองก็เข้าใจในสิ่งที่จางเข่อเหรินพูด แต่เขาอยากที่จะทำอะไรเพื่อลูกสาวเสมอ “ถ้าปล่อยให้เสี่ยวเสวี่ยเรียนในเมือง Aคงจะดีกว่า แล้วลูกก็สามารถลาพักเพื่อไปขยายธุรกิจไปเมืองหลวงได้ ใช่ไหม? และในเมือง A เราก็สามารถที่จะดูแลลูกได้”

เพราะพวกเขามีลูกสาวอยู่คนเดียว ดังนั้นพลังใจของพวกเขาแทนที่จะส่งไปที่บริษัทแต่กลับส่งไปให้เสี่ยวเสวี่ยทั้งหมด

“ไม่หรอก ปล่อยให้เสี่ยวเสวี่ยไปเมืองหลวงเถอะ ลืมพวกของที่เสี่ยวเสวี่ยเอากลับมาแล้วหรือไง?” จางเข่อเหรินจำได้ว่าเสี่ยวเสวี่ยมีความลับมากมาย ถ้าเธออยู่ในเมือง A เดาว่าคงจะมีผลกระทบแน่นอน นอกจากนี้เธอก็อยากให้ลูกสาวได้ไปเจอคนสำคัญในเมืองหลวงมากขึ้นด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นเมื่อพวกเขาแก่ตัวลง เสี่ยวเสวี่ยจะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อนและคอยปกป้องเธอด้วย เพื่อนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว อนาคตของเสี่ยวเสวี่ยจะเดินไปพร้อมกับเพื่อนๆของเธอเท่านั้น

มู่หรงเฟิงหัวตะลึง ขมวดคิ้วอย่างหนัก เจ้าชายแห่งเมืองหลวงก็จะได้ใกล้ชิดมู่หรงเสวี่ยมากขึ้นงั้นสิ?! แต่เขาก็เข้าใจคำพูดที่มีเหตุผลของจางเข่อเหริน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงถอนหายใจ “งั้นก็ปล่อยให้ลูกไป!”

ทั้งคืนนั้น มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาต่างก็ครุ่นคิดอยู่ด้วยกัน