ตอนที่ 269 นอนเพลิน / ตอนที่ 270 ปล่อยหมัดเด็ด

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 269 นอนเพลิน 

 

 

“เป็นยังไงบ้าง เห็นฉันยืนขึ้นแล้วตะลึงหรือเปล่า” เฉินเจวี้ยนก็ดื่มเป็นเพื่อนเหยียนเค่ออีกหลายขวด ไม่รู้สึกเมา เพียงแต่รู้สึกว่าเส้นประสาทตื่นตัวมาก ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากวีลแชร์อย่างเชื่องช้า 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินมองเขาเอามือยันวีลแชร์แล้วหยัดตัวลุกขึ้น จากคนที่สองขาอ่อนแรงจนถึงตอนนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ จึงตบบ่าเขา “ช่วงนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีใช่ไหม” 

 

 

“ดีนะ ดีทุกอย่าง ถ้างั้นก็คงไม่มาหรอก” 

 

 

เหยียนเค่อหาวหวอด “พรุ่งนี้เรายังมีธุระต้องทำอยู่ ขอตัวกลับก่อนล่ะ ถ้าอารมณ์ดีก็ไปปีนเขากัน” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินรู้สึกว่าเหยียนเค่อหาเรื่องให้ตัวเองเสียแล้ว ชอบนักการพูดจาทิ่มแทงคนอื่นเนี่ย 

 

 

“คืนพรุ่งนี้ฉันกลับเมืองหลวงแล้วนะ ถ้ามีอะไรก็มาหาฉันได้” เสิ่นจิ้งเฉินรอจนรถของเฉินเจวี้ยนขับเข้ามาแล้วก็ส่งเขาขึ้นรถไปก่อน จึงจะเดินตามเหยียนเค่อออกมา 

 

 

“กลับแล้วเหรอ” 

 

 

“อืม” 

 

 

ทั้งคู่เดินเลียบแม่น้ำล้อมเมืองกลับคอนโด คนขับรถต่างก็ตามอยู่ด้านหลังอย่างมีความรับผิดชอบ 

 

 

ลมเย็นพัดเบาๆ แสงของไฟถนนสว่างไสวอบอุ่น เหยียนเค่อนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่ได้เดินเล่นในหมู่บ้านกับซย่าเสี่ยวมั่ว ทุกครั้งจะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงตลอด ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะยังออกมาเดินเล่นอยู่ไหม 

 

 

“จริงสิ ซย่าเสี่ยวมั่วได้รับโซฟาแล้วนะ ขอบใจมาก” เสิ่นจิ้งเฉินนึกไปถึงข้อความที่ซย่าเสี่ยวมั่วส่งมาให้เขา จึงบอกเหยียนเค่อ 

 

 

“อืม” 

 

 

แม่น้ำในค่ำคืนอันมืดมิดกลายเป็นสีดำสว่างไสว แสงไฟสะท้อนจนมองเห็นเกลียวคลื่นที่ซัดสาด สายลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดหยอกเย้าสายน้ำ แต่ใครกันเล่าที่หยอกเย้าหัวใจของเขา 

 

 

วันต่อมาทั้งสองคนต่างก็ตื่นสาย นอนตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงหกโมงเย็น 

 

 

เหยียนเค่อลุกจากเตียงแล้วสะกิดปลุกเสิ่นจิ้งเฉิน “นายยังจะไปหนานซานอยู่ไหม ตอนนี้เนี่ย” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินคว้านาฬิกาปลุกมาดูปราดหนึ่ง ก่อนจะตวัดผ้าห่มมาคลุมหัว “เจอกันที่ ‘หลิวเยี่ยน’ ฉันขอนอนต่ออีกหน่อยนะ” 

 

 

เหยียนเค่อบีบจมูกที่รู้สึกคัดแน่น ก่อนจะส่งข้อความให้คนอื่น 

 

 

ร้านหลิวเยี่ยนอยู่ไม่ไกลจากเสิ่นจิ้งเฉินนัก เพียงแค่เดินเท้าสิบนาทีก็ถึง…เขาไม่เลือกสถานที่อื่นเพื่อให้ตัวเองสามารถนอนต่อได้อีกสักหน่อย  

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินง่วงจะตายอยู่แล้ว เมื่อคืนคุยสนุกกับเหยียนเค่อจนนอนไม่หลับ กว่าจะได้นอนก็ฟ้าสว่างเสียแล้ว และเขาก็หลับลงไปอีกครา 

