บทที่ 155 กระตุ้น

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 155

กระตุ้น

“พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้จะตำหนิอะไรพวกเจ้าสักหน่อย” เย่เย่เลิกคิ้วพลางพูดขึ้นด้วยความงุนงง เขาไม่เคยตระหนักเลยว่าการปรากฏตัวของเขาจะสร้างแรงกดดันให้กับคนอื่นๆถึงเพียงนี้

“จะว่าไปแล้วข้อเสนอของเฉินเซียนก็ฟังดูไม่เลวเลยนะ ถ้าพวกเจ้าคิดว่ามันน่าเบื่อเกินไปล่ะก็

เอางี้ ข้าจะให้ชุดเกราะทะลวงสวรรค์แก่ผู้ที่สามารถบ่มเพาะพลังได้ดีกว่าในระยะเวลา 3 เดือนพวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร?” เย่เย่หันหน้ามองเหล่าสมาชิกหอการค้าทุกคนในสนามประลอง พร้อมยื่นข้อเสนอเพื่อกระตุ้นพวกเขา

“ชุดเกราะทะลวงสวรรค์งั้นรึ!?”

“ข้าพอได้ยินกิตติศัพท์ของมันมาบ้าง ว่ากันว่ามันเป็นเกราะที่เหมาะสำหรับระดับจ้าววรยุทธ์ และเทพยุทธ์”

“ท่านเย่ช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก! ดีล่ะ เกราะนั่นต้องเป็นของข้า!”

หลังจากฟังข้อเสนอของเย่เย่ เหล่าสมาชิกหอการค้าต่างก็มีความกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มีเพียงเกาหลิงที่ยังคงสงบนิ่งและจ้องมองเฉินเซียนด้วยสายตาอันเร่าร้อนราวกับการแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างพวกเขาสองคนเท่านั้น

เฉินเซียนนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างจากคนอื่นๆ ด้วยพลังลมปราณของเขาประกอบกับคัมภีร์ลำนำดอกบัวสีเลือดนั้นทำให้เขามั่นใจมากว่าเย่เย่นั้นตั้งใจจะมอบเกราะทะลวงสวรรค์นั้นให้แก่เขาอยู่แล้ว แต่ทว่าความฝันของเขาก็ถูกทำลายลงในพริบตา

“อย่าเพิ่งได้ใจไป ใน 3 เดือนนี้คนอื่นๆรวมถึงเกาหลิงจะได้ฝึกในค่ายกลพิเศษ แต่เจ้าต้องฝึกที่ลานประลองนี่” เย่เย่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม แม้จะดูโหดร้ายไปบ้างแต่เขาเพียงต้องการจะดึงศักยภาพที่แท้จริงของเฉินเซียนออกมาให้ได้มากที่สุดในระยะเวลาอันสั้น

“โหดชิบ! ดีนะที่ท่านประธานไม่รับข้าไว้เป็นศิษย์” สมาชิกคนอื่นๆที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองต่างซุบซิบ และแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน จากความอิจฉาในทีแรกตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกเห็นอกเห็นใจเฉินเซียนขึ้นมาบ้างแล้ว

“…เช่นนั้นข้าขอตัว” เฉินเซียนกล่าวลาเย่เย่ และหันกลับไปด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

“ช้าก่อน ตราบใดที่เจ้าจับทางมันได้ เจ้าก็จะชนะ” เย่เย่คว้าไหล่ของเฉินเซียน และพูดให้คำแนะนำแก่เขาอย่างสั้นๆ

แม้ว่าเฉินเซียนจะยังไม่เข้าใจสิ่งที่เย่เย่บอกในตอนนี้ แต่เขาก็เริ่มเข้าใจเจตนาของเย่เย่ขึ้นมาบ้าง

“ข้าไม่แพ้เจ้าแน่!” เกาหลิงชี้หน้าเฉินเซียนพร้อมประกาศ กร้าวด้วยสีหน้าที่มั่นใจ

“อีกสามเดือนเราจะได้เห็นกัน!” เฉินเซียนจ้องไปในตาของคู่แข่ง และพูดออกมาด้วยความมั่นใจที่ไม่น้อยไปกว่ากัน

หลังจากขิงข่าตะไคร้ใบมะกรูดกันเสร็จสิ้น เกาหลิงก็เดินจากไป เหลือเพียงเฉินเซียนที่ยังคงยืนอยู่ในสนาม เขากำมือขึ้นเบาๆและปฏิญาณขึ้นในใจว่าเขาจะไม่ทำให้ผู้เป็นอาจารย์ต้องผิดหวังเป็นอันขาด

ในขณะเดียวกันเย่เย่พร้อมกับเจิ้งซูและซูฉีเจี่ยก็กลับไปยังหอการค้า ทันทีที่เจิ้งซูและซูฉีเจี่ยนั่งลงอย่างสบายอารมณ์ เย่เย่ก็ได้พูดกับพวกเขาทั้งสองขึ้น

“หลังจากการประลองยุทธ์กับสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายจบลง ข้าจะไปเซียงเฉิงกับหยางซื่อไห่ ระหว่างนั้นต้องฝากหอการค้าไว้กับพวกเจ้าแล้ว”

“อะไรนะ!? นี่ท่านคิดจะฉายเดี่ยวอีกแล้วหรือ?” ซูฉีเจี่ยลุกพรวดด้วยความตกใจ ความตกใจนั้นไม่ได้เป็นเพราะเรื่องที่ เย่เย่จะไปคนเดียว แต่เป็นเพราะกองงานจำนวนมหาศาลที่จะหล่นทับเขาอีกครั้ง

“ใช่แล้วเจ้าฟังไม่ผิดหรอก” เย่เย่พยักหน้าหงึกๆพลางกล่าวด้วยสีหน้าที่ราวกับอยากจะบอกพวกเขาทั้งสองว่า ‘สู้ๆนะ ฝากงานของข้าด้วย’

ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ที่เย่เย่โคจรลมปราณเพื่อก้าวสู่ขั้นจิตพิสุทธิ์อยู่นาน 2 วัน ทำให้เขาตระหนักว่าพลังปราณของเขายังไม่เพียงพอในการเลื่อนขั้นวรยุทธ์ เขาจึงตัดสินใจยอมรับข้อตกลงของหยางซื่อไห่ นอกจากจะทำให้หอการค้าหยูเย่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อรับมือกับนิกายทั้ง 8 แล้วยังทำให้เขาได้สั่งสมพลังปราณเพิ่มขึ้นอีกด้วย

เมื่อทั้งสองเห็นใบหน้าที่จริงจังของเย่เย่ พวกเขาก็ไม่ทักท้วงอะไรต่อไปอีก ระหว่างที่พวกเขากำลังจะเดินออกไปจากห้องประชุมเพื่อไปเตรียมการสำหรับการประลองที่จะจัดขึ้น เย่เย่ก็เรียกเจิ้งซูให้อยู่ต่อเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัว

“เจิ้งซู ข้าจะให้เจ้าเป็นตัวแทนของหอการค้าหยูเย่ในการประลอง ระหว่างนี้เจ้าก็พยายามฝึกฝนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ตั้งแต่เจิ้งซูได้ก้าวสู่ขอบเขตของเทพยุทธ์ เขาก็ได้ฝึกฝนและบ่มเพาะพลังในค่ายกลลมปราณไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอจนในไม่ช้าเขาก็ถึงระดับสูงสุดของเทพยุทธ์แล้ว เย่เย่จึงตัดสินใจส่ง เจิ้งซูเข้าร่วมการประลองยุทธ์เพื่อยกระดับพลังปราณของเขาให้พร้อมสำหรับการเลื่อนขั้น

“ท่านเย่ ท่านคาดหวังในตัวข้ามากเกินไปแล้ว ข้าเพียงคนเดียวไม่สามารถต่อกรกับศิษย์ทั้งสำนักได้ หรอกนะขอรับ!” เจิ้งซูได้ยินดังนั้นก็รีบออกตัวชี้แจงด้วยท่าทีกระวนกระวาย

“ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างอยู่ในการคำนวณของข้า รับนี่ไปซะแล้วก็ไปเตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อพูดเสร็จ เย่เย่ก็หยิบคัมภีร์เล่มหนาส่งให้กับเจิ้งซู…