บทที่ 104 ใบสมัครสอบสำเร็จการศึกษา

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 104
ใบสมัครสอบสำเร็จการศึกษา

เวลาผ่านไปสักครู่สีหน้าของฮวงฟูอี้ก็กลับมาสงบอีกครั้งเมื่อเขาเดินกลับมาที่รถ

หนึ่งในชายชุดดำที่นั่งอยู่ด้านซ้ายพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “นายท่าน ผมจะไปพาตัวเธอกลับมา!” กล้าดียังไงถึงทำแบบนั้นกับนายท่าน นังผู้หญิงเลว น่าจะเอาตัวกลับมาสับให้เป็นชิ้นๆไปเลย!

ฮวงฟูอี้เหล่ไปที่เขาและโบกมือ
“ครับ” เขาหมายถึงให้ปล่อยไป!
…..
เมื่อมู่หรงเสวี่ยมาถึงจังหวัด เธอไม่ได้บอกใครและไม่ได้กลับไปที่บ้านมู่หรงด้วย เธอพยายามที่จะปลอบใจแม่ที่รู้ว่าสถานการณ์ของเธอไม่ค่อยดีเท่าไร เธอไม่อยากที่จะทำให้ครอบครัวเป็นห่วงและไม่อยากที่จะให้ใครมาทำให้ปวดใจอีก
หลังจากที่กลับไปถึงวิลล่า เธอก็ตรงเข้าไปในมิติลับทันทีที่ซึ่งเธอจะได้มีพื้นที่เป็นของตัวเองและไม่มีใครเข้ามารบกวนเธอได้

ในมิติลับ เธอศึกษาเรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ๆและฝึกเรื่องยาต่างๆเพื่อเป็นการรักษาหัวใจที่เจ็บปวดของตัวเอง วันแล้ววันเหล่า, ปีแล้วปีเหล่าผ่านไป เธอไม่รู้เลยว่าเวลาที่เธออยู่ในมิติลับผ่านไปกี่ปีแล้วก่อนที่มู่หรงเสวี่ยจะกล้าออกมาเผชิญหน้าผู้คน

หลังจากที่เธอออกมาจากมิติลับ เธอมองที่ปฏิทิน กลายเป็นว่าข้างนอกเพิ่งจะผ่านไปเพียงสองวันเท่านั้น อย่างไรก็ตามเธอใช้เวลา 20 ปีในมิติลับ ดูเหมือนว่าเธอจะได้เจอกับความผันผวนอย่างมากและได้ก้าวผ่านวัฏสงสารมาได้ เธอได้สร้างกำแพงอีกชั้นให้หัวใจที่แตกสลายไว้และจะไม่เปิดรับใครเข้ามาง่ายๆอีก

หลังจากที่ออกมาจากมิติลับ มู่หรงเสวี่ยก็ไปที่โรงเรียน เพราะเธอไม่ได้อยู่กับทีมของโรงเรียน จึงต้องรายงานกับทางโรงเรียน
หลังจากที่จอดรถ มู่หรงเสวี่ยก็เริ่มเดินเข้าไปในโรงเรียน อย่างไรก็ตามเธอไม่รู้ว่าทำไม แต่รู้สึกว่านักเรียนในโรงเรียนต่างก็มองมาที่เธอกันแปลกๆ เธอบังคับตัวเองให้เก็บความไม่สบายใจนี้และเดินไปที่ห้องออฟฟิศของอาจารย์

“นั่น…มู่หรงเสวี่ยนี่…” ท่ามกลางคนพวกนั้น มีนักเรียนคนหนึ่งผมสั้นที่มองอยู่ข้างๆและกล้าที่จะเดินเข้ามาทัก มู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยหยุดและถามออกไปว่า “มีอะไรเหรอ?” เธอไม่รู้จักเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า

เด็กสาวพูดออกมาว่า “มู่หรงเสวี่ยเก่งมากเลยนะที่ชนะรางวัลที่หนึ่ง ฉันชื่นชมเธอมากจริงๆ ฉันขอถ่ายรูปด้วยได้ไหม?” เธอมองตรงมาที่มู่หรงเสวี่ย

คิ้วของมู่หรงเสวี่ยเลิกขึ้น สีหน้าที่เย็นชาก็เปลี่ยนไป นี่มันอะไรกันเนี่ย?!! แต่เธอก็ตอบออกไปอย่างสุภาพว่า “ได้สิ…”

“เยี่ยมเลย!” เด็กสาวรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อเอามาถ่ายรูป

“ขอบคุณนะมู่หรงเสวี่ย” เด็กสาวยิ้มอย่างมีความสุขให้ มู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและกำลังที่จะเดินเข้าไปในห้องทำงานอาจารย์ แต่ทันใดนั้นก็ถูกล้อมรอบไว้ด้วยนักเรียนคนอื่นๆอีก

“มู่หรงเสวี่ย ช่วยถ่ายรูปกับฉันด้วยนะ…”

“ฉันด้วย…”

“อย่าผลักฉันสิ…”

“ฉันด้วย…”

“มู่หรงเสวี่ยกินข้าวเช้ามาหรือยัง? ฉันเตรียมอาหารเช้ามาให้เธอด้วยนะ…”
“มู่หรงเสวี่ยอยู่ห้องเดียวกันเลย ให้ฉันช่วยถือกระเป๋าให้นะ…”

“อย่าเบียดสิ อย่าเบียด ฉันมาก่อนนะ…”

“มู่หรง…”
“…”
สีหน้าที่เย็นชาของมู่หรงเสวี่ยหายไปเป็นปลิดทิ้งและเธอต้องตกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า

จนกระทั่งระฆังดัง นักเรียนที่อยู่รอบๆตัวเธอจึงได้กล่าวลาเพื่อไปเข้าชั้นเรียน ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกโล่งอก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่สองที่เธอมีคนที่รักมาล้อมรอบมากมายขนาดนี้ มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างที่หาได้ยากซึ่งเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากในชีวิตที่แล้วของเธอมาก ก่อนหน้านี้เธอไม่มีเพื่อนเลยนอกจากเสี่ยวเข่อลี่

หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เข้าไปในออฟฟิศของอาจารย์เพื่อเจอคุณฮวง
“คุณฮวงคะ!”
“โอ้ มู่หรง ยินดีต้อนรับกลับเจ้าของรางวัลที่หนึ่ง!” คุณฮวงยิ้มอย่างมีความสุข เป็นเกียรติกับโรงเรียนมากจริงๆที่ได้รางวัลที่หนึ่งมา ตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนพวกเขายังไม่เคยชนะรางวัลที่หนึ่งในการแข่งขันความรู้ระดับนานาชาติเลยสักครั้ง แม้แต่เขาเองที่เป็นอาจารย์ประจำชั้น ก็ยังได้รับคำชมแล้วยังได้เลื่อนตำแหน่งอีกด้วย

“แหมคุณฮวง ครั้งนี้นอกจากเรื่องการมารายงานกับทางโรงเรียนแล้ว ฉันก็มีเรื่องอื่นที่อยากจะคุยกับคุณฮวงด้วย” มู่หรงเสวี่ย กล่าว

“มีเรื่องอะไรเหรอ?” คุณฮวงถาม ช่วงนี้ทางโรงเรียนยังไม่มีการแข่งขันอะไรและที่แข่งไปก็ได้รางวัลมาแล้ว

“คือ เดือนหน้าฉันอยากที่จะสอบเพื่อจบการศึกษามัธยมปลายค่ะ ฉันมีคะแนนพอที่จะจบได้แล้ว ฉันเลยสมัครเรียนเฉพาะทางไปแล้ว”