 

 

ช่วงหลายวันที่กลับมาเมือง N นี้ เวลาพักผ่อนและเวลาทำงานของตนโดนเหยียนเค่อทำพังหมดเลย 

 

 

“โทษนายนั่นแหละ” เสิ่นจิ้งเฉินยืนพิงตู้เพื่อสวมรองเท้า อ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน “ต่อไปเมียนายจะทนเวลาทำงานและพักผ่อนแปลกประหลาดแบบนี้ของนายได้ยังไง ชีวิตคู่ไม่ราบรื่นเลยสักนิด” 

 

 

เหยียนเค่อจำได้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วก็เคยพูดทำนองนี้เช่นกัน ไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียงกับเสิ่นจิ้งเฉิน “ก็ต้องดูก่อนว่าเมียฉันคือใคร” 

 

 

“เฮ้ย ฉันว่านะ นายรักสะอาดขนาดนี้ จะยอมทน…” 

 

 

“หุบปาก! อยากโดนหรือไง!” เหยียนเค่อถีบเขาไปหนึ่งที “ตอนนี้สองทุ่มกว่าแล้ว ให้พวกเขาลงโทษนายเลย” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินเดินเข้ามากอดไหล่เหยียนเค่อ “มีทุกข์ก็ต้องร่วมทุกข์สิ” 

 

 

“ฉันไม่อยากเล่นสนุกคนเดียวทั้งคืนหรอกนะ” 

 

 

“นายไปหาสวีอันหรานสิ เขาอยู่คนเดียวจะได้ไม่เหงา” 

 

 

“นายนั่งแช่อยู่แต่ห้องสมุดจนต้องพึ่งหนังสือต้องห้ามมาทำให้ตัวเองสำเร็จความใคร่แล้วเหรอ”  

 

 

เหยียนเค่อใช้หมัดชกลงบนแผงอกของเขา 

 

 

“ไสหัวไปเลย อย่ามาดูหมิ่นอาชีพฉันนะ” 

 

 

“นายต่างหากที่ดูหมิ่นอาชีพตัวเอง” 

 

 

สวีอันหรานนึกว่าสองคนนั้นจะเทพวกเขาเสียแล้ว มองดูทั้งสองคนที่เดินกอดคอกันเข้ามาแล้วก็มีคนหนึ่งยัดแก้วเหล้าใส่มือให้ก่อน 

 

 

“พวกเรามาถึงแล้วแต่ยังไม่ดื่ม เจ๋งปะ” เสิ่นจิ้งเฉินพูดเสียงระรื่น เอ่ยสองคำสุดท้ายขึ้นก่อนจะกรอกเหล้าลงปากอย่างกวนประสาท 

 

 

เหยียนเค่อยัดแก้วเหล้าใส่มือสวีอันหราน “นายช่วยฉันดื่มหน่อย” 

 

 

สวีอันหรานถือแก้วเหล้าไว้ในมืออย่างไม่รู้จะทำอย่างไร แค่กินเหล้าต้องขนาดนี้เลยเหรอ 

 

 

เหยียนเค่อมองสวีรั่วชีที่ยืนถือไม้แทงสนุกเกอร์อยู่ตรงนั้นก็เบ้ปาก “ญาติใครน่ะ? ฉันว่าจะสั่งเซอร์วิสก่อนแต่งงานให้นายสักหน่อย ทำไมถึงพาเมียมาด้วยล่ะเนี่ย” 

 

 

“หยุดคิดอะไรบ้าๆ” สวีอันหรานหยุดเขาไว้ “ซย่าเสี่ยวมั่วก็มา ร้องเพลงอยู่ตรงนั้นน่ะ” 

 

 

เหยียนเค่อหันกลับไปมองก็เห็นซย่าเสี่ยวมั่วกอดคอฉินซื่อหลานร้องเพลง จากใบหน้าไร้อารมณ์จู่ๆ ก็เจือไปด้วยรอยยิ้มบางเบา ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่สวีอันหรานและเสิ่นจิ้งเฉินต่างก็หลบเลี่ยงออกไป ประสบการณ์บอกเขาว่า พอความรู้สึกบางเบาเช่นนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหยียนเค่อทีไร เขาต้องปล่อยหมัดเด็ดทุกที 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 270 ปล่อยหมัดเด็ด 

