ซูจิ่นซีตกใจและลืมตาขึ้นมาทันที ทว่านางเห็นเพียงผ้าห่มผืนแดงคลุมทับร่างกาย เบื้องหน้าล้วนกลายเป็นสีดำสนิท
มือของเยี่ยโยวเหยาคืบคลานเข้าไปในเสื้อชั้นในของนางราวกับมังกรเริงร่า ริมฝีปากเย็นเฉียบจุมพิตไปที่คิ้ว จมูก ริมฝีปาก… และค่อยๆ เลื่อนลงต่ำ…
เบื้องหน้าซูจิ่นซีมีเพียงความมืดมิด นางไม่อาจมองเห็นท่าทีของเยี่ยโยวเหยาว่าเป็นเช่นไร อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาจุมพิตต่ำลงไปเรื่อยๆ กลับทำให้นางวาบหวามไปทั้งตัว รู้สึกตัวลอยราวกับเหยียบอยู่บนดอกฝ้าย
“อืม… อืม… ”
ซูจิ่นซีอดส่งเสียงวาบหวามออกมาอย่างแผ่วเบาไม่ได้ และเพราะเสียงนี้ จึงทำให้เยี่ยโยวเหยารุกไล่รุนแรงมากขึ้น
เดิมทีเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีต่างคิดว่าเรื่องในวันนี้นับเป็นเวลาที่เหมาะสม ต่างฝ่ายต่างยินยอมพร้อมใจ กลับคาดไม่ถึงว่าขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากทางด้านนอกด้วยความรีบร้อน
“ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง ที่วิหารวิญญาณเกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋อง… ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่น ใช้แววตาพราวเสน่ห์ชำเลืองมองด้วยความหงุดหงิด ลมหายใจเร่าร้อนอบอุ่นรอบตัวพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงไม่หยุดการกระทำหรือใส่ใจเสียงเรียกด้านนอก ตรงกันข้าม เขายิ่งเร่าร้อนรุนแรงมากกว่าเดิม
ซูจิ่นซีทนไม่ไหวแล้ว
“ท่านอ๋อง ฮูหยินถอนกำลังบางส่วนออกจากวิหารวิญญาณ จู่ๆ ฉีอ๋องแห่งแคว้นหนานหลีและจอมวายร้ายไป๋เฉ่า เจ้าหุบเขาเทพโอสถก็นำคนบุกเข้าไปในวิหารวิญญาณ สถานการณ์คับขันยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋อง… ”
ผู้ที่อยู่ด้านนอกประตูคือจิ้นหนานเฟิง
แม้รู้ดีว่าการรบกวนเยี่ยโยวเหยาในเวลานี้ ย่อมไม่เป็นผลดี
ทว่าวิหารวิญญาณเป็นฐานบัญชาการทั้งหมดของเยี่ยโยวเหยา ตอนนี้วิหารวิญญาณตกอยู่ในสภาวะคับขัน เหล่าพี่น้องที่วิหารวิญญาณรับมือไม่ไหวแล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องมาเรียกเยี่ยโยวเหยา
จิ้นหนานเฟิงตะโกนอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่มีการตอบสนองจากข้างใน เขาวิตกกังวลจนเหงื่อไหล
เสียง ‘เอี๊ยด อ๊าด’ ดังขึ้น ประตูถูกเปิดออก เยี่ยโยวเหยาเดินออกมาด้วยใบหน้าดำมืดราวน้ำหมึก จิ้นหนานเฟิงยังไม่ทันมองท่าทางเยี่ยโยวเหยาอย่างชัดเจน ก็ถูกเยี่ยโยวเหยาเตะกระเด็นออกไปนอกเรือนชิงโยว
“ท่านอ๋อง… ”
องครักษ์ของวิหารวิญญาณสองนายที่มาส่งข่าวอยู่ด้านนอกประตูรีบคุกเข่าลงกับพื้น
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด ทำเพียงหยิบกระบี่เสวียนหยวนและเดินจากไปทันที
เหล่าหัวหน้าองครักษ์คนสำคัญของวิหารวิญญาณรีบนำลูกน้องในหน่วยของตนเดินตามไป
ในตำหนักฝูอวิ๋น บรรยากาศเร่าร้อนน่าหลงใหลก่อนหน้านี้พลันสลายหายไปในพริบตา ทว่าไม่ปรากฏความโดดเดี่ยวอ้างว้างแม้แต่น้อย
เนื่องจากด้านในและด้านนอกตำหนักล้วนตกแต่งอย่างงดงามและอบอุ่น
ซูจิ่นซีคลุมผ้าเตรียมลงจากเตียง ขณะที่กำลังสวมรองเท้า ทันใดนั้นนางก็เหลือบไปเห็นกลีบดอกไม้บนพื้นซึ่งวางเรียงรายทั่วพื้นตำหนักฝูอวิ๋น จากนั้นก็มองไปยังเทียนเล่มแดงอย่างละเอียด ผลไม้มงคล… ด้านขวาของอ่างอาบน้ำยังแขวนชุดแต่งงานของบ่าวสาวไว้สองชุด
