ตอนที่ 599 สนับสนุนไปก็ไร้ประโยชน์
“เพราะขนมของที่นี่มีรสอ่อนและมิได้ใส่เครื่องเทศเยอะเหมือนที่ห้องครัวทำ เดิมทีลูกก็ชอบทานขนมรสอ่อนมาโดยตลอด นี่จึงถือว่าถูกปากพอดี หมู่เฟยคิดเยี่ยงไรขอรับ ? ”
สีหน้าของมู่เหล่าหวางเฟยดูย่ำแย่แต่ก็ยังฝืนยิ้มต่อไป
“ใช่ แม่เองก็ชอบรสชาติเดียวกับท่านอ๋อง”
มู่จวินฮานมิรู้ว่ามารดายอมฟังคำพูดของตนจริงหรือไม่ แต่เขาก็มิได้กล่าวต่อและหันไปมองทางผิงฟางหนิงแทน
“มีอันใด ? วันนี้มีคนทำให้พระชายาอารมณ์เสียหรือ ? ” มู่เหล่าหวางเฟยมิได้ตอบ ส่วนผิงฟางหนิงก็ยิ่งมิกล้าพูดเข้าไปใหญ่
“ไม่มีหรอก ก็แค่สาวใช้มิรู้ความเท่านั้นเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอฉีกยิ้ม นางมิได้สร้างความลำบากให้อีกฝ่ายต่อ ตัวนางก็เข้าใจว่าการที่มู่จวินฮานมาในครั้งนี้เพราะอยากให้มู่เหล่าหวางเฟยเข้าใจความคิดของเขาเอง
“สาวใช้มิรู้ความหรือ ? สาวใช้ในจวนต่างถูกเลือกมาเป็นอย่างดี เกรงว่าต่อไปก่อนรับเข้าจวนต้องตรวจสอบให้เข้มงวดเสียหน่อย”
ทันใดนั้นก็มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นในหัวของมู่เหล่าหวางเฟย มู่จวินฮานกำลังตำหนินาง
มู่เหล่าหวางเฟยจะรับสาวใช้คนไหนเข้าจวนก็ไม่มีปัญหาอันใดหรอก หรือมิรายงานก็ยังได้ เพียงแต่ต้องดูว่าเป้าหมายของการรับเข้ามาคือสิ่งใด
“ท่านอ๋องพูดถูกเจ้าค่ะ จวนอ๋องแห่งนี้ก็เหมือนที่อื่นคือความปลอดภัยต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีเรือนหลังนี่ก็มีเรื่องมากมายอยู่แล้ว ประเดี๋ยวข้าจักหาเวลาส่งคนที่ไม่เหมาะสมออกไปเจ้าค่ะ”
ผิงฟางหนิงมิรู้ว่าอันหลิงเกอกำลังจริงจังอยู่หรือไม่ แต่ประโยคนี้ทำให้นางรู้สึกกลัว
นางเพิ่งเข้าจวนมา หากตอนนี้โดนไล่โดยมิได้อันใดเลย มันจะมิดูล้มเหลวยิ่งกว่าล้มเหลวเลยหรือ
มิได้ !
“เรียนท่านอ๋อง เป็นความผิดของบ่าวเอง ต่อไปบ่าวจะมิทำให้พระชายาอารมณ์เสียแน่นอน พระชายาอย่าไล่บ่าวออกไปเลยเจ้าค่ะ” ผิงฟางหนิงรีบเข้ามากอดขาอันหลิงเกอจนมิสนภาพลักษณ์ของตนอีกต่อไป
เดิมทีอันหลิงเกอแค่อยากทำให้นางตกใจหรือเตือนสติเท่านั้น มิได้มีความคิดอย่างอื่นเลย
พอเห็นนางเป็นเยี่ยงนี้ก็เพียงยิ้มและให้ปี้จูประคองขึ้นมา
“ดูเจ้าสิ พูดอันใดของเจ้ากันเล่า เจ้าเป็นหลานของมู่เหล่าหวางเฟย แล้วข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร ? ” ทันใดนั้นผิงฟางหนิงก็ตระหนักได้ว่าแค่โดนล้อเล่นเท่านั้น
ขณะที่มองผิงฟางหนิงร้องไห้น้ำมูกไหล มู่เหล่าหวางเฟยก็รู้สึกเหมือนหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้ามิสำเร็จ นางจึงได้แต่หันไปมองทางอื่นและมิหันมาทางหลานสาวอีก
“เอาล่ะ ขนมของพระชายาอร่อยจริง ๆ แม่เองก็พอใจมากแต่ก็เริ่มเหนื่อย แม่ควรกลับได้แล้ว”
หลังกล่าวจบ ฟางจูก็ช่วยประคองนางให้ลุกขึ้นแต่ก่อนจากไปนางยังหันมามองผิงฟางหนิง
“หากสตรีในจวนอ๋องแห่งนี้ฉลาดได้ครึ่งของสาวใช้เรือนฝูหลิง ข้าคงเบาใจได้มาก” มู่เหล่าหวางเฟยจงใจเอ่ยให้ผิงฟางหนิงได้ยินและเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องเข้าใจ
“น้อมส่งมู่เหล่าหวางเฟยเจ้าค่ะ” ผิงฟางหนิงคุกเข่าอยู่ที่พื้นและยังมิหลุดจากความหวาดกลัวเมื่อครู่
“เอาล่ะ ลุกขึ้นได้แล้ว” ปี้จูเข้าไปสะกิดนางแล้วส่งสัญญาณให้ตามตนออกไป
ผิงฟางหนิงเดินตามปี้จูออกไปด้วยความงุนงง ในห้องจึงเหลือเพียงมู่จวินฮานกับอันหลิงเกอ เพราะสถานการณ์เมื่อครู่ทำให้ผิงฟางหนิงมิกล้าหันมามองมู่จวินฮานแม้แต่ครั้งเดียว นางเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น
เวลานี้ดวงตาของมู่จวินฮานก็จับจ้องไปที่อันหลิงเกอทันที
“ดูเหมือนวันนี้เกอเอ๋อมิเหมือนเดิมเลย”
มู่จวินฮานรู้สึกถึงความก้าวร้าวบนตัวนางเพราะในเวลาปกติมันไม่มีอยู่บนตัวอันหลิงเกอเลย
“ใช่เจ้าค่ะ ในเมื่อมีคนพยายามหลอกท่านและข้าอยู่เสมอ หากข้ามิฉลาดก็จักปกป้องคนของตนไม่ได้เจ้าค่ะ”
คนของตน ? มู่จวินฮานจับสามคำนี้ไว้และมิกล้าปล่อยมันไป
“พระชายาหมายความว่าข้าเป็นคนของเจ้าหรือ ? ”
น้ำเสียงอ่อนโยนเยี่ยงนี้ทำให้อันหลิงเกอหน้าแดงทันที
“ท่านทำตัวให้ดีหน่อยได้หรือไม่ อย่างน้อยท่านก็เป็นอ๋องเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอผลักเขาออก
“เกอเอ๋อ ตอนอยู่กับเจ้าแล้ว ข้าทำตัวดีที่สุดเชียวล่ะ”
หลังกล่าวจบ เขาก็เอื้อมมือมาจับหลังศีรษะของนาง แต่ในขณะที่อันหลิงเกอกำลังคิดเพ้อเจ้อ เขากลับช่วยจัดผมให้นางแทน จากนั้นก็ลุกขึ้นทันที
“เอาล่ะ ข้าต้องเข้าวังแล้ว” กล่าวจบแล้วเขาก็มิหันมามองหน้าแดงก่ำของอันหลิงเกออีกและรีบเดินออกไปทันที
อีกด้านหนึ่ง แม้มู่จวินฮานอนุญาตให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนเขาได้ในตอนเย็น ทว่าทัวป๋าถิงฟางก็ยังรู้สึกมิพอใจอยู่ดี แม้ก่อเรื่องหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายนางก็ยังจัดการอันหลิงเกอมิได้ ทัวป๋าถิงฟางจึงเริ่มไม่มั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
ระหว่างนั่งคนเดียวในห้อง นางก็ครุ่นคิดว่าจะทำเยี่ยงไรเพื่อกดหัวอันหลิงเกอได้ แต่พอคิดมาค่อนวันก็ยังหาวิธีดี ๆ มิได้สักที ดังนั้นทัวป๋าถิงฟางจึงหันไปถามสาวใช้ข้างกาย
“ข้าถามเจ้าหน่อย เรื่องนี้ติดอยู่ในใจข้านานแล้ว เจ้าน่าจะคิดหาวิธีอันใดได้บ้าง”
ทัวป๋าถิงฟางกล่าวขึ้นมาลอย ๆ แม้มิรู้ว่าสาวใช้จักมีวิธีอันใดหรือไม่ แต่นางก็นำความหวังทั้งหมดไปฝากไว้บนตัวอีกฝ่ายแล้ว
เป็นธรรมดาที่สาวใช้มิกล้าขัดคำสั่ง หลังจากนั้นนางก็ตอบทัวป๋าถิงฟางอย่างว่าง่าย “นายหญิง ท่านประสงค์สิ่งใดก็กล่าวออกมาเถิด ขอแค่บ่าวช่วยได้ก็จักช่วยสุดความสามารถแน่นอนเจ้าค่ะ”
สำหรับทัวป๋าถิงฟางแล้ว สาวใช้คนนี้ภักดีสุด ๆ มิว่าทัวป๋าถิงฟางกล่าวอันใด นางก็ทำตามคำสั่งทุกอย่างและยังไม่ทรยศเพียงเพราะทัวป๋าถิงฟางโมโหใส่ด้วย
“เจ้าคิดว่าควรทำเยี่ยงไรดี ? ตอนนี้ท่านอ๋องเอาใจไปอยู่ที่อันหลิงเกอคนเดียว ข้ายังมีความหวังอยู่หรือไม่”
แม้มีความคิดมากมาย แต่ทัวป๋าถิงฟางพบว่ามันใช้มิได้ผลเลยสักนิด และอันหลิงเกอก็มิสนใจ แผนการทุกครั้งเป็นเหมือนดอกฝ้ายที่หลุดลอยไปตามลมจึงทำให้นางหดหู่กว่าเดิม
เมื่อเห็นทัวป๋าถิงฟางเป็นเช่นนี้ สาวใช้ก็เข้าใจทันทีว่าเจ้านายไม่มีทางปล่อยอันหลิงเกอไปง่าย ๆ เพียงแต่เวลานี้มิว่าใช้วิธีใดก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นนายหญิงจึงได้หันมาถามสาวใช้เยี่ยงตน
“เรียนนายหญิง แค่ความแข็งแกร่งของท่านคนเดียวมิพอหรอกเจ้าค่ะ ท่านลองลงมือกับจวนโหวอันดูสิเจ้าคะ”
สาวใช้ยังมิทันกล่าวจบ ดวงตาของทัวป๋าถิงฟางก็เป็นประกายแล้ว นางคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีเพราะสตรีทุกคนล้วนต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากครอบครัวทั้งนั้น อันหลิงเกอก็มิใช่ข้อยกเว้น
“ความคิดของเจ้ามิเลว แต่มันจะได้ผลกับอันหลิงเกอจริงหรือ ? ”
“เรียนนายหญิง ท่านมิจำเป็นต้องลงมือเองเจ้าค่ะ ท่านแค่บอกให้คนที่บ้านเกิดคิดวิธีลงมือกับจวนโหวแทน จากนั้นท่านก็รอดูว่าจวนของพวกเขามีอันใดเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่เจ้าค่ะ”
บ้านเกิดหรือ ?
ครอบครัวของนางจักช่วยได้จริงหรือ ?
“ท่านลองคิดสิเจ้าคะ ท่านอ๋องดูแลนางได้ชั่วครู่แต่มิอาจดูแลไปทั้งชีวิต หากจวนโหวอันมีปัญหาเกิดขึ้นจริง การช่วยครั้งสองครั้งเขาก็คงมิเบื่อ แต่ถ้าช่วยหลายครั้งเข้าไป ท่านลองเปลี่ยนมาเป็นท่านอ๋องดูก็ได้ ท่านจักพอใจหรือไม่เจ้าคะ ? ”
สาวใช้ยกตัวอย่างให้ฟังครั้งแล้วครั้งเล่า ทัวป๋าถิงฟางจึงเริ่มมีความมั่นใจว่านี่เป็นวิธีที่ดี
“ดูท่าแล้วข้าต้องเขียนจดหมายถึงพี่ชายสักฉบับ” ทัวป๋าถิงฟางได้ยอมรับความคิดนี้เอาไว้แล้ว