 

 

“ฉันเล่นเป็นเพื่อนนะ” เหยียนเค่อหยิบไม้แทงจากอีกด้านหนึ่ง ให้บริกรที่อยู่ด้านข้างช่วยจัดการเกมที่ย่อยยับนี้ 

 

 

สวีรั่วชีมองเขาอย่างประหลาดใจ “วันนี้เอาสมองมาด้วยเหรอ” 

 

 

“เอามาสิ” 

 

 

เหยียนเค่อกลับไม่ได้โวยวาย แถมยังยิ้มหล่อละมุนตลอดเลยด้วย โลกใบนี้จะถึงคราวสิ้นสุดแล้วเหรอ เหยียนเค่อก็มีตอนที่ปกติเหมือนชาวบ้านเขาด้วย? 

 

 

สวีอันหรานอยากบอกสวีรั่วชีว่าอย่าไปแข่งกับเหยียนเค่อ ลองมาคิดๆ ดูแล้ว การที่เหยียนเค่อแสดงฝีมือแล้วนั้นไม่มีใครสามารถเทียบได้เลยจริงๆ ถ้าเขาไม่รังแกสวีรั่วชีคงต้องขอบคุณฟ้าดินแล้วล่ะ 

 

 

“เธอเปิดสิ” 

 

 

“นายเปิดสิ” สวีรั่วชีจ้องเขาอย่างสนอกสนใจ 

 

 

เหยียนเค่อก็ไม่เกี่ยงอีก แทงไม้หนึ่งครั้งเพื่อให้ลูกสนุกเกอร์กระจายตัวลงหลุมไปสามลูก ก่อนจะแทงต่อ 

 

 

บนโต๊ะสนุกเกอร์ส่งเสียงแทงลูกสนุกเกอร์ดังพลั่ก พลั่กไม่หยุด ชายรูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางที่โค้งตัวลงแนวกับโต๊ะสนุกเกอร์นั้นช่างน่าหลงใหล นิ้วมือเรียวสวยวางอยู่บนไม้ อยู่ไม่ห่างจากโต๊ะตลอดการเล่น 

 

 

สวีรั่วชียืนเท้าไม้สนุกเกอร์มองดูเขาอย่างตกตะลึง ลูกสนุกเกอร์ที่อยู่ในตำแหน่งที่เล่นยากส่งเสียงพลั่กดังขึ้นเพราะเหยียนเค่อทำลูกกระโดดลงหลุมไปในทันที เหยียนเค่อเล่นจนหมดโต๊ะแล้วก็อยากจะแทงอีตัวลงหลุมไปด้วย แต่สุดท้ายก็ยั้งมือไว้ก่อน เอาชนะตานี้ไปได้อย่างสวยงาม 

 

 

“อย่าทำให้เสี่ยวชีของฉันโมโหนะเว้ย” สวีอันหรานเริ่มกังวลว่าสวีรั่วชีจะโดนเขารังแกจนร้องไห้ 

 

 

สวีรั่วชีมองดูสองคนตรงนั้นที่โหวกเหวกร้องเพลงปราดหนึ่งอย่างนึกสนุก ก่อนจะเริ่มเล่นตาใหม่กับเหยียนเค่อ 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินมองน้องสาวของตนยืนโอบไหล่ฉินซื่อหลานร้องเพลงอยู่บนโซฟาอีกด้านหนึ่ง 

 

 

“ยิ้มบางเบาดูจริงจัง จิตใจดีงามประดุจหยก สวมชุดสีฟ้าอ่อน” 

 

 

“ข้าน้อยฉินซื่อหลาน” ฉินซื่อหลานก็ร่วมร้องรับเป็นอย่างดี 

 

 

“เขาสะบัดพัดเบาๆ มุมปากแย้มยิ้ม งดงามหาใครเปรียบ” 

 

 

“ไม่ใช่แค่ชายรูปงามเท่านั้น ขอบใจที่ชม” 

 

 

“ไม่หรอกๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วยังมีกะจิตกะใจมาตอบเขา 

 

 

“ชิงจิน[1]ใช้ชีวิตราวกับบทกวี แสดงความอาลัยในค่ำคืนอันเงียบสงัดได้โดยไม่ต้องมีตัวอักษรใด…ใครชนะใครแพ้ใครพูดใครงามสง่าใครจะคาดเดาได้” ฉินซื่อหลานอ่านเนื้อเพลงท่อนนี้อย่างรวดเร็ว 