“อะไรนะ?! เธออยากที่จะสอบเพื่อจบการศึกษาเหรอ” ตอนนี้อาจารย์ฮวงถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ความจริงคือนักเรียนที่ดีมากขนาดนี้ เขาจึงไม่อยากที่จะปล่อยไปง่ายๆแต่ในฐานะอาจารย์ นักเรียนของเขาประสบความสำเร็จอย่างมากและเขาก็มีความสุขมากเช่นกัน เขาไม่ได้คิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะสอบไม่ผ่าน อันที่จริงเธอจบจากโรงเรียนไปแล้วตั้งแต่ที่สอบเพื่อพักการเรียน

“ค่ะ อยากจะรบกวนคุณฮวงให้ช่วยเรื่องเอกสารด้วยนะคะ ฉันได้รับคัดเลือกให้เขาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งเมืองหลวงแล้วและหลังจากที่สอบจบการศึกษาเสร็จแล้วหนูก็จะไปที่เมืองหลวงเลย…” อันที่จริง เมื่อไม่กี่วันก่อนคุณปู่โม่เพิ่งจะโทรมาบอกเธอว่าเขาได้คุยกับศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งเมืองหลวงแล้ว และถามว่าเธอสนใจที่จะเข้าเรียนที่นั่นไหม?!!

เธอตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ก่อนหน้านี้เพราะยากลืนวิญญาณทำให้เธอรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวง เธอต้องแข็งแกร่งให้เร็วที่สุดและรีบขยายบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต่อไปเธอมีแผนที่จะไปเมืองหลวง ตอนนี้บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปอยู่เพียงในเมือง Aเล็กๆเท่านั้นแต่เมื่อออกไปนอกจังหวัดคนอื่นๆก็ไม่ได้สนใจอะไร ดังนั้นเมื่อเธอไปที่เมืองหลวง เธอก็จะสามารถเช็กสถานะของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปได้ด้วย

“ครูเข้าใจแล้วล่ะ แต่มู่หรง เธอแน่ใจเรื่องนี้แล้วงั้นเหรอ? อันที่จริงเธอก็ยังเด็กอยู่เลยนะ เธอน่าที่จะได้สนุกกับชีวิตวัยเรียนก่อน…” เด็กๆจากตระกูลใหญ่ๆนี่น่าเศร้าจริงๆ ไม่ได้ใช้ชีวิตสนุกเลยสักนิด พวกเขาต้องรีบโตทั้งที่อายุยังน้อย…พูดตามตรง เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับเรื่องนี้เท่าไรซึ่งอาจจะทำลายความสุขของ มู่หรงเสวี่ยทั้งหมดจนสิ้น

มู่หรงเสวี่ยค่อนข้างกังวลกับรอยยิ้มเย็นชาของคุณฮวงจึงพูดออกไปว่า “คุณฮวง หนูตัดสินใจแล้วค่ะว่าอยากที่จะโต มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่หนูจะสามารถปกป้องคนสำคัญได้ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณฮวงนะคะ แต่สำหรับหนูมีเพียงทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้หนูมีความสุข”

“ในเมื่อเธอพูดแบบนั้น งั้นครูจะยื่นเอกสารให้อาจารย์ใหญ่เอง การสอบเพื่อจบการศึกษาจะมีขึ้นเดือนหน้า เธอพร้อมไหม?!”
“พร้อมค่ะ! และคุณฮวงค่ะ ขอบคุณนะคะที่คอยสั่งสอนฉันมาตลอด” ตั้งแต่ที่มู่หรงเสวี่ยเป็นนักเรียนมา คุณฮวงคอยดูแลเธอมาตลอด ถึงแม้เธอจะไม่ได้มาเรียนแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะคอยถามไถ่เธอตลอด เขาเป็นอาจารย์ที่ดีจริงๆ