ทั้งสองชุดนี้คงเป็นสิ่งที่เยี่ยโยวเหยาตระเตรียมไว้สวมใส่หลังจากที่พวกเขาเข้าห้องหอและอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลับถูกจิ้นหนานเฟิงเข้ามาขัดขวาง แม้เยี่ยโยวเหยาจะไม่พอใจอย่างมาก ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้คิดเช่นนั้น นางจึงให้เยี่ยโยวเหยาไปจัดการเรื่องที่วิหารวิญญาณก่อน
ทว่าตอนนี้ เมื่อมองทุกสิ่งที่ถูกจัดเตรียมไว้เบื้องหน้า ภายในใจกลับรู้สึกว่างเปล่าและเสียใจเล็กน้อย
ไม่รู้ว่านอกเหนือจากนี้ เยี่ยโยวเหยาได้จัดเตรียมสิ่งใดไว้อีก
แม้งานพิธีเข้าหอจะล่าช้าไปบ้าง สุดท้ายแล้ว เยี่ยโยวเหยาก็ตั้งใจจัดเตรียมทุกสิ่งอย่างดี ทว่า… ดูเหมือนจะมีอุปสรรคอยู่บ้างเล็กน้อย
เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น หลังจากเยี่ยโยวเหยาจัดการเรื่องที่วิหารวิญญาณจนเสร็จสิ้นและกลับมาจัดการเพิ่มเติม พวกเขาอาจไม่รู้สึกประหลาดใจกับการวางแผนจัดเตรียมล่วงหน้าอีกแล้ว
เช่นนี้… จะไม่ให้รู้สึกเสียดายได้อย่างไร?
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีจึงไม่คิดจะทำอันใดอีก นางกลับไปที่เตียงนอน ก่อนจะถอดเสื้อคลุมออกและผล็อยหลับไป
ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่ซูจิ่นซีผล็อยหลับไป ช่วงที่นางกำลังสะลึมสะลือนั้น นางได้ยินเสียงของแม่นมฮวาดังขึ้นจากทางด้านนอก
“พระชายา… พระชายา… ท่านอยู่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีลืมตาและเงี่ยหูฟังอย่างละเอียด เป็นแม่นมฮวากำลังเคาะประตูอยู่จริงๆ
ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใดแล้ว เทียนแต่งงานในตำหนักหลอมละลายจนหมด ภายในห้องจึงมีเพียงแสงสลัว
ซูจิ่นซีสวมเสื้อคลุมและลงจากเตียง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูท่ามกลางความมืด
“แม่นมฮวา มีเรื่องอันใด? ”
ท่าทางของแม่นมฮวาดูไม่ดีอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นที่หางตาของนางยังมีคราบน้ำตาอีกด้วย
“พระชายา แย่แล้วเพคะ ทางวิหารวิญญาณให้คนมาบอกว่าท่านอ๋องถูกพิษรุนแรงขณะต่อสู้ท่ามกลางศัตรู ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์วิกฤต พระชายาได้โปรดรีบตามไปช่วยเหลือเถิดเพคะ”
ถูกพิษรุนแรง?
อีกแล้วหรือ???
“ไปหยิบเสื้อผ้ามาให้ข้า! ” ซูจิ่นซีพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
แม่นมฮวารีบเข้ามาจัดเสื้อผ้าให้ซูจิ่นซี
พ่อบ้านเป็นคนแรกที่ได้รับข่าว จึงสั่งให้คนจัดเตรียมรถม้าไว้ตั้งแต่แรก
เมื่อซูจิ่นซีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พ่อบ้านก็ขับรถม้าพาซูจิ่นซีไปที่วิหารวิญญาณด้วยตนเอง
ทันทีที่ลงจากรถม้า ซูจิ่นซีเปิดการทำงานของอาคมกำไลปี่อั้นและระบบถอนพิษ จากนั้นจึงรีบเดินเข้าไป
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฝีเท้าของนางก็เริ่มช้าลง ในที่สุดก็หยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
“มู่หรงอวิ๋นเกอ อ๋องเก้าแห่งแคว้นหนานหลี อย่าลืมเล่า เจ้าเคยรับปากสิ่งใดกับข้า ในเมื่อวันนี้เป็นพวกเจ้าทั้งสองที่ไม่ปฏิบัติตาม ก็อย่าโทษข้าที่ไม่ไว้หน้า เพียงมีข้าอยู่ พวกเจ้าอย่าได้คิดฝันว่าจะมีวันพรุ่งนี้”
ไม่ผิด!
เป็นเสียงของเยี่ยโยวเหยา
เสียงนั้นดังชัดเจน ท่าทางไม่เหมือนคนถูกพิษแม้แต่น้อย
“ถุย! เยี่ยโยวเหยา บัดซบยิ่งนัก เจ้าคิดว่าซ่อนมู่หรงอวิ๋นเกอกับจงเหมยจวงแล้ว แม่นางพิษน้อยจะไม่รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองเจียงหลิงตอนนั้นหรือ? เจ้ายังไม่หย่านมหรืออย่างไร? ถึงได้ใช้วิธีการโง่เง่าเช่นนี้”
‘เพียะ’
เสียงถ่ายพลังฝ่ามือผ่านอากาศกระทบผิวหนัง
จากนั้นก็มีคนกระอักเลือด
แม้ซูจิ่นซีไม่เห็นเหตุการณ์จริง เพียงได้ยินเสียงเท่านั้น ทว่าวิเคราะห์จากน้ำเสียงก็รู้ทันทีว่าเป็นจอมวายร้ายไป๋เฉ่าที่ชอบพูดจายั่วยุเยี่ยโยวเหยา ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ยอมอ่อนข้อให้ ตรงกันข้าม เขากลับถูกเยี่ยโยวเหยาสั่งสอนไปหนึ่งหมัด
“โยวอ๋อง ครั้งนั้นเป็นท่านที่รับปากพวกข้า เพียงข้าบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเจียงหลิงในตอนนั้น ท่านจะตามหาเหมยจวง และปล่อยข้ากับเหมยจวงไป ตอนนี้ท่านผิดคำพูดก่อน เหตุใดจึงกล่าวว่าพวกข้าไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเล่า? ” เสียงของมู่หรงอวิ๋นเกอ
“ใช่ ข้าตกลงกับเจ้า ทว่าข้ายังพูดอีกว่า เพียงพวกเจ้าทั้งสองปกปิดความจริงที่เกิดขึ้นในเมืองเจียงหลิงกับซูจิ่นซี ข้าจะให้พวกเจ้าสองสามีภรรยาได้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย ให้พวกเจ้าตัดขาดจากโลกภายนอก”
“สถานที่ปลอดภัย? หึ! โยวอ๋อง สถานที่ปลอดภัยที่ท่านพูดถึง คือแดนนรกที่ไม่สามารถมองเห็นแสงสว่างได้ตลอดไปใช่หรือไม่? หากรู้แต่แรกว่าท่านวางแผนกักขังข้ากับเหมยจวงให้อยู่ที่นี่ตลอดชีวิต เวลานั้น แม้ท่านจะพูดอย่างไร ข้าคงไม่มีทางตกลงกับท่านเป็นแน่ ยิ่งไม่ยอมให้ท่านช่วยข้าตามหาเหมยจวง”
ให้ความจริงถูกฝังอยู่ในความมืดตลอดไป กุมชะตาชีวิตไว้ในมือตนเท่านั้นจึงจะปลอดภัยที่สุด
นี่เป็นลักษณะการทำงานของเยี่ยโยวเหยาจริงๆ
ไม่แปลกใจเลย ตอนนั้นหลังจากเหตุการณ์ที่ตำบลผูหลิว ก็ไม่มีข่าวคราวของหลวงจีนทุศีล หรือมู่หรงอวิ๋นเกออีกเลย
ไม่แปลกใจเลย ตอนนั้นหลังออกมาจากมหาวิหารธารามรกตพร้อมกับเยี่ยโยวเหยา และได้พบกับจงเหมยจวงโดยบังเอิญ ความจริงที่ซับซ้อนของเมืองเจียงหลิงในตอนนั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อม ทว่าจงเหมยจวงกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเพียงชั่วข้ามคืน
ที่แท้ทั้งหมดเป็นแผนการของเยี่ยโยวเหยา
ที่แท้…
ซูจิ่นซีเคยคิดว่าในความมืดที่นางมองไม่เห็น เพราะมีผู้ที่อยู่ในความมืดคอยสกัดกั้นภัยอันตรายแทนนาง
ทว่าผู้ใดจะคาดคิด คนผู้นั้นกลับปิดหูปิดตาของนางจากทุกเรื่อง
เยี่ยโยวเหยา…
เหตุใด… ถึงเป็นเช่นนี้?
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอกจนแทบหายใจไม่ออก