ตอนที่ 600 การยุแยงในตระกูล
เป็นอย่างที่คิดคือหลังจากทัวป๋าถิงฟางส่งจดหมายไปเพียงมิกี่วันก็เหมือนจะได้ผลจริง
“เรียนนายหญิง เป็นอย่างที่วางแผนไว้เลยเจ้าค่ะ ท่านโหวอันโดนย้ายไปที่ชายแดนแคว้นชิงเยว่แล้วเจ้าค่ะ”
หลังได้ยินข่าวนี้ ทัวป๋าถิงฟางก็มีความสุขมาก “ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าเป็นเช่นนี้…”
ทางฝั่งจวนโหวก็ส่งข่าวมาหาอันหลิงเกออย่างรวดเร็ว
ปี้จูนำมายื่นให้เจ้านาย “เรียนพระชายา จวนโหวส่งจดหมายมาเจ้าค่ะ”
หลังจากอันหลิงเกอได้อ่านแล้วก็อดยิ้มเยาะออกมามิได้ ดูเหมือนทัวป๋าถิงฟางและทัวป๋าหลิวลี่คิดใช้บิดามาข่มนางเสียแล้ว
“น่าเสียดายที่ข้ามิจำเป็นต้องกังวลเรื่องท่านพ่อ” อันหลิงเกอคลี่ยิ้ม พวกทัวป๋าถิงฟางวางหมากพลาดแล้ว เพราะแค่ท่านพ่อคนเดียวก็สามารถจัดการสถานการณ์ในจวนโหวอันได้เอง
อันหลิงเกอจึงมิเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจอีก นางโยนจดหมายไปด้านหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ลิ้มรสความหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของชา
ทว่าในขณะที่ไม่มีสิ่งใดให้ทำ นางก็เห็นทัวป๋าถิงฟางพาสาวใช้เดินมาทางนี้ ปี้จูเองก็เห็นฉากนี้เช่นกัน
“พระชายา สตรีผู้นั้นมาอีกแล้ว…” สำหรับทัวป๋าถิงฟางแล้ว ปี้จูมิได้เคารพเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำไปทุกอย่างก็มักทำให้คนหงุดหงิดได้เสมอ
“เหตุใดต้องหลบ ต้องให้นางเห็นอย่างเปิดเผยและให้ได้เห็นว่าข้าเป็นไปตามที่นางหวังไว้หรือไม่”
อันหลิงเกอคิดว่าทัวป๋าถิงฟางเป็นคนน่าเบื่อมาก เพื่อให้ได้เห็นตนตกอับก็ใจกล้ามาหาถึงที่
ผ่านไปครู่เดียว ทัวป๋าถิงฟางก็เดินข้ามธรณีประตูเข้ามา แม้แต่คารวะก็มิทำ ราวกับการทำความเคารพเป็นของที่ไม่มีอยู่จริงสำหรับนาง
“แม้แต่มารยาทพื้นฐานเจ้าก็ลืมแล้วหรือ ? หรือเพราะเลอะเลือนไปชั่วขณะ ? ”
อันหลิงเกอยังนั่งด้วยท่าทางสบายและเล่นผ้าเช็ดหน้าอย่างเบื่อหน่าย พอเห็นทัวป๋าถิงฟางแล้วก็มิหันไปสบตาด้วยซ้ำ
ทว่าฉากนี้ทำให้ทัวป๋าถิงฟางโมโหกว่าเดิม เพราะเดิมทีอยากมาดูท่าทางวิตกกังวลของอันหลิงเกอ แต่กลับเห็นอีกฝ่ายสบายใจได้ถึงเพียงนี้ นางก็โกรธขึ้นมาทันที
“ต้องขออภัยที่ทำให้เจ้าผิดหวัง…”
ขณะที่กล่าว อันหลิงเกอก็ยังพยายามนึกถึงความหลัง ทันใดนั้นเองทัวป๋าถิงฟางก็แทบอยากเข้าไปตบหน้าอันหลิงเกอทันที
“เจ้าภูมิใจเรื่องอันใด ข้าจะบอกให้ว่าหากวันใดครอบครัวเจ้าหายไปจริง มันต้องเป็นวันที่เจ้าได้หลั่งน้ำตา ส่วนตอนนี้ก็นั่งฝืนยิ้มอยู่ที่นี่ต่อไปเถิด ! ” หลังจากทัวป๋าถิงฟางกล่าวจบก็กลับมาแสดงท่าทีนิ่งสงบ
ความโกรธเป็นดั่งดอกฝ้ายที่ถูกพัดออกไป หลังอารมณ์กลับมาสงบดังเดิมแล้ว นางก็รู้สึกแย่ขึ้นมา
ต่อจากนั้นทัวป๋าถิงฟางก็พาสาวใช้กลับเรือนและเริ่มเขียนจดหมายถึงแคว้นชิงเยว่ด้วยโทสะ “มิได้ คราวนี้ข้าต้องทำให้นางยิ้มไม่ออก พอเห็นท่าทางนั้นของนางแล้ว ข้าอยากฉีกมันออกเป็นชิ้น ๆ ! ”
นางระบายความโกรธทั้งหมดบนกระดาษ หมึกโดนกดเป็นจุดและรอการเพิ่มน้ำหนักมากกว่าเดิม
เมื่อรอคอยครั้งแล้วครั้งเล่า อันอิงเฉิงก็ยังมิได้จดหมายตอบกลับจากอันหลิงเกอเสียทีและเขาก็หมดอารมณ์รออีกต่อไป เดิมทีเขาหลงเข้าใจผิดว่าสามารถพึ่งพาอันหลิงเกอเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่ดูเหมือนเขาเพ้อฝันไปเอง
ขณะมองท่าทางโมโหของอันอิงเฉิง หลี่หรูเสวี่ยก็เริ่มเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นอันใด แม้ในเวลานี้พวกตนมาอยู่ด้วยกันที่ชายแดน ทว่าค่าอาหาร เสื้อผ้าหรือด้านอื่นของหลี่หรูเสวี่ยก็มิได้ลดลงมาเท่าไร
“ท่านพี่เป็นอันใดหรือเจ้าคะ ? เหตุใดดูหงุดหงิดเพียงนี้ ? ต้องโทษอันหลิงเกออีกแล้ว เด็กคนนั้นช่างมิรู้จัก…”
กล่าวออกมาได้เพียงครึ่งประโยคนางก็จงใจพูดมิจบ เพราะหลี่หรูเสวี่ยก็มีแผนการของตน
เดิมทีอันอิงเฉิงเป็นห่วงเป็นใยอันหลิงเกออยู่แล้ว มิยอมให้บุตรีเป็นกังวล แต่บัดนี้พวกเขากำลังโดนแคว้นชิงเยว่กดขี่ อันหลิงเกอกลับมิสนใจ นี่หมายความว่าเยี่ยงไร
“ท่านพ่อเจ้าคะ ถ้ามิไหวจริง ๆ ค่อยไปขอร้องนางเพราะนางคงไม่เมินเฉยอยู่เช่นนี้ หรือไม่ก็เพราะนางยังมิได้รับจดหมายจึงมิทราบเรื่อง ดังนั้นจึงไม่ได้ยื่นมือมาช่วยพวกเราเจ้าค่ะ”
คำพูดของอันหลิงอีเหมือนราดน้ำมันลงกองไฟเพราะมีจดหมายตั้งหลายฉบับติดต่อกัน อันหลิงเกอจักมิสนใจได้เยี่ยงไร ?
“เลิกแก้ตัวให้นางได้แล้ว นางมิอยากสนใจมากกว่า ! ” พออันอิงเฉิงเห็นอันหลิงอีปลอบตนเองเยี่ยงนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเพียงบุตรสาวเช่นอันหลิงอีที่จะทำให้เขาหมดห่วง
“ตระกูลใหญ่เพียงนี้จักให้มาพังในมือนางมิได้” อันอิงเฉิงไม่เหลือความรักใดให้อันหลิงเกออีกต่อไป เพราะคิดว่าการที่อันหลิงเกอจะช่วยเหลือเป็นเรื่องสมควรทำ
ในเวลานี้อันหลิงอีเริ่มครุ่นคิดและกล่าวออกมาอีกครั้งเพื่อบอกให้อันอิงเฉิงยอมแพ้ “ถ้ามิไหวจริง ๆ ลูกจักไปขอความช่วยเหลือจากอี้ซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
สมแล้วที่เป็นอันหลิงอี เหมือนคำพูดนี้ไม่มีนัยยะสำคัญอันใด แต่มันทำให้อันอิงเฉิงเริ่มมิชอบอันหลิงเกอมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือแม้แต่คิดว่าบุตรสาวคนโตเป็นพวกคางคกขึ้นวอที่ลืมตระกูลของตน เช่นนั้นจักไม่สนใจพวกเขาได้อย่างไรและจดหมายมากมายเพียงนั้น นางจะมิเห็นสักฉบับเดียวเลยหรือ ?
“พวกเจ้าไม่ต้องคิดวิธีแก้ไขแล้ว ! ”
อันอิงเฉิงจนปัญญาจะพลิกสถานการณ์ เขาจึงมิพอใจและเริ่มโมโหอันหลิงเกอมากกว่าเดิม
“ข้าจะส่งจดหมายหาเด็กคนนั้นอีกฉบับ ถ้านางยังมิสนใจอีกก็รอหัวเราะเยาะใส่นางได้เลย ! ”
หลังได้เห็นฉากนี้แล้ว หลี่หรูเสวี่ยก็รู้ทันทีว่าตนสามารถพูดให้ไฟลุกโชนกว่าเดิมได้อย่างง่ายดาย นางจึงเติมน้ำมันลงไปทันที
“ท่านพี่ ข้าคิดว่าอย่าเสียแรงเปล่าเลยเจ้าค่ะ เดิมทีข้าก็ยังมีสินเดิมอยู่เล็กน้อยก็ใช้มันแก้ขัดไปก่อนเถิด ขอแค่สินเดิมก้อนนี้ทำให้ท่านพี่กลับไปได้ ข้าก็ยอมได้ทุกอย่างเจ้าค่ะ”
ได้ยินหลี่หรูเสวี่ยบอกว่าใช้สินเดิมของนางได้ก็ทำให้อันอิงเฉิงซาบซึ้งใจในตัวสองแม่ลูกคู่นี้ทันที และเริ่มคิดว่าอันหลิงอีสนใจดูแลวงศ์ตระกูลเพียงนี้ แล้วเหตุใดบุตรสาวที่กลายเป็นพระชายามิทุ่มเทเพื่อวงศ์ตระกูลบ้าง
“เด็กคนนั้นปีกกล้าขาแข็งแล้ว ! ” สุดท้ายพออยู่ภายใต้การครอบงำของสองแม่ลูก อันอิงเฉิงก็โยนความผิดทั้งหมดไปที่อันหลิงเกอ เขาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ต่อจากนั้นพวกเขาก็มิสนทนาเรื่องนี้ต่อ อันอิงเฉิงกลับไปที่ห้องหนังสือแล้วเริ่มลงมือเขียนจดหมายฉบับหนึ่งและเนื้อความในจดหมายก็ดูรุนแรงยิ่งนัก
มิรู้ว่านี่เป็นจดหมายฉบับที่เท่าไรแล้ว คราวนี้จู่ ๆ อันหลิงเกอก็อยากอ่านจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา แต่พอเห็นเนื้อความในจดหมายแล้วนางก็แทบอยากฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ทันใดนั้นเองมู่จวินฮานก็เข้ามาเห็นพอดี
“เจ้าเป็นอันใดไป ? หรือยังอารมณ์เสียเพราะเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อน ? ” มู่จวินฮานครุ่นคิดและมิรู้ว่านางเป็นอันใด
อันหลิงเกอเริ่มกลับมาได้สติอีกครั้ง นางตระหนักได้ว่ามู่จวินฮานอยู่ที่นี่แล้วจึงโยนจดหมายไปอีกด้านหนึ่งแต่ก็มิทันเก็บมันให้เรียบร้อย
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ ก็แค่อ่านจดหมายฉบับหนึ่งแล้วรู้สึกหงุดหงิดเท่านั้น”
เดิมทีอันหลิงเกอคิดว่าจะมิสนใจเรื่องนี้ แต่มู่จวินฮานสงสัยยิ่งกว่าเดิมเหมือนมิอยากปล่อยเรื่องนี้ไปโดยง่าย