ทันใดนั้นอาจารย์ฮวงก็รู้สึกขอบคุณกับคำขอบคุณของ มู่หรงเสวี่ย จึงแตะไปที่หัวของเธออย่างเขินๆ “ครูไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าเป็นไปได้เมื่อเธอจบออกไปแล้วก็แวะกลับมาโรงเรียนบ้างนะ ครูจะยังเป็นอาจารย์ของเธอเสมอ ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจก็โทรมาหาครูได้เสมอ ถึงแม้ครูจะไม่ได้เก่งอะไรมากมายแต่เรื่องในมหาวิทยาลัยครูก็รู้อะไรมากพอสมควร” ในความคิดเขา มู่หรงเสวี่ยเป็นนักเรียนที่ดีที่สุดในหมู่นักเรียนมากมายที่เขาเคยสอนมาเลย

“งั้นเมื่อถึงเวลา คุณฮวงอย่าเพิ่งเบื่อฉันแล้วกันนะคะ!”

“ไม่หรอก ถามมาได้ตามสบายเลยนะ”

“ฉันฝากคุณฮวงเรื่องใบสมัครด้วยนะคะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ได้เลย”
มู่หรงเสวี่ยออกมาจากห้องทำงานอาจารย์ เธอไม่เจอโม่อ้ายหลี่มาหลายวันแล้วไม่รู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้างแล้ว

ขณะนั่งเรียนอยู่ในชั้นเรียน มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจสายตาของเพื่อนในชั้นเรียนที่จ้องมาหาโม่อ้ายหลี่อย่างอิจฉา

“มู่หรงเสวี่ย ฉันคิดถึงเธอมากเลยนะ เธอไม่ได้ซื้อขนมมาฝากฉันบ้างเลยเหรอไง? ฉันสมควรจะได้ของฝากบ้างนะ”

มู่หรงเสวี่ยกลอกตาและถลกแขนเสียอย่างหาเรื่อง “ฉันไปแข่งวิชาการนะ ไม่ได้ไปเที่ยวโอเคไหม?”

“ไม่กล้าแล้วๆ ยังไงซะเวลาที่ฉันไม่เจอเธอฉันก็คิดถึงเธอตลอดแหละ น่าสงสารตัวเองจริงๆที่ต้องนั่งคิดถึงมู่หรงเสวี่ยทั้งวี่ทั้งวันเลย เธอเป็นหัวหน้าใหญ่ที่มัวแต่ไปเที่ยวเล่นอยู่ในการแข่งขันวิชาการหลอกๆอย่างสบายใจเลย…”

“ขอฉันเตือนสติเธอหน่อยนะว่าการแข่งขันวิชาการหลอกๆที่เธอพูดถึงนี่เป็นการแข่งขันระดับนานาชาติเลยนะ นี่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศเลยรู้ไหม?!!! อีกอย่างนะ ฉันไม่ได้สบายเลย ก่อนที่ฉันจะไป ฉันจัดการปัญหามากมายเช่นเรื่องการผลิตของโรงงานอ้ายเสวี่ยจนเรียบร้อยแล้ว งั้นมันไม่น่าที่จะมีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว ที่มากไปกว่านั้นนะตอนที่ฉันไปอ้ายเสวี่ยก็ดำเนินการไปได้ด้วยดี แล้วฉันก็จัดการเรื่องการเซ็นสัญญาระหว่างอ้ายเสวี่ยกับลิซซี่ที่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้วด้วย ทุกอย่างเป็นไปตามแผน…ไม่ทราบว่าที่อ้ายเสวี่ยมีปัญหาอะไรอีกหรือเปล่า? มีเรื่องอะไรที่อ้ายเสวี่ยไหม?”

โม่อ้ายหลี่ลืมปล่อยมือ “ช่วงนี้ฉันคิดมากไปเองแหละ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ทำแล้วเลยรู้สึกเบื่อๆ!”

มู่หรงเสวี่ยมองค้อนและกลับไปนั่งต่อ เธอคงจะคิดมากไปเองแน่ๆ “คือมีเรื่องจะบอกเธอเรื่องหนึ่ง…”

“มีอะไรเหรอ?”
“เดือนหน้าฉันจะสอบจบการศึกษาแล้วฉันจะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ที่เมืองหลวง”

“อะไรนะ?!!” โม่อ้ายหลี่ร้องออกมาเสียงสูง
มู่หรงเสวี่ยก้มหัวต่ำและอยากที่จะทำเป็นไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ “ช่วยเบาเสียงลงหน่อยได้ไหม?”

โม่อ้ายหลี่ไม่สนใจ “เธอตายแน่ นี่เธอจะทิ้งฉันอีกแล้วงั้นเหรอ…”

บ้าหรอ?! ทิ้งอะไรกัน?!! “ขอร้องเถอะ นี่มันทิ้งกันซะที่ไหนล่ะ? ไม่งั้นเธอก็ไปเรียนกับฉันที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวงก็ได้นี่” ยิ่งพูดขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอจะชนะรางวัลที่หนึ่งและชนะใจเพื่อนในชั้นเรียนมากขึ้น แต่ตอนนี้เพื่อนแท้ของเธอก็มีแต่โม่อ้ายหลี่เท่านั้น แบบนั้นถ้าเธอไปเมืองหลวงก็คงจะเหงาน่าดูเลย

“ฉันไม่เหมือนเธอนะ ฉันก็แค่นักเรียนธรรมดาๆ ถึงแม้ตอนนี้จะเก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแต่มันก็เป็นเพราะเธอช่วยสอนให้ อีกอย่างฉันยังไม่ได้เรียนเนื้อหาของปีสองกับปีสามเลยด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้ฉันจะไปสอบได้ยังไงล่ะ?” โม่อ้ายหลี่มองไปที่เพื่อนอย่างเศร้าใจ

ถ้าเธอได้เข้าไปในมิติลับเธอก็จะทำได้ แต่เธอเข้าไปไม่ได้ มู่หรงเสวี่ยไม่กล้าที่จะให้สมาชิกในครอบครัวรู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ ถึงแม้เธอจะเชื่อใจโม่อ้ายหลี่ แต่ยิ่งเธอรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น เธอกลัวว่าถ้าเป็นแบบนั้นโม่อ้ายหลี่จะต้องเข้ามาเกี่ยวพันด้วย

ยังเหลือเวลาอีกเดือนและมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เธอยังสามารถเอาน้ำแห่งจิตวิญญาณออกมาให้มิติลับให้โม่อ้ายหลี่ดื่มได้อยู่ น้ำแห่งจิตวิญญาณสามารถช่วยปรับการทำงานของร่างกายได้และยิ่งเป็นเรื่องของสมองยิ่งเห็นผลเร็วเข้าไปใหญ่ บวกกับความช่วยเหลือจากเธอ บางทีอาจจะเป็นไปได้ก็ได้

“เธออยากจะเรียนจบหรือเปล่า? ถ้าอยาก ฉันจะช่วยติวให้เธอเองซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา”

ดวงตาของโม่อ้ายหลี่เปล่งประกาย เธอไม่เคยสงสัยในตัวมู่หรงเสวี่ยเลย ถ้ามู่หรงเสวี่ยบอกว่าทำได้ มันก็ต้องทำได้ ตั้งแต่ที่เธอช่วยรักษาคุณปู่ เธอก็ไม่เคยมองเสี่ยวเสวี่ยเป็นคนธรรมดาอีกเลย “ถ้าเธอบอกว่าแบบนั้น ฉันก็จะเชื่อเธอ!”
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ที่เธอพูดไปมันก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร หน้าตาที่เชื่อมั่นแบบนี้…แล้วเธอจะพูดออกไปได้ยังไงว่าเธอก็ไม่ได้มั่นใจ 100%…เธอไม่อยากที่จะทำลายความเชื่อมั่นขนาดนั้น

