บทที่ 154 สนามประลอง

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 154

สนามประลอง

“นี่เจ้าคิดจะเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กัน!? ถ้าทุกคนในหอการค้าเป็นแบบเจ้าหมดมีหวังกิจการได้เจ๊งกันพอดี! ข้าขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายไปรายงานตัวกับผู้จัดการเสวี่ยซะ!”

ลมปราณที่หนักอึ้งของเย่เย่ ทำให้สองพี่น้องอึดอัดจนพูดไม่ออก ทันทีที่ทั้งสองเริ่มหายใจไม่คล่องเขาก็คลายพลังออกในทันที

“ข้าต้องขออภัยแทนน้องสาวข้าด้วย พรุ่งนี้ข้าจะให้นางไปรายงานตัวกับผู้จัดการเสวี่ย ได้โปรดวางใจ” หลังจากที่สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของเย่เย่ ลี่เฉียนเฟิงก็รีบคุกเข่าขอโทษแทนน้องสาวและให้สัญญากับเย่เย่

ลี่เฉียนเฟิงนั้นติดตามเย่เย่มาตั้งแต่เมืองซูเจิ้น เขาก็เริ่มรู้จักนิสัยใจคอของเย่เย่มากขึ้น เขารู้อีกว่าที่เย่เย่ใช้ไม้แข็งแบบนี้ก็เพื่อดัดนิสัยของลี่อิง ดังนั้นแทนที่เขาจะโกรธเกลียดเย่เย่เขากลับรู้สึกซาบซึ้งในเจตนาอันดีของเขา

ลี่อิงที่รู้สึกตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของ เย่เย่ นางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเขาอีกจึงได้แต่เดินตามหลังพี่ชายออกไปอย่างสงบเงียบ เมื่อนางนึกย้อนถึงเรื่องที่ผ่านมานางจึงเริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของเย่เย่

หลังจากสองพี่น้องเจ้าปัญหากลับไป เย่เย่ก็นึกขึ้นได้ถึงเฉินเซียนศิษย์คนแรกของเขา แม้ว่าทันทีที่เขากลับมาถึง หลิงเฉิงเขาจะแลกคัมภีร์ลำนำดอกบัวสีเลือดให้กับผู้เป็นศิษย์ไปแล้ว แต่เขาก็งานท่วมหัวจนไม่ได้ติดตามความคืบหน้าของ เฉินเซียนเลย

เมื่อสะสางธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย เย่เย่จึงเดินไปยังสนามประลองด้านหลังหอการค้าที่เพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ นอกจากมันจะสร้างขึ้นเพื่องานประลองยุทธ์ระหว่างหอการค้า หยูเย่และสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายแล้ว มันยังถูกใช้เป็นสนามฝึกวิทยายุทธ์ของเหล่าสมาชิกหอการค้าอีกด้วย

เหล่าสมาชิกหอการค้าที่ใช้สนามประลองอยู่ก็กระจัดกระจายแบ่งเป็นหลายกลุ่ม บ้างก็จับเข่าคุยกัน บ้างก็ฝึกศิลปะการต่อสู้ บ้างก็นั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณอย่างสันโดษ แต่ทุกคนล้วนมีจุดประสงค์เดียวกันซึ่งก็คือเพื่อขัดเกลาวรยุทธ์ของตน โดยซูฉีเจี่ยและเจิ้งซูจะคอยควบคุมดูแลและตรวจสอบ หากผู้ใดมีพัฒนาการอย่างดีเยี่ยมผ่านเกณฑ์การประเมินของทั้งสอง ผู้นั้นจะได้รับสิทธิ์ในการใช้พื้นที่ของค่ายกลลมปราณไหลเวียนเป็นเวลา 1 เดือนซึ่งนั้นทำให้พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมอย่างจริงจัง

เนื่องจากเป็นเพราะสมาชิกเหล่านี้เป็นเพียงจ้าววรยุทธ์กับเทพยุทธ์เท่านั้น เมื่อเย่เย่เดินมาถึงอัฒจันทร์อย่างเงียบๆโดยไม่มีการบอกล่วงหน้า จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขาเลยแม้แต่คนเดียว หลังจากนั่งลงเย่เย่ก็ได้กวาดสายตาหาเฉินเซียน และพบว่าศิษย์ของเขากำลังฝึกฝนอยู่คนเดียวในมุมมืดของสนาม โดยปกติแล้ววันอื่นๆจะพบเห็นเขามาฝึกพร้อมกับลี่เฉียนเฟิงและลี่อิงอยู่บ่อยๆ แต่ทว่าในวันนี้กลับไม่เห็นวี่แววของสองพี่น้อง

ทันทีที่เย่เย่กำลังเดินเข้าไปพูดคุยกับเฉินเซียน ชายหนุ่มรูปร่างสูงก็เดินเข้าหาเฉินเซียนและพูดจากระแนะกระแหน

“เจ้าชื่อเฉินเซียนสินะ? ได้ข่าวว่าเจ้าเป็นศิษย์คนแรกของท่านประธานงั้นสินะ มิน่าล่ะเจ้าถึงกล้าเสนอหน้ามาในลานฝึกของพวกข้า ข้าล่ะอยากจะรู้นักว่าคนที่ท่านประธานยอมรับมาเป็นศิษย์เนี่ยจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนกันเชียว?”

เมื่อดูเหมือนจะเกิดเรื่อง เหล่าจ้าววรยุทธ์คนอื่นๆก็มามุงดูพวกเขาทั้งสองอย่างรวดเร็ว เรื่องชาวบ้านเนี่ยแหละงานถนัด

“เกาหลิง อย่ารังแกเด็กใหม่สิ อีกอย่างเขาเป็นเด็กของท่านเย่เชียวนะเฟ้ย เจ้าโดนลงโทษขึ้นมาข้าไม่เกี่ยวด้วยนา”

“ข้าได้ยินมาว่าเพราะจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขานั้นพิเศษและหายาก ท่านเย่เลยต้องรับไว้เป็นศิษย์เพื่อให้อยู่ในความควบคุมดูแลเป็นพิเศษน่ะ!”

แม้จะดูเหมือนว่าเหล่าจีนมุงจะพยายามห้ามปราม แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้ว แท้จริงนั้นต้องการยั่วยุให้เกาหลิงรีบลงมือเสียมากกว่า

อย่างไรเสียเกาหลิงไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกา เขาเอาแต่จ้องมองเฉินเซียนที่ยังคงโคจรลมปราณอย่างขะมักเขม้นอยู่

“ข้าเกรงว่าด้วยวรยุทธ์ของข้าในตอนนี้อาจทำให้ศิษย์พี่ผิดหวัง ต้องขออภัยด้วย”

“ช่างน่าผิดหวัง เสียแรงที่ท่านเย่รับเจ้ามาเป็นศิษย์ ถ้าเจ้ายังไม่พร้อมข้าจะให้เวลาเจ้าอีก 3 เดือนถ้าเจ้ายังปฏิเสธอีกล่ะก็ ท่านเย่คงจะเสียหน้าแย่”

เฉินเซียนได้ยิน เขาขมวดคิ้วขึ้นพลางถอนหายใจด้วยความลำบากใจ แม้ว่าด้วยคัมภีร์ที่เย่เย่ให้เขามาจะทำให้เขามั่นใจว่าจะสามารถบ่มเพาะพลังถึงระดับจ้าววรยุทธ์ขั้นสูงสุดได้ภายในเวลา 3 เดือน แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับเทพยุทธ์อย่างเกาหลิงได้เลย ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน

ไม่นานข่าวการทะเลาะวิวาทของทั้งคู่ก็ได้ไปถึงหูของ ซูฉีเจี่ยและเจิ้งซู ทั้งสองก็ได้เดินแหวกเหล่าจีนมุงเข้ามาเพื่อห้ามปรามพวกเขา แต่ทว่าทันใดนั้นเองเย่เย่ก็ได้รั้งทั้งซูฉีเจี่ยและเจิ้งซูเอาไว้

“อ๊ะ ท่านประธาน! เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ได้กำชับพวกเขาเอาไว้ให้ดี ได้โปรดลงโทษด้วยขอรับ” ทันทีที่เห็นเย่เย่ ซูฉีเจี่ยก็รีบประสานมือก้มหน้าอย่างรู้สึกผิดเช่นเดียวกับเจิ้งซู

แต่เย่เย่กลับยิ้มและกล่าวขึ้นกับทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อย่าได้โทษตัวเองเลย อีกอย่างข้าก็อยากรู้ว่าเฉินเซียนจะตัดสินใจยังไง”

ทั้งสองผู้ดูแลได้ยินดังนั้นก็โล่งอก เขาพยักหน้าเบาๆก่อนจะนั่งลงบนอัฒจันทร์เพื่อสังเกตการณ์พร้อมกับเย่เย่อย่างเงียบๆ

ในขณะเดียวกัน เฉินเซียนที่นิ่งเงียบไปพักนึงเขาก็ตัดสินใจได้ในที่สุด เขาเงยหน้ามาเกาหลิงที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่พลางพูดขึ้นอย่างใจเย็น “ข้าว่าภายใน 3 เดือนมาวัดกันดีกว่าว่าใครสามารถบ่มเพาะพลังได้ดีกว่า นอกจากจะไม่ทำให้ใครเจ็บตัวแล้วยังได้พัฒนาทักษะอีก ศิษย์พี่คิดว่าอย่างไร?”

เมื่อเฉินเซียนพูดจบ เหล่าจีนมุงต่างถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายไปตามๆกันเมื่อไม่ได้เห็นในสิ่งที่พวกเขาคาดหวัง

“เฮ้อ~ เจ้ามันช่างขี้ขลาดเสียจริง คิดซะว่าข้าไม่เคยพูดอะไรกับเจ้าก็แล้วกัน” เมื่อเห็นว่าคำยั่วยุไม่ได้ผล เกาหลิงก็หมดสนุก เขาจึงเดินจากไปอย่างเซ็งๆ

เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดคลี่คลายลง เย่เย่ก็เดินลงจากอัฒจันทร์มาพร้อมกับซูฉีเจี่ย

“ช้าก่อน! แค่นี้พอแล้วงั้นรึเกาหลิง?” เย่เย่ถามเกาหลิงด้วยความสงสัย

เมื่อเห็นเย่เย่ปรากฏตัวขึ้นที่สนามประลอง ใบหน้าของเหล่าจีนมุงก็ซีดเผือดลงด้วยความตื่นกลัวจนลืมหายใจไปชั่วครู่หนึ่ง

ชายร่างสูงที่เห็นเย่เย่และซูฉีเจี่ยมาหาเขาด้วยตนเองก็ตระหนักได้ทันทีว่าพวกเขานั้นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่แรก แม้ว่าตัวเกาหลิงเองจะไม่ได้รู้สึกว่าเขาทำผิดอะไรมากมาย แต่เขาก็รีบโค้งคำนับเย่เย่ด้วยความเคารพพร้อมกับยอมรับผิดแต่โดยดี

“ข้าน้อยทำไปโดยไม่ทันยั้งคิด ได้โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย”

“ท่านเย่ ความผิดของเกาหลิงก็เหมือนความผิดของข้า ได้โปรดลงโทษด้วย” ซูฉีเจี่ยออกตัวรับโทษแทนเกาหลิงซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาโดยตรง

“หัวหน้า!?” แม้ในทีแรกเกาหลิงจะขอโทษแบบขอไปที แต่เมื่อเห็นหัวหน้าของเขาออกตัวแทนเขากลับรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก

“ท่านเย่ ได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วยเถอะ ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของข้าน้อยแต่เพียงผู้เดียว” เกาหลิงทนไม่ได้ที่ต้องเห็นหัวหน้าของเขามารับโทษแทน เขาจึงคุกเข่าลงต่อหน้าเย่เย่และพูดออกมาจากใจจริง…