 

 

“เอ๊ะ พี่สะใภ้ฉันเหรอ?” ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นคำว่า ‘ชิงจิน’ ก็อุทานออกมา เสิ่นจิ้งเฉินที่นั่งฟังพวกเขาร้องเพลงอยู่ด้านหลังก็หน้าเหยเก ยังดีที่ซย่าเสี่ยวมั่วยังร้องท่อนต่อไปได้อย่างมืออาชีพ เปลี่ยนเสียงเป็นองค์ชายที่มาดขรึม “สง่างาม เป็นที่ชื่นชอบของสาวน้อยมากมาย” และเปลี่ยนเป็นเสียงเด็กชายผู้เย่อหยิ่ง “ใครให้เขาคือฉินซื่อหลาน พี่ใหญ่ฉินของข้าล่ะ” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินพ่นเหล้าออกมาจากปาก โอ้พระเจ้าช่วย… 

 

 

“ฉินซื่อหลาน ทำดีมาก” ซย่าเสี่ยวมั่วเปลี่ยนเป็นเสียงผู้ชายที่ทุ้มขึ้น แถมยังเชยคางฉินซื่อหลานให้เข้ากับสถานการณ์ด้วย 

 

 

ฉินซื่อหลานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำตามเธอด้วยการเปลี่ยนเป็นเสียงสาวน้อยผู้ร่าเริง “ชายหนุ่มแบบฉินซื่อหลาน ที่หัวมันหน้าขาวสิจึงจะดูดี” 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วลูบหัวของฉินซื่อหลานแล้วพึมพำ “ก็ไม่มันนี่” 

 

 

ฉินซื่อหลานเกือบจะหลุดหัวเราะ เปลี่ยนเป็นเสียงของหญิงสาว “องค์ชายฉลาดหลักแหลม หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า” 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วที่แปลงเป็นเสียงผู้ชายกับฉินซื่อหลานที่กลับมาพูดด้วยเสียงปกติ ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน “แถมยังเป็นหนุ่มรูปงามอีกด้วยนะเนี่ย” 

 

 

“เมื่อเอ่ยถึงความอิสระ องค์ชายหันกลับมามอง ควบม้าจากไปไม่ถามถึงการเดินทางครั้งก่อน ไผ่หนึ่งกำ ดื่มด่ำกับฤดูใบไม้ร่วงนี้ โย่วๆ !” ร้องรัวท่อนนี้จนจบ ทันใดนั้นทั้งคู่ก็เปลี่ยนมาร้องแนวฮิปฮอป “เคารพท่านขุนนาง[2] yeah! yeah!” 

 

 

“พวกเขาทำแบบนี้จะไม่ขาดออกซิเจนจนช็อกเหรอ” เสิ่นจิ้งเฉินยกแก้วขึ้นดื่มน้ำ 

 

 

“ฉันว่าเหยียนเค่อใกล้จะช็อกแล้ว” สวีอันหรานเห็นเหยียนเค่อที่ฝนชอล์กบนไม้ไปพลางใช้สายตาเคร่งขรึมมองไปทางฉินซื่อหลาน “อย่าเอาไม้แทงเสี่ยวชีนะว้อย” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินกำลังเคาะจังหวะให้พวกของซย่าเสี่ยวมั่ว 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วหันกลับมายิ้มหวานให้เสิ่นจิ้งเฉิน โบกไมค์ในมือไปมา “เฮ้! มาสนุกด้วยกัน!” 

 

 

สวีอันหรานนึกเสียใจที่เรียกสวีรั่วชีมาด้วย สองด้านนั้นช่างเหมือนโลกของน้ำแข็งกับไฟเสียจริง 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ชิงจิน หมายถึงบัณฑิต 

 

 

[2] ตัวเอียงทั้งหมด มาจากเนื้อเพลง 《束竹令·记公孙策》ที่เขียนขึ้นเพื่อระลึกถึงซุนกงเช่อ เขียนเนื้อโดยอู๋จื่อ ขับร้องโดย HITA (ในเรื่องมีการดัดแปลงชื่อตัวละครจาก ซุนกงเช่อ เป็นฉินซื่อหลาน)