“อีกอย่างนะ เรามาขยายอ้ายเสวี่ยไปที่เมืองหลวงกันเถอะ” มู่หรงเสวี่ยเสนอแนะ

“ไปไกลแบบนั้นเลยเหรอ? มันจะเร็วไปหรือเปล่า อ้ายเสวี่ยเพิ่งจะถูกตั้งขึ้นมาเองนะถึงแม้มันจะเป็นไปตามแผน แต่มันจะเร็วไปหรือเปล่าเพราะเรื่องเงินทุนก็ยังไม่เสถียรเลย…” โม่อ้ายหลี่ถาม

“ไม่นะ เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าเรามีกองหนุน? ลิซซี่เป็นกองหนุนของเรา เราไม่จำเป็นต้องก้าวทีละก้าว เราเปิดตลาดเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างนะเราไม่ต้องกังวลเรื่องผลกระทบกับบริษัทอื่นๆด้วย เพราะลิตซ์พาวิลเลี่ยนจะไม่ปล่อยเราตามลำพัง เราลงมือทำทุกอย่างได้อย่างมั่นใจและกล้าหาญได้เลย” ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งมู่หรงเสวี่ยไม่ได้พูดถึง นั่นคือคนที่มีอำนาจดูแลลิซซี่บังเอิญเป็นพี่ชูที่เธอรู้จักด้วย เธอจึงรู้สึกมั่นใจและเชื่อมั่นในพี่ชูอย่างอธิบายไม่ถูก

“งั้นถ้าเราจะขยาย แต่ตอนนี้เราก็ยังมีพนักงานไม่เพียงพอเลยนะ งั้นก็พูดได้ว่าตอนนี้ยังมีปัญหาอยู่เลย เพราะนี่เป็นบริษัทใหม่และพนักงานส่วนใหญ่ก็ยังใหม่ พวกเขาไม่ได้มีความสามารถมากเหมือนกับพวกพนักงานเก่าๆและประสิทธิภาพก็ยังเทียบไม่ได้กับบริษัทที่ก่อตั้งมานานๆแล้วด้วย…”

“ไม่เป็นไร อีกไม่นานสินค้าล็อตแรกของเราจะถูกส่งให้ลิซซี่แล้ว แล้วเราค่อยทำโฆษณาและเราจะได้ไม่ต้องห่วงนอกจากนี้นะถึงแม้พวกเขาจะเป็นพนักงานใหม่ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร หลังจากที่ได้รับการฝึกแล้วก็คงจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไรด้วยเหมือนกัน พนักงานในโรงงานไม่เหมาะกับพวกที่เด็กเกินไปเพราะยังไงซะพวกเขาก็ยังใจร้อนและไม่มั่นคง งั้นเราก็ค่อยไปรับสมัครแถวชานเมืองก็ได้ มีพวกผู้หญิงในชานเมืองมากมายที่อยู่บ้านกันเป็นส่วนใหญ่และมีคนตั้งมากมายที่อยากจะหางานเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้นเราจะขอให้แผนกจัดหางานแจกจ่ายแผ่นพับจัดหางานในชนบท ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงในชนบทยังมีความซื่อสัตย์และเหมาะจะเป็นพนักงานของโรงงานที่สุดเลย…”

“งั้นก็เอาตามนั้นเลย”

“อีกอย่างนะ ฉันจะติวให้เธอทุกวันหลังเลิกเรียน เธออยากจะแวะมาที่วิลล่าฉันตอนเย็นหรือว่ายังไงดี?” มู่หรงเสวี่ยถาม

โม่อ้ายหลี่คิดอยู่สักพัก “ทำไมเธอไม่แวะมาที่บ้านฉันล่ะ? ถ้าฉันไม่กลับบ้าน คุณปู่จะต้องส่งคนมาตามฉันแน่ๆ แบบนั้นคงจะสร้างปัญหาและดึงดูดความสนใจมากเกินไปหน่